ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง  (อ่าน 13002 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« เมื่อ: กันยายน 17, 2013, 08:40:08 am »
0

ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง

    ณ หมู่บ้านหนึ่งมีคนตาบอดอยู่หน้าหมู่บ้าน คนตาบอดมีเพื่อนสนิทอยู่ท้ายหมู่บ้าน วันหนึ่งคนตาบอดก็ไปเที่ยวหาเพื่อนที่ท้ายหมู่บ้านคุยกันจนดึก คนตาบอดก็ขอตัวกลับบ้าน
    เพื่อนของคนตาบอดก็ให้ตะเกียง คนตาบอดก็พูดด้วยความตลกขบขันว่า
    "เราไม่ต้องใช้หรอกตะเกียงน่ะ"

    เพื่อนของคนตาบอดก็บอกว่า
    "ที่ให้ตะเกียงน่ะไม่ได้ให้นายไว้ส่องดูทาง แต่ให้ไว้เพื่อให้คนอื่นนั้นเห็นนาย"

    คนตาบอดก็ถือตะเกียงเดินทางกลับบ้าน แต่ก่อนที่จะถึงบ้านก็มีคนเดินมาชนเข้า
    คนตาบอดก็หัวเสียเลยด่าไปว่า
    "ตาบอดรึไงถึงไม่เห็น เราถือตะเกียงอยู่เนี่ย"

    คนที่เดินมาชนก็เลยตอบกลับไปว่า
    "ตะเกียงที่นายถือน่ะดับไปแล้ว"

   เพื่อนๆครับ ลองตีความดูนะครับ นิทานเรื่่องนี้สอนให้รู้อะไร


ขอบคุณเรื่องและภาพจาก
https://www.facebook.com/notes/ศาลาพักใจ-เพื่อกำลังใจ/เรื่องคนตาบอดนี้-มีปริศนาธรรมแฝงอยู่-/211637402200673
http://www.phraprasong.org/talapat/181-blind-lamp
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 17, 2013, 08:47:25 am »
0
ภาพจาก เฟซบุ้ค ศาลาพักใจ-เพื่อกำลังใจ



เผยแพร่เมื่อ 25 ต.ค. 2012 โดย TheZito2012



อัปโหลดเมื่อ 18 พ.ย. 2011 โดย krisada phasuk



อัปโหลดเมื่อ 19 พ.ย. 2011 โดย krisada phasuk

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

KIDSADA

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 439
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 17, 2013, 05:53:27 pm »
0


อ่านเนื้อเรื่องแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจ แต่นับว่ามีปริศนาเป็นอย่างมาก


 :49:
บันทึกการเข้า
เราชอบ ป่วนแก็งค์ อ๊บ อ๊บ

Akira

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 653
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 18, 2013, 08:57:47 am »
0
 st11 st12 thk56
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ มาศึกษาธรรมะจ้า แก๊งค์ อ๊บ อ๊บ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ตาบอดถือตะเกียง : มุมของอริยะ มองปุถุชนผู้มากด้วยปริยัติ

เรื่องมีอยู่ว่า พระเถระท่านหนึ่งมีลูกศิษย์มากมาย เป็นที่นับหน้าถือตาของชุมชนหนึ่ง พระลูกศิษย์หลายองค์ปฏิบัติจนได้เห็นมรรคผล มีลูกศิษย์องค์หนึ่งได้กลับมาเยี่ยมอาจารย์ของตน  เมื่อได้เห็นพระอาจารย์ได้รำพึงในใจว่า อาจารย์เรายังไม่เห็นมรรคผลเลย เหมือนคนตาบอดถือตะเกียง 
     จึงเข้าไปบอกอาจารย์ว่า “อาจารย์...ท่านควรจะหาที่พึ่ง”


      ask1 ask1 ans1 ans1

    ตาบอดถือตะเกียงมีความหมายอย่างไร.?

     ในที่นี้หมายถึง คนที่ถือคัมภีร์หรือตำราคำสอนต่างๆทางพุทธศาสนา มีความรู้ทางปริยัติเป็นอย่างดี สามารถจะสอนคนอื่นให้เข้าใจได้ และลูกศิษย์ก็นำความรู้นั้นไปปฏิบัติจนเห็นมรรคผล แต่ตัวคนสอนเองกลับไม่สามารถนำความรู้ของตนที่มีอยู่ไปปฏิบัติให้เห็นมรรคผลได้ 

     ตำราคำสอนที่ตนมีอยู่เปรียบเสมือนตะเกียงที่ติดอยู่ แสงสว่างจากตะเกียงเป็นแสงสว่างแห่งปัญญา หรืออีกนัยหนึ่งเปรียบเสมือนการได้เห็นมรรคผล เพราะมีแสงตะเกียงนั้นนำทางไป ตำราคำสอนของพระอาจารย์องค์นั้นสามารถทำให้คนอื่นเห็นแสงสว่างได้ แต่คนถือตำราคำสอนนั้นกลับมองไม่เห็นแสงสว่างที่ตนถืออยู่  อุปมาดังคนตาบอดถือตะเกียงที่ติดอยู่

     ตะเกียงนั้นมีแสงอยู่ในตัวมันเอง คนที่ถือตะเกียงอยู่แต่ไม่เห็นแสงตะเกียงนั้น  มีอยู่ประเภทเดียวคือ คนตาบอด พระอาจารย์องค์นั้นรู้แต่ทฤษฎีอย่างเดียว แต่ปฏิบัติไม่ได้ จึงเปรียบเสมือนคนตาบอดที่ไม่อาจเห็นแสงของตะเกียงนั้นได้   





     ปฏิบัติไปร้องไห้ไปอยู่ ๑๙ ปี

     กลับมาที่พระอาจารย์องค์นั้น หลังจากได้รับคำเตือนจากลูกศิษย์แล้ว ได้เกิดความละอายใจ แอบหนีไปในคืนหนึ่ง อาศัยความมืดปิดบังตัวเอง ไม่ต้องการให้ใครจดจำตัวเองได้  หวังจะหนีไปปฏิบัติให้เห็นมรรคผล ครั้นไปอยู่ใกล้ชุมชนก็กลัวว่าจะมีคนจำตัวเองได้ จึงหนีไปอยู่ในป่าลึก

     แรกๆที่ปฏิบัติก็คิดว่า คนฉลาดอย่างตน ๗ วันก็น่าจะสำเร็จได้ ผ่านไป ๗ วัน ก็ยังไม่สำเร็จ ผ่านไป ๗ สัปดาห์ก็แล้ว ๗ เดือนก็แล้ว ๗ ปีก็แล้ว.....ก็ยังไม่สำเร็จ พระเถระองค์นั้นร้องไห้ น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาก็ตนเอง ปฏิบัติไปร้องไห้ไปอยู่อย่างนั้นอยู่ ๑๙ ปี


