- การที่เราทำดีแล้วเจออุปสรรคใดๆ ให้มองว่าสิ่งนั้นเป็นบททดสอบให้ก้าวข้ามไปให้ถึงจุดหมาย มันเป็นเพียงโจทย์ปัญหาที่เราต้องตอบเพื่อข้ามไปในลำดับต่อไป
- การที่เราทำดีแล้วมองว่าคนอื่นเบียดเบียนเรานั่นเพราะใจเรายังหวั่นไหวอยู่
- ความรู้สึดอึดอัดใจ คับแค้นใจ ขัดเคืองใจใดๆ เมื่อเกิดขึ้นกับเรา ให้คุณพึงระลึกรู้ว่า ความรัก โลภ โกรธ หลง ขุ่นมัวใจใดๆเกิดขึ้นแก่ใจคุณแล้ว ให้พึงระลึกรู้ในใจว่า ถูกกิเลสครอบงำแล้ว ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่า เรายังทำดียังปฏิบัติมาไม่พอ ความรู้สึกเหล่านี้จึงยังมีอยู่
- หากเมื่อมีสิ่งใดๆมากระทบทำให้คุณท้อใจ ให้รู้ว่าขณะนี้จิตคุณมีจิตสังขารปรุงแต่งให้ตรึกนึกคิดปรุงแต่งเรื่องราวไปต่างๆนาๆแล้วคุณไปถือเอาความปรุงแต่งนึกคิดนั้นมาเป็นที่ตั้งแห่งจิตจนเกิดทุกข์ นี่เรียกว่าส่งจิตออกนอก คือ เสพย์อารมณ์ไปตามความปรุงแต่งนึกคิดของจิต
- ทางแก้คือเมื่อรู้ตนว่าจิตไปตั้งเอาจิตสังขารใดๆมาเป็นอารมณ์ของใจแล้วให้ละความสำคัญมั่นหมายนั้นๆไปเสียพึงระลึกว่านี่เป็นเพียงความคิดปรุงแต่ง เป็นความฟุ้งซ่าน เป็นความคิดพล่าน หายใจเข้าลึกๆระลึกว่าเราจะดับไปซึ่งความคิดพล่านนี้ หายใจออกยาวๆละรึกว่าเราจะดับไปซึ่งความคิดพล่านเหล่านี้ สัก 3 ครั้ง คุณจะรู้สึกโล่งขึ้น แล้วก็สร้างความตั้งมั่นในใจว่าจะไม่ให้ความสำคัญกับจิตสังขารความปรุงแต่งนึกคิดฟุ้งซ่านนี้อีก
- เมื่อสำคัญมั่นหมายสิ่งใดน้อย ความติดข้องใจก็จะลดน้อยตามไปด้วย พึงระลึกว่า ติดข้องใจกับสิ่งใดๆไปก็ไม่ก่อเกิดประโยชน์แก่เรา ละความติดข้องใจนั้นไปเสีย
- เมื่อละความติดข้องใจได้แล้วคุณจะเห็นด้วยกุศลจิตว่า ไม่มีตัวตนบุคคลใดที่มาเบียดเบียนคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปของมันตามธรรมชาติ ความทุกข์ไม่มี มีความวางใจไว้กลางๆ
ลองดูวงจรนี้ครับอาจจะเป็นประโยชน์แก่คุณ
(อายตนะภายใน ๖ + อายตนะภายนอก ๖ + วิญญาณ) --> ผัสสะ --> ความรับรู้อารมณ์ --> ความพอใจยินดี & ความไม่พอใจยินดี --> ความสำคัญมั่นหมายของใจ(สัญญา) --> ตรึกถึง นึกถึง ตรองถึง คำนึงถึง --> รัก โลภ โกรธ หลง --> ตัณหา --> อุปาทาน
เราจะละอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด เราก็ต้องละที่ตัณหาในสิ่งนั้น
เราจะละตัณหาความทะยานอยากในสิ่งใด เราก็ต้องละที่ความรัก โลภ โกรธ หลง ในสิ่งนั้น
เราจะละความรัก โลภ โกรธ หลง ในสิ่งใด เราก็ต้องละที่ความตรึกนึกคำนึงถึงในสิ่งนั้น