     :96: :96: :03: :03:

    อยู่มาวันหนึ่งมีสตรีนางหนึ่งมาร้องไห้ แถวๆ กุฏิของท่าน  บริเวณนั้นเป็นป่าทั้งหมด ท่านได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ ท่านก็ได้แต่สงสัยว่า ในป่านี้มีผู้หญิงด้วยหรือ
    หลายวันต่อมา ผู้หญิงคนนั้นก็ยังมาร้องไห้อยู่แถวๆกุฏิท่าน
    ท่านรำคาญจึงถามเธอไปว่า เธอมีทุกข์มากอย่างไร จึงมาร้องไห้แถวนี้
    เธอตอบว่า ฉันเห็นท่านร้องไห้ ฉันเลยร้องไห้ตามท่าน
    ท่านกล่าวว่า ที่เราร้องไห้ เพราะทุกข์ที่ปฏิบัติธรรมไม่สำเร็จ จึงปฏิบัติไปร้องไห้ไป
    ผู้หญิงคนนั้นพูดย้อนว่า ฉันเข้าใจว่า ร้องไห้แล้วจะปฏิบัติธรรมสำเร็จ ฉันจึงร้องไห้ตามท่าน
   
    พระเถระองค์นั้นฉุกคิดขึ้นได้ว่า การร้องไห้ของท่านเกิดจากความอยากที่เห็นมรรคผลมากเกินไป ทำให้ปฏิบัติไม่สำเร็จ ไม่มีประโยชน์ที่เราจะร้องไห้ต่อไป จึงกล่าวขอบคุณผู้หญิงคนนั้นด้วยคำว่า คำตอบของเธอนำแสงสว่างมาให้อาตมา ต่อไปอาตมาจะไม่ร้องไห้แล้ว
    ในคืนนั้นเอง พระเถระผู้ละความอยากมีอยากเป็นได้แล้ว เลิกร้องไห้ ปฏิบัติจนสำเร็จอรหันต์


     ask1 ask1 ask1

     ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร.?

     ได้ยินว่า เป็นพรหมอยู่สุทธาวาส ในชั้นอกนิษฐ์ พรหมองค์นี้เคยเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมด้วยกันในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ สมัยนั้นพระเถระดังกล่าวปฏิบัติไม่สำเร็จ แต่พรหมองค์นี้ปฏิบัติได้ดี จึงมาจุติในสุทธาวาส  ท่านเห็นพระเถระร้องไห้ไปปฏิบัติไป จึงแปลงร่างมาเป็นผู้หญิงเพื่อชี้ทางสว่างให้

      จบเรื่องตาบอดถือตะเกียง


หมายเหตุ  เรื่องนี้ผมเรียบเรียงขึ้นใหม่ตามความเข้าใจของผม จากการฟังเทศน์ของพระอาจารย์สมภพ โชติปัญโญ หากผิดพลาดประการใด เกรงว่าจะเป็นการปรามาสท่าน จึงขอกราบขออภัยมา ณ ที่นี้

ขอบคุณภาพจาก
http://1.bp.blogspot.com/
http://www.watphramahajanaka.org/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 22, 2013, 02:00:05 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2013, 02:51:46 pm »
0

ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง

    ณ หมู่บ้านหนึ่งมีคนตาบอดอยู่หน้าหมู่บ้าน คนตาบอดมีเพื่อนสนิทอยู่ท้ายหมู่บ้าน วันหนึ่งคนตาบอดก็ไปเที่ยวหาเพื่อนที่ท้ายหมู่บ้านคุยกันจนดึก คนตาบอดก็ขอตัวกลับบ้าน
    เพื่อนของคนตาบอดก็ให้ตะเกียง คนตาบอดก็พูดด้วยความตลกขบขันว่า
    "เราไม่ต้องใช้หรอกตะเกียงน่ะ"

    เพื่อนของคนตาบอดก็บอกว่า
    "ที่ให้ตะเกียงน่ะไม่ได้ให้นายไว้ส่องดูทาง แต่ให้ไว้เพื่อให้คนอื่นนั้นเห็นนาย"

    คนตาบอดก็ถือตะเกียงเดินทางกลับบ้าน แต่ก่อนที่จะถึงบ้านก็มีคนเดินมาชนเข้า
    คนตาบอดก็หัวเสียเลยด่าไปว่า
    "ตาบอดรึไงถึงไม่เห็น เราถือตะเกียงอยู่เนี่ย"

    คนที่เดินมาชนก็เลยตอบกลับไปว่า
    "ตะเกียงที่นายถือน่ะดับไปแล้ว"

   เพื่อนๆครับ ลองตีความดูนะครับ นิทานเรื่่องนี้สอนให้รู้อะไร


ขอบคุณเรื่องและภาพจาก
https://www.facebook.com/notes/ศาลาพักใจ-เพื่อกำลังใจ/เรื่องคนตาบอดนี้-มีปริศนาธรรมแฝงอยู่-/211637402200673
http://www.phraprasong.org/talapat/181-blind-lamp


      ask1 ask1 ans1 ans1

      เรามาวิจัยธรรมกันดู..นะครับ

      ask1 "ที่ให้ตะเกียงน่ะไม่ได้ให้นายไว้ส่องดูทาง แต่ให้ไว้เพื่อให้คนอื่นนั้นเห็นนาย"
      ask1 ประโยคนี้น่าจะหมายถึง การสร้างพระไตรปิฏกถวายวัด หรือการแจกหนังสือธรรมะเป็นธรรมทาน แม้ว่าผู้ทำทานนั้นอาจจะปฏิบัติได้แค่ ทานกับศีลเท่านั้น และคนนั้นก็ไม่สามารถภาวนาได้เลย แต่ธรรมทานนั้นก็ยังสามารถทำให้ผู้อื่นเข้ามาสนใจพุทธศาสนา และสามารถปฏิบัติจนเห็นมรรคผลนิพพานได้


     ask1 "ตะเกียงที่นายถือน่ะดับไปแล้ว"
     ans1 ประโยคนี้อาจหมายถึง "คนถือสาก ปากถือศีล" ไปวัดไปวาบ้าง ทำทานบ้าง แต่ทำไปเพื่อรักษาหน้าตนเอง ในใจไม่มีศีลอยู่เลย(แสงตะเกียงคือศีล) หรืออีกนัยหนึ่ง อาจหมายถึง การอันตรธานของปริยัติ(แสงตะเกียงเป็นปริยัติ) เป็นยุคที่ไม่มีคำสอนอยู่เลย เป็นกลียุค เป็นช่วงพุทธันดร


     ขอให้เพื่อนๆ ลองตีความกันดู "คิดเล่นเห็นต่าง"..ก็ได้นะครับ ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนผม
     สุดท้ายขอจบดัวยพุทธพจน์ที่ว่า

           นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา
           แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาย่อมไม่มี

________________________________________________________________________
ที่มา : นัตถิปุตตสมสูตรที่ ๓ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=170&Z=179&pagebreak=0
             
           ปญฺญา โลกสฺมิ ปชฺโชโต
           ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก

________________________________________________________________________
ที่มา : ปัชโชตสูตรที่ ๑๐ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=1358&Z=1371
           
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2013, 03:55:59 pm »
0
มีเรื่องในพระสูตร กล่าวถึงกาลสมัยพระพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ( จำผิดหรือไม่ )
 มีพระภิกษุ 7 รูป มาบวชปฏิบัติในการสมัยอวสาน พระพุทธศาสนายุคนั้น ท่านตั้งใจกันว่า เรามาบวชในกาลสมัยที่พระพุทธศาสนา เสื่อมหากยังปฏิบัติเช่นเดิม ก็คงถึงแก่การไม่บรรลุมรรคผลใด ๆ ดังนั้นทั้งหมดจึงตัดสินใจตกลงกันว่า จักขึ้นไปปฏิบัติภาวนาบนยอดเขาที่หาทางลงไม่ได้ ด้วยการถวายชีวิต ยอมตายบนยอดเขานั้น ครั้นตกลงดังนั้นก็ปีนกันขึ้นไปด้วยบันได หลังจากนั้น ก็ทำลายบันไดลงเสีย ซึ่งทำให้กันไม่ได้
 
   ผ่านไปหนึ่งวัน ภิกษุมหาเถระก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์  ฝ่ายเจโตวิมุตติ
   วันที่สอง ภิกษุอนุเถระ ก็สำเร็จเป็นพระอนาคามี ฝ่ายเจโตวิมุตติ
   ส่วนอีก 5 รูป เสียชีวิต
   
   ที่กล่าวตรงนี้ก็คือ รูปที่สองที่เป็นพรหม มาคอยช่วยเหลือเพื่อน อีกห้าคน ในกาลสมัยพระพุทธเจ้า องค์ปัจจบันด้วยการชี้ทาง ตักเตือนทางอ้อม

    ภิกษุ 5 รูปนั้นได้มาบังเกิดเป็นเป็นมนุษย์ และได้บรรลุคุณธรรม ตามลำดับ

    3 คนแรกสำเร็จสำเร็จเป็นพระอรหันต์ คนที่สี่สำเร็จเป็นพระอนาคามี  คนสุดท้ายสำเร็จเป็นพระโสดาบัน
    3 คนหลัง ตายก่อนบวชได้บวช คือ ถูกวัวขวิดตาย มี พระพาหิยะ  พระปุกกุสาติ และ พระเคราแดง
       ที่เรียกว่าท่านเป็นพระ เพราะท่านเป็นพระอริยะ นั่นเอง

  เจริญธรรม / เจริญพร
 
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

rainmain

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 323
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2013, 07:42:52 pm »
0
 st11 st12 thk56
บันทึกการเข้า
คิดดี พูดดี ทำดี เป็นกุศล และ กรรมฐาน เป็นมหากุศล นะครับ

VongoleX

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 402
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2013, 09:40:08 pm »
0
 st11 st12
บันทึกการเข้า
ผู้พิทักษ์รุ่นที่ 10 แห่ง Vongole จับมือกับ แก็งค์ อ๊บ อ๊บ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2013, 07:06:02 am »
0
มีเรื่องในพระสูตร กล่าวถึงกาลสมัยพระพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ( จำผิดหรือไม่ )
 มีพระภิกษุ 7 รูป มาบวชปฏิบัติในการสมัยอวสาน พระพุทธศาสนายุคนั้น ท่านตั้งใจกันว่า เรามาบวชในกาลสมัยที่พระพุทธศาสนา เสื่อมหากยังปฏิบัติเช่นเดิม ก็คงถึงแก่การไม่บรรลุมรรคผลใด ๆ ดังนั้นทั้งหมดจึงตัดสินใจตกลงกันว่า จักขึ้นไปปฏิบัติภาวนาบนยอดเขาที่หาทางลงไม่ได้ ด้วยการถวายชีวิต ยอมตายบนยอดเขานั้น ครั้นตกลงดังนั้นก็ปีนกันขึ้นไปด้วยบันได หลังจากนั้น ก็ทำลายบันไดลงเสีย ซึ่งทำให้กันไม่ได้
 
   ผ่านไปหนึ่งวัน ภิกษุมหาเถระก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์  ฝ่ายเจโตวิมุตติ
   วันที่สอง ภิกษุอนุเถระ ก็สำเร็จเป็นพระอนาคามี ฝ่ายเจโตวิมุตติ
   ส่วนอีก 5 รูป เสียชีวิต
   
   ที่กล่าวตรงนี้ก็คือ รูปที่สองที่เป็นพรหม มาคอยช่วยเหลือเพื่อน อีกห้าคน ในกาลสมัยพระพุทธเจ้า องค์ปัจจบันด้วยการชี้ทาง ตักเตือนทางอ้อม

    ภิกษุ 5 รูปนั้นได้มาบังเกิดเป็นเป็นมนุษย์ และได้บรรลุคุณธรรม ตามลำดับ

    3 คนแรกสำเร็จสำเร็จเป็นพระอรหันต์ คนที่สี่สำเร็จเป็นพระอนาคามี  คนสุดท้ายสำเร็จเป็นพระโสดาบัน
    3 คนหลัง ตายก่อนบวชได้บวช คือ ถูกวัวขวิดตาย มี พระพาหิยะ  พระปุกกุสาติ และ พระเคราแดง
       ที่เรียกว่าท่านเป็นพระ เพราะท่านเป็นพระอริยะ นั่นเอง

  เจริญธรรม / เจริญพร
 





อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน โพธิวรรคที่ ๑ พาหิยสูตร
อรรถกถาพาหิยสูตร 
     

(ยกมาแสดงบางส่วน)
ได้ยินว่า เมื่อก่อนศาสนาของพระกัสสปทศพลจะเสื่อม ภิกษุ ๗ รูปเห็นประการอันแปลกของสหธรรมิกมีสามเณรเป็นต้น เกิดความสลดใจ คิดว่าศาสนายังไม่อันตรธานตราบใด เราจะทำที่พึ่งของตนตราบนั้น จึงไหว้เจดีย์ทองแล้วเข้าป่า เห็นภูเขาลูกหนึ่งจึงกล่าวว่า
    ผู้มีความอาลัยในชีวิตจงกลับไป ผู้ไม่มีความอาลัยจงขึ้นภูเขาลูกนี้
    แล้วพากันผูกบันไดขึ้นภูเขานั้นทั้งหมด แล้วผลักบันไดลง กระทำสมณธรรม.