เราจะละความตรึกนึกคำถึงในสิ่งใด เราก็ต้องละที่ความสำคัญมั่นหมายของใจในสิ่งนั้น
เราจะละความสำคัญมั่นหมายของในใจสิ่งใด เราก็ต้องละที่ความพอใจยินดีหรือความไม่พอใจยินดีในสิ่งนั้น
เราจะละความพอใจยินดีและความไม่พอใจยินดีในสิ่งใด เราก็ต้องมีอุเบกขาจิต คือ ความมีใจกลางๆ มีความวางเฉย ไม่หยิบจับเอาความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีมาเสพย์เสวยอารมณ์ต่อสิ่งนั้น
--> เมื่อจิตเรารับรู้สิ่งใดเป็นอารมณ์ --> เกิดความติดข้องใจ --> จึงอยากรู้ --> อยากดู อยากเห็น --> อยากได้ยิน ได้ฟัง --> อยากได้กลิ่น --> อยากลิ้มรส -->
--> เมื่อจิตเรารับรู้สิ่งใดเป็นอารมณ์ --> เพราะมีความติดข้องใจ --> จึงเจตนาที่จะรู้ --> จึงมองดูเพื่อให้เห็น --> จึงเงี่ยหูฟังเพื่อให้ได้ยิน --> จึงใช้จมูกสูดดมเพื่อให้รู้กลิ่น --> จึงดื่ม-กินเพื่อให้รู้รส --> จึงพยายามแตะสัมผัสทางกายเพื่อให้รับรู้ถึงความรู้สึกจากการผัสสะกับสิ่งนั้นๆ -->
--> เมื่อจิตเรารับรู้สิ่งใดเป็นอารมณ์ --> เพราะมีความติดข้องใจ --> เมื่อเห็นตามต้องการแล้ว --> เมื่อได้ยินตามต้องการแล้ว --> เมื่อได้กลิ่นตามต้องการแล้ว --> เมื่อรู้รสตามต้องการแล้ว --> เมื่อรู้สัมผัสทางกายตามต้องการแล้ว--> เสพย์เป็นความรู้สึกพอใจยินดี ไม่พอใจยินดี --> เสวยอารมณ์เป็นความรู้สึก สุข ทุกข์ กาย-ใจ --> เกิดเป็นความสำคัญมั่นหมายไว้ในใจ --> ตรึกถึง นึกถึง ตรองถึง คำนึงถึง --> ตัณหา -->
--> เมื่อจิตเรารับรู้สิ่งใดเป็นอารมณ์ --> พิจารณาตามจริง เห็นตามสัจธรรม รู้สภาพจริง --> เมื่อเราไม่มีความติดข้องใจ --> แม้เห็นแล้ว --> แม้ได้ยินแล้ว --> แม้ได้กลิ่นแล้ว --> แม้รู้รสแล้ว --> แม้รู้สัมผัสทางกายแล้ว--> ไม่เกิดความพอใจยินดี-ไม่พอใจยินดี --> เสวยความรู้สึกมีใจกลางๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ --> ไม่เกิดเป็นความสำคัญมั่นหมายไว้ในใจ --> ไม่เกิดตัณหา
อ่านเพิ่มเติมที่นี่ดูครับ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7455.0ผมขอเอาใจช่วยให้คุณได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ เห็นธรรมในธรรม เห็นจิตในจิต ปราศจากภัยอันตรายใดๆเบียดเบียน ด้วยคุณแห่งพระพุทธเจ้า คุณแห่งพระธรรม คุณแห่งพระสงฆ์ แลบุญใดที่ผมได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาแล้ว เผยแพร่พระพุทธศาสนามาแล้ว ด้วยเดชแห่งบุญนั้นความพรเหล่านั้นและความสวัสดีจงมีแก่คุณในฉับพลันทุกกาลทุกเมื่อเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