    บรรดาภิกษุเหล่านั้น พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตโดยล่วงไปราตรีเดียวเท่านั้น.
    ท่านนำบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปแล้วกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า
    ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย โปรดฉันบิณฑบาตจากที่นี้เถิด.
    ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านได้ทำอย่างนี้ด้วยอานุภาพของตน ถ้าแม้พวกกระผมจักยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้เช่นท่านไซร้ จักนำมาฉันเสียเองทีเดียว จึงไม่ปรารถนาจะฉัน.

    ตั้งแต่วันที่สองไป พระเถระที่ ๒ ก็บรรลุอนาคามิผล.
    แม้ท่านก็ถือเอาบิณฑบาตเหมือนอย่างนั้นไปยังที่นั้น แล้วนิมนต์ภิกษุนอกนี้ (ฉัน).
    ฝ่ายภิกษุเหล่านั้นก็ได้ปฏิเสธเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ.


    :96: :96: :96:

    บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตก็ปรินิพพานไป.
    พระอนาคามีก็ไปบังเกิดในชั้นสุทธาวาส.
    ส่วนพระ ๕ รูปนอกนี้ แม้เพียรพยายามอยู่ก็ไม่อาจทำคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้.
    ภิกษุเหล่านั้น เมื่อไม่สามารถ (จะทำอะไรได้) ก็ซูบผอมตายลงในที่นั้นเอง แล้วบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไปในเทวโลกนั่นแหละ สิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้จุติจากเทวโลกบังเกิดในเรือนมีสกุลนั้นๆ.

    ก็บรรดาคนเหล่านั้น คนหนึ่งได้เป็นพระราชาพระนามว่า ปุกกุสะ,
    คนหนึ่งเป็น กุมารกัสสปะ, คนหนึ่งเป็น ทัพพมัลลบุตร,
    คนหนึ่งเป็น สภิยปริพาชก, คนหนึ่งเป็น พาหิยะ ทารุจีริยะ.




   
     บรรดาคนเหล่านั้น พระอนาคามีผู้ที่บังเกิดในพรหมโลก ซึ่งท่านหมายเอากล่าวคำนี้ไว้ว่า ปุราณสาโลหิตา เทวตา เทวดาผู้ร่วมสาโลหิต ดังนี้.
    จริงอยู่ แม้เทวบุตรก็เรียกว่า เทวดา เพราะอธิบายว่า เทวดาก็คือ เทพ เหมือนเทพธิดา ดุจในประโยคมีอาทิว่า อถ โข อญฺญตรา เทวตา ครั้งนั้นแล เทวดาองค์หนึ่ง. แต่ในที่นี้ พรหม ท่านประสงค์เอาว่า เทวดา.

   ก็เมื่อพรหมนั้นตรวจดูพรหมสมบัติแล้วนึกถึงสถานที่ตนมา ในลำดับที่เกิดในพรหมโลกนั้นทีเดียว การที่พวกชนทั้ง ๗ คนขึ้นภูเขากระทำสมณธรรมก็ดี ความที่ตนบรรลุอนาคามิผล แล้วบังเกิดในพรหมโลกก็ดี ปรากฏแล้ว.
 
       
     :sign0144: :sign0144: :sign0144:

     พรหมนั้นรำพึงว่า ฝ่ายชนทั้ง ๕ บังเกิดที่ไหนหนอ รู้ว่าชนเหล่านั้นบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร ครั้นต่อมาตามเวลาอันสมควร ได้ตรวจดูประวัติของชนเหล่านั้นว่า กระทำอะไรกันหนอ.
 
     แต่ในเวลานี้ เมื่อรำพึงว่า พวกเหล่านั้นอยู่ที่ไหนหนอ จึงได้เห็นพาหิยะอาศัยท่าสุปปารกะ นุ่งผ้าคากรองทำด้วยเปลือกไม้ เลี้ยงชีพด้วยการหลอกลวง
     คิดว่า เมื่อก่อน ผู้นี้พร้อมกับเราผูกบันไดขึ้นภูเขากระทำสมณธรรม ไม่อาลัยในชีวิต เพราะประพฤติกวดขันอย่างยิ่ง แม้พระอรหันต์จะนำบิณฑบาตมาให้ก็ไม่ฉัน บัดนี้ ประสงค์แต่จะให้เขายกย่อง ไม่เป็นพระอรหันต์เลย ก็ยังเที่ยวปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ มีความปรารถนาลาภ สักการะและชื่อเสียง ทั้งไม่รู้ว่าพระทศพลอุบัติขึ้นแล้ว เอาเถอะ เราจักทำเขาให้สลดใจแล้วให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว.

      ans1 ans1 ans1

     ทันใดนั้นเอง จึงลงจากพรหมโลก ปรากฏตรงหน้าท่านทารุจีริยะ ที่ท่าสุปปารกะ ตอนกลางคืน.
     ท่านพาหิยะเห็นแสงสว่างโชติช่วงในที่อยู่ของตน จึงคิดว่า นี้เหตุอะไรหนอ แล้วได้ออกไปข้างนอกตรวจดูอยู่ เห็นมหาพรหมอยู่ในอากาศ จึงประคองอัญชลีถามว่า ท่านเป็นใคร?

     ลำดับนั้น พรหมได้กล่าวแก่ท่านว่า เราเป็นสหายเก่าของท่าน คราวนั้นเราบรรลุอนาคามิผล บังเกิดในพรหมโลก แต่ท่านไม่สามารถจะทำคุณวิเศษอะไรให้บังเกิดได้ คราวนั้นท่านทำกาลกิริยาเยี่ยงปุถุชนท่องเที่ยวไป บัดนี้ ทรงเพศเยี่ยงเดียรถีย์ ไม่เป็นพระอรหันต์เลย ยังเที่ยวถือลัทธินี้ว่าเราเป็นพระอรหันต์ (เรา) รู้ดังนี้จึงได้มา

     ดูก่อนพาหิยะ ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย จงสละทิฏฐิอันลามกเช่นนั้นเสียเถิด ท่านอย่าได้เป็นไปเพื่อฉิบหาย เพื่อทุกข์ตลอดกาลนานเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ จงเข้าไปเฝ้าพระองค์เถิด. ฯลฯ...


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=47
ภาพจาก http://www.rmutphysics.com/ , http://3.bp.blogspot.com/



 ans1 ans1 ans1

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕
๗. เรื่องสุปปพุทธกุฏฐิ

(ยกมาแสดงบางส่วน)

    บุรพกรรมของสุปปพุทธะและแม่โค              
    ได้ยินว่า โคแม่ลูกอ่อนนั้น เป็นยักษิณีตนหนึ่ง เป็นแม่โคปลงชนทั้ง ๔ นี้ คือ                       
        กุลบุตรชื่อ ปุกกุสาติ ๑
        พาหิยทารุจีริยะ ๑
        นายโจรฆาตกะชื่อ ตัมพทาฐิกะ ๑
        สุปปพุทธกุฏฐิ ๑

    จากชีวิตคนละร้อยอัตภาพ.


     :96: :96: :96:

   ได้ยินว่า ในอดีตกาล ชนเหล่านั้นเป็นบุตรเศรษฐีทั้ง ๔ คน นำหญิงแพศยาผู้เป็นนครโสเภณีคนหนึ่ง ไปสู่สวนอุทยาน เสวยสมบัติตลอดวันแล้ว ในเวลาเย็น ปรึกษากันอย่างนี้ว่า "ในที่นี้ไม่มีคนอื่น, เราทั้งหลายจักถือเอากหาปณะพันหนึ่งและเครื่องประดับทั้งหมดที่พวกเราให้แก่หญิงนี้แล้ว ฆ่าหญิงนี้เสียไปกันเถิด."

   หญิงนั้นฟังถ้อยคำของเศรษฐีบุตรเหล่านั้นแล้ว คิดว่า "ชนพวกนี้ไม่มียางอาย อภิรมย์กับเราแล้ว บัดนี้ปรารถนาจะฆ่าเรา, เราจักรู้กิจที่ควรกระทำแก่ชนเหล่านั้น"
   เมื่อถูกชนเหล่านั้นฆ่าอยู่ ได้กระทำความปรารถนาว่า "ขอเราพึงเป็นยักษิณี ผู้สามารถเพื่อฆ่าชนเหล่านั้น เหมือนอย่างที่พวกนี้ฆ่าเรา ฉะนั้นเหมือนกัน."......ฯลฯ...


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=15&p=7
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2013, 07:23:10 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2013, 08:09:24 am »
0
มีเรื่องในพระสูตร กล่าวถึงกาลสมัยพระพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ( จำผิดหรือไม่ )
 มีพระภิกษุ 7 รูป มาบวชปฏิบัติในการสมัยอวสาน พระพุทธศาสนายุคนั้น ท่านตั้งใจกันว่า เรามาบวชในกาลสมัยที่พระพุทธศาสนา เสื่อมหากยังปฏิบัติเช่นเดิม ก็คงถึงแก่การไม่บรรลุมรรคผลใด ๆ ดังนั้นทั้งหมดจึงตัดสินใจตกลงกันว่า จักขึ้นไปปฏิบัติภาวนาบนยอดเขาที่หาทางลงไม่ได้ ด้วยการถวายชีวิต ยอมตายบนยอดเขานั้น ครั้นตกลงดังนั้นก็ปีนกันขึ้นไปด้วยบันได หลังจากนั้น ก็ทำลายบันไดลงเสีย ซึ่งทำให้กันไม่ได้
 
   ผ่านไปหนึ่งวัน ภิกษุมหาเถระก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์  ฝ่ายเจโตวิมุตติ
   วันที่สอง ภิกษุอนุเถระ ก็สำเร็จเป็นพระอนาคามี ฝ่ายเจโตวิมุตติ
   ส่วนอีก 5 รูป เสียชีวิต
   
   ที่กล่าวตรงนี้ก็คือ รูปที่สองที่เป็นพรหม มาคอยช่วยเหลือเพื่อน อีกห้าคน ในกาลสมัยพระพุทธเจ้า องค์ปัจจบันด้วยการชี้ทาง ตักเตือนทางอ้อม

    ภิกษุ 5 รูปนั้นได้มาบังเกิดเป็นเป็นมนุษย์ และได้บรรลุคุณธรรม ตามลำดับ

    3 คนแรกสำเร็จสำเร็จเป็นพระอรหันต์ คนที่สี่สำเร็จเป็นพระอนาคามี  คนสุดท้ายสำเร็จเป็นพระโสดาบัน
    3 คนหลัง ตายก่อนบวชได้บวช คือ ถูกวัวขวิดตาย มี พระพาหิยะ  พระปุกกุสาติ และ พระเคราแดง
       ที่เรียกว่าท่านเป็นพระ เพราะท่านเป็นพระอริยะ นั่นเอง

  เจริญธรรม / เจริญพร
 




อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ โอปัมมวรรค
วัมมิกสูตร ว่าด้วยปริศนาจอมปลวก

(ยกมาแสดงบางส่วน)

    อรรถกถาวัมมิกสูตร (ประวัติพระกุมารกัสสป)              
    คำว่า กุมารกสฺสโป เป็นชื่อของท่าน. แต่เพราะท่านบวชในเวลายังเด็ก เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า จงเรียกกัสสปมา จงให้ผลไม้หรือของเคี้ยวนี้แก่กัสสป เพราะภิกษุทั้งหลายสงสัยว่า กัสสปองค์ไหน จึงขนานนามท่านอย่างนี้ว่า กุมารกัสสป ตั้งแต่นั้นมา ในเวลาที่ท่านแก่เฒ่าก็ยังเรียกว่า กุมารกัสสปอยู่นั้นเอง.
    อีกอย่างหนึ่ง คนทั้งหลายจำหมายท่านว่า กุมารกัสสป เพราะเป็นบุตรเลี้ยงของพระราชา.

    จะกล่าวให้แจ่มแจ้งตั้งแต่บุพพประโยคของท่าน ดังต่อไปนี้.
    ดังได้สดับมา พระเถระเป็นบุตรเศรษฐี ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ต่อมาวันหนึ่ง พระเถระเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถาปนาสาวกของพระองค์รูปหนึ่ง ผู้กล่าวธรรมได้วิจิตรไว้ในฐานันดร ถวายทาน ๗ วันแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ข้าพระองค์ก็พึงเป็นสาวกผู้กล่าวธรรมได้วิจิตรเหมือนพระเถระรูปนี้ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล 


     :49: :49: :49:

    ดังนี้แล้ว กระทำบุญทั้งหลาย
    บวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสป ไม่อาจทำคุณวิเศษให้บังเกิดได้.
   ได้ยินว่า ครั้งนั้นเมื่อพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วเสื่อมลง ภิกษุ ๕ รูปผูกบันไดขึ้นภูเขากระทำสมณธรรม.
    พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตต์วันที่ ๓.
    พระอนุเถระเป็นพระอนาคามีวันที่ ๔.
    ฝ่ายพระเถระอีก ๓ รูปไม่อาจทำคุณวิเศษให้บังเกิด ก็ไปบังเกิดในเทวโลก.





    เมื่อเทพเหล่านั้นเสวยสมบัติในเทวดาและมนุษย์ตลอดพุทธันดรหนึ่ง องค์หนึ่งก็ไปเกิดในราชตระกูล กรุงตักกสิลา เป็นพระราชาพระนามว่า ปุกกุสาติ บวชอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า มาสู่กรุงราชคฤห์ ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่โรงช่างหม้อ บรรลุอนาคามิผล.

    องค์หนึ่งบังเกิดในเรือนสกุลใกล้ท่าเรือแห่งสุปารกะแห่งหนึ่ง ขึ้นเรือ เรืออัปปาง นุ่งท่อนไม้แทนผ้า ถึงลาภสมบัติเกิดความคิดขึ้นว่า ข้าเป็นพระอรหันต์ ถูกเทวดาผู้หวังดีตักเตือนว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ดอก ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดาเถิด ได้กระทำเหมือนอย่างนั้น บรรลุอรหัตตผล.(องค์นี้คือ พระพาหิยะ)

    องค์หนึ่งเกิดในท้องของหญิงผู้มีสกุลคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์. นางได้อ้อนวอนมารดาบิดา เมื่อไม่ได้บรรพชาก็แต่งงาน ไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ อ้อนวอนสามี สามีอนุญาตก็บวชในสำนักภิกษุณี.
    ภิกษุณีทั้งหลายเห็นนางตั้งครรภ์จึงถามพระเทวทัตต์.
    พระเทวทัตต์ตอบว่า นางไม่เป็นสมณะแล้ว.
    เหล่าภิกษุณีจึงไปทูลถามพระทศพล.


     :91: :91: :91:

    พระศาสดาโปรดให้พระอุบาลีรับเรื่องไว้พิจารณา พระเถระให้เชิญสกุลชาวพระนครสาวัตถีและนางวิสาขาอุบาสิกา ให้ช่วยกันชำระ (ได้ข้อเท็จจริงแล้ว) จึงกล่าวว่า นางมีครรภ์มาก่อน บรรพชาจึงไม่เสีย. พระศาสดาประทานสาธุการแก่พระเถระว่า อุบาลีวินิจฉัยอธิกรณ์ชอบแล้ว.
    ภิกษุณีนั้นคลอดบุตรมีประพิมประพายดังแท่งทอง.
    พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงรับเด็กนั้นมาชุบเลี้ยง ประทานนามเด็กนั้นว่า กัสสป.
    ต่อมาทรงเลี้ยงเจริญวัยแล้วนำไปยังสำนักพระศาสดา ให้บรรพชา.
    ดังนั้น คนทั้งหลายจึงหมายชื่อเด็กนั้นว่า กุมารกัสสป เพราะเป็นบุตรเลี้ยงของพระราชาแล.


    ......ฯลฯ..........





ได้ยินว่า เทพบุตรได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ผู้นี้อยู่ในระหว่างกามาวจรภูมิ ส่วนเราเป็นพรหมจารีตั้งแต่กาลนั้นในเวลานั้น. แม้สมณสัญญาของเทพบุตรนั้นยังปรากฏอยู่ เพราะฉะนั้น เทพบุตรนั้นจึงไม่ไหว้ กล่าวโดยสมณโวหารอย่างเดียว.

      ถามว่า ได้ยินว่า เทพบุตรนั้นเป็นบุรพสหายของพระเถระ ตั้งแต่ครั้งไหน.
      ตอบว่า ตั้งแต่กาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกัสสปะ.
      จริงอยู่ บรรดาสหายทั้ง ๕ ที่มาในครั้งก่อน สหายนั้นใดที่ท่านกล่าวว่าพระอนุเถระได้เป็นพระอนาคามี ในวันที่ ๔ สหายนั้นก็คือผู้นี้.


      :96: :96: :96:

ได้ยินว่า ครั้งนั้นบรรดาพระเถระเหล่านั้น อภิญญากับพระอรหัตต์นั้นแลมาถึงแก่สังฆเถระ. พระสังฆเถระนั้นคิดว่า กิจของเราถึงที่สุดแล้ว จึงเหาะสู่นภากาศ บ้วนปากที่สระอโนดาด รับบิณฑบาตจากอุตตรกุรุทวีป กลับมาแล้วกล่าวว่า ผู้มีอายุจงฉันบิณฑบาตนี้ อย่าประมาท กระทำสมณธรรม.

เหล่าภิกษุนอกนี้กล่าวว่า ผู้มีอายุ พวกเราไม่มีกติกาอย่างนี้ว่า ผู้ใดบังเกิดคุณวิเศษก่อนก็นำบิณฑบาตมา พวกที่เหลือฉันบิณฑบาตที่ผู้นั้นนำมากระทำสมณธรรม พวกท่านบรรลุที่สุดกิจด้วยอุปนิสสัยของตน ถ้าว่าพวกเราจักมีอุปนิสสัยก็จักบรรลุที่สุดกิจ นั่นเป็นความชักช้าของพวกเราเอง พวกท่านจงไปเถิด.

    สังฆเถระนั้นไปตามความผาสุก ปรินิพพานเมื่อสิ้นอายุ.
    วันรุ่งขึ้น พระอนุเถระกระทำให้แจ้งพระอนาคามิผล อภิญญาทั้งหลายก็มาถึงท่าน.
    แม้ท่านก็นำบิณฑบาตมาเหมือนอย่างนั้นเหมือนกัน ถูกภิกษุเหล่านั้นปฏิเสธ ก็ไปตามความผาสุก เมื่อสิ้นอายุก็บังเกิดในชั้นสุทธาวาส.





    พระอนุเถระนั้นครั้นดำรงอยู่ในชั้นสุทธาวาสแล้ว ตรวจดูสหายเหล่านั้น ก็เห็นว่า สหายผู้หนึ่งปรินิพพานในครั้งนั้นแล ผู้หนึ่งบรรลุอริยภูมิในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยไม่นาน ผู้หนึ่งอาศัยลาภสักการะเกิดความคิดขึ้นว่า เราเป็นพระอรหันต์ อยู่ที่ท่าเรือชื่อสุปปารกะนั่นแล แล้วเข้าไปหาเขา สั่งเขาไปด้วยกล่าวว่า ท่านไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ยังปฏิบัติไม่ถึงพระอรหัตตมรรค จงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าฟังธรรมเสีย.

    แม้สหายผู้นั้นทูลขอโอวาทกะพระผู้มีพระภาคเจ้าในละแวกบ้าน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโอวาทโดยสังเขปว่า พาหิยะ เพราะฉะนั้นแล เธอพึงศึกษาในสิ่งที่ท่านเห็นแล้ว จงเป็นสักแต่ว่าเห็น ก็บรรลุอริยภูมิ.

    สหายผู้หนึ่งนอกจากนั้นมีอยู่ เขาตรวจดูว่าอยู่ที่ไหน ก็เห็นว่า กำลังบำเพ็ญเสกขปฏิปทาอยู่ในอันธวัน จึงคิดว่า เราจักไปยังสำนักของสหาย แต่เมื่อไปไม่ไปมือเปล่า ควรจะถือเครื่องบรรณาการบางอย่างไปด้วย แต่สหายของเราไม่มีอามิสอยู่บนยอดเขา แต่สหายนั้นจักไม่ฉันแม้บิณฑบาตที่เรายืนอยู่บนอากาศถวาย ได้กระทำสมณธรรม
    บัดนี้ท่านจักรับอามิสบรรณาการหรือจำเราจักถือธรรมบรรณาการไป แล้วดำรงในพรหมโลกนั่นแล
    จำแนกปัญหา ๑๕ ข้อเหมือนร้อยรัตนวลีพวงแก้วถือธรรมบรรณาการนั้นมา
    ยืนอยู่ในที่ไม่ไกลสหาย ไม่อภิวาทพระเถระนั้นโดยกล่าวด้วยสมณสัญญาเรียกว่า ภิกษุ ภิกษุ
    (สหายคนนี้คือ พระกุมารกัสสป).....ฯลฯ..........


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=289
ขอบคุณภาพจาก
http://www.dhammajak.net/
http://palungjit.org/
http://dhammaway.files.wordpress.com/
http://www.dmc.tv/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2013, 06:52:12 pm »
0
อรรถกถาสูตรมีกล่าวอ้างถึงบุคคลทั้ง ๕ ที่ร่วมกุศลป่ายปีนขึ้นเขาเพียรภาวนาถึงตายนั้นในปลายพระศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสปะไว้เพียง พระกุมารกัสสปะ ๑ พระทัพพมัลละบุตร ๑ พระพาหิยะ ทารุจีริยะ ๑ สภิยปริพาชก ๑ (สี่รูปนี้สำเร็จจบพรหมจรรย์อรหันตผล ดับขันธ์นิพพาน) พระปุกกุสาติ ๑ (รูปนี้สำเร็จอนาคามิผล สถิตย์สุทธาวาสเป็น
เทวพรหม)

สำหรับนายสุปปพุทธกุฏฐิ หรือ สุปปพุทธะขี้เรื้อนตกยากนั้น สำเร็จโสดาปัตติผล ทำกาลกิริยา(ตาย)แล้วเสวยทิพยวิมานในดาวดึงสพิภพ (เทวดากามาวจรภูมิชั้น ๒)

ส่วนนายโจรฆาตกรรม "ตัมพทาฐิกะ" สำเร็จเพียงโสดาปัตติมรรค ทำกาลกิริยา(ตาย)แล้วไปสู่ดุสิตบุรี (เทวดากามาวจรภูมิชั้น ๔)

ข้อน่าสังเกตนั้น คือ บุคคลผู้กระทำกรรมอันลามกแก่หญิงแพศยานครโสเภณี โดนโค(วัว)ยักษิณีขวิดตายมี ๔ คน คือ พระพาหิยะ ทารุจีริยะ ๑ พระปุกกุสาติ ๑ สภิยปริพาชก ๑ นายโจรฆาตกรรม "ตัมพทาฐิกะ" ๑ ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าสับสนศึกษาหาอ่านทำความกระจ่างค่อยๆว่ากันไป ครับ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2013, 07:02:41 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

waterman

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 302
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2013, 09:48:00 pm »
0
 st11 st12 thk56
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2013, 12:55:29 pm »
0
มีเรื่องในพระสูตร กล่าวถึงกาลสมัยพระพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ( จำผิดหรือไม่ )
 มีพระภิกษุ 7 รูป มาบวชปฏิบัติในการสมัยอวสาน พระพุทธศาสนายุคนั้น ท่านตั้งใจกันว่า เรามาบวชในกาลสมัยที่พระพุทธศาสนา เสื่อมหากยังปฏิบัติเช่นเดิม ก็คงถึงแก่การไม่บรรลุมรรคผลใด ๆ ดังนั้นทั้งหมดจึงตัดสินใจตกลงกันว่า จักขึ้นไปปฏิบัติภาวนาบนยอดเขาที่หาทางลงไม่ได้ ด้วยการถวายชีวิต ยอมตายบนยอดเขานั้น ครั้นตกลงดังนั้นก็ปีนกันขึ้นไปด้วยบันได หลังจากนั้น ก็ทำลายบันไดลงเสีย ซึ่งทำให้กันไม่ได้
 
   ผ่านไปหนึ่งวัน ภิกษุมหาเถระก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์  ฝ่ายเจโตวิมุตติ
   วันที่สอง ภิกษุอนุเถระ ก็สำเร็จเป็นพระอนาคามี ฝ่ายเจโตวิมุตติ
   ส่วนอีก 5 รูป เสียชีวิต
   
   ที่กล่าวตรงนี้ก็คือ รูปที่สองที่เป็นพรหม มาคอยช่วยเหลือเพื่อน อีกห้าคน ในกาลสมัยพระพุทธเจ้า องค์ปัจจบันด้วยการชี้ทาง ตักเตือนทางอ้อม

    ภิกษุ 5 รูปนั้นได้มาบังเกิดเป็นเป็นมนุษย์ และได้บรรลุคุณธรรม ตามลำดับ

    3 คนแรกสำเร็จสำเร็จเป็นพระอรหันต์ คนที่สี่สำเร็จเป็นพระอนาคามี  คนสุดท้ายสำเร็จเป็นพระโสดาบัน
    3 คนหลัง ตายก่อนบวชได้บวช คือ ถูกวัวขวิดตาย มี พระพาหิยะ  พระปุกกุสาติ และ พระเคราแดง
       ที่เรียกว่าท่านเป็นพระ เพราะท่านเป็นพระอริยะ นั่นเอง

  เจริญธรรม / เจริญพร
 




อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต มหาวรรค สภิยสูตร
อรรถกถาสภิยสูตรที่ ๖  ประวัติสภิยปริพาชก

(ยกมาแสดงบางส่วน)

มีเรื่องเล่าว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะปรินิพพานแล้ว ได้ประดิษฐานสุวรรณเจดีย์ขึ้นแล้ว. กุลบุตร ๓ คนบวชในสำนักของสาวกซึ่งยังอยู่กันพร้อมหน้า เรียนกรรมฐานอันสมควรแก่ความประพฤติไปสู่ชนบทชายแดน บำเพ็ญสมณธรรมในราวป่า เข้าเมืองเป็นครั้งคราวเพื่อไหว้พระเจดีย์และเพื่อฟังธรรม.
     ครั้นต่อมา ภิกษุเหล่านั้นไม่ชอบออกไปจากป่า จึงไม่ประมาท อยู่ในป่านั้นเอง.
     แม้อยู่อย่างนี้ก็ไม่สามารถบรรลุคุณวิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งได้.

     ลำดับนั้น ภิกษุเหล่านั้นจึงคิดกันว่า เราออกไปบิณฑบาตแล้วๆ เล่าๆ ชื่อว่าเป็นผู้มุ่งหวังในชีวิต อันผู้มุ่งหวังในชีวิตไม่สามารถจะบรรลุโลกุตรธรรมได้ การตายเมื่อยังเป็นปุถุชนเป็นทุกข์ เอาเถิด เราจะพาดบันไดขึ้นสู่ภูเขาไม่มุ่งหวังในร่างกายและชีวิต บำเพ็ญสมณธรรมดังนี้.


       st12 st12 st12

      ภิกษุเหล่านั้นได้ทำอย่างนั้นแล้ว.
      ครั้งนั้น บรรดาภิกษุเหล่านั้น พระมหาเถระเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยอภิญญา ๖ ในทันทีนั้นเอง พระมหาเถระจึงไปสู่หิมวันตประเทศด้วยฤทธิ์ ล้างหน้าที่สระอโนดาต เที่ยวไปบิณฑบาตในอุตรกุรุ ฉันอาหารเสร็จแล้วได้ไปยังที่อื่นต่อไป ได้ภัตตาหารเต็มบาตรแล้ว เอาน้ำที่สระอโนดาต และแปรงสีฟันชื่ออนาคลดามาหาภิกษุเหล่านั้น กล่าวว่า
      อาวุโสทั้งหลาย ท่านจงดูอานุภาพยิ่งใหญ่ บิณฑบาตนี้นำมาจากแคว้นอุตรกุรุ น้ำและแปรงสีฟันนี้นำมาจากหิมวันตประเทศ ท่านทั้งหลายจงฉันภัตตาหารนี้บำเพ็ญสมณธรรมเถิด ผมจะอุปัฏฐากพวกท่านอย่างนี้ตลอดไป.

      ภิกษุเหล่านั้นได้ฟังแล้วจึงกล่าวว่า พระคุณเจ้าขอรับ พระคุณเจ้าทำกิจเสร็จแล้ว พวกกระผมแม้เพียงสนทนากับพระคุณเจ้าก็เสียเวลาอยู่แล้ว บัดนี้ ขอพระคุณเจ้าอย่ามาหาพวกกระผมอีกเลย.
      พระมหาเถระนั้น เมื่อไม่สามารถจะให้ภิกษุเหล่านั้นยินยอมได้โดยวิธีไรๆ ก็หลีกไป.



      แต่นั้นบรรดาภิกษุเหล่านั้นรูปหนึ่ง โดยล่วงไป ๒-๓ วันได้เป็นพระอนาคามีได้อภิญญา ๕.
      ภิกษุนั้นก็ได้ทำอย่างนั้นเหมือนกัน ครั้นถูกภิกษุอีกรูปหนึ่งห้ามก็กลับไปเช่นเดียวกัน. ภิกษุนั้นพยายามห้ามอยู่อย่างนั้น ครั้นถึงวันที่ ๗ จากวันที่ขึ้นไปสู่ภูเขาก็ยังไม่บรรลุคุณวิเศษไรๆ
      ครั้นมรณภาพแล้วก็ไปเกิดในเทวโลก.
      ฝ่ายพระเถระผู้เป็นขีณาสพก็ปรินิพพานในวันนั้นนั่นเอง.
      ท่านที่เป็นพระอนาคามีได้บังเกิดในสุทธาวาส.
      เทพบุตรเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้นกลับไปกลับมา


       :96: :96: :96:

      ครั้นถึงศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราได้จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในครรภ์ของปริพาชิกาผู้หนึ่ง นัยว่า ปริพาชิกาผู้นั้นเป็นราชธิดาของกษัตริย์พระองค์หนึ่ง.
      พระชนกชนนีได้ทรงมอบราชธิดานั้นแก่ปริพาชกผู้หนึ่ง ด้วยตั้งพระทัยว่าธิดาของเราจงรู้เรื่องลัทธิเถิด.
      ปริพาชกผู้เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของปริพาชกนั้น ประพฤติเมถุนกรรมกับราชธิดานั้น.

      พระนางได้ตั้งครรภ์ ปริพาชิกาทั้งหลายเห็นราชธิดานั้นมีครรภ์จึงพากันไล่ออกไป.
      พระนางเสด็จไปในที่แห่งหนึ่ง ทรงคลอดที่หอประชุมในระหว่างทาง.
      ด้วยเหตุนั้น กุมารนั้นจึงมีชื่อว่า สภิยะ เกิดที่หอประชุม


       ans1 ans1 ans1

      สภิยะนั้นครั้นเติบโตแล้วก็บวชเป็นปริพาชก เล่าเรียนศาสตร์ต่างๆ เป็นผู้มีวาทะมาก เที่ยวไปตลอดชมพูทวีป เพื่อโต้วาทะ ไม่เห็นนักพูดเช่นกับตนจึงให้สร้างอาศรมไว้ที่ประตูพระนคร สั่งสอนศิลปะแก่ขัตติยกุมารเป็นต้น อาศัยอยู่ ณ ที่นั้น.
               
     ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเผยแผ่พระธรรมจักรอันประเสริฐ เสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์โดยลำดับ ประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหารกลันทกนิวาปสถาน. แต่สภิยปริพาชกไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้ว.
   
     :sign0144: :sign0144: :sign0144:

    ลำดับนั้น สุทธาวาสพรหม ครั้นออกจากสมาบัติแล้วรำพึงว่า เราได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ด้วยอานุภาพของใคร รำลึกถึงผู้ร่วมบำเพ็ญสมณธรรมและสหายเหล่านั้น ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ บรรดาสหายเหล่านั้นรูปหนึ่งปรินิพพานแล้ว รำพึงต่อไปว่า บัดนี้อีกรูปหนึ่งอยู่ที่ไหน
     ครั้นรู้แล้วว่า ภิกษุรูปนั้นจุติจากเทวโลกแล้วไปเกิดในชมพูทวีป และไม่รู้ว่าแม้พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้ว จึงคิดว่า เอาเถิดเราจะชักชวนเขาเพื่อเข้าถึงพระพุทธเจ้า จึงแต่งปัญหา ๒๐ ข้อตอนกลางคืน ได้มายังอาศรมของสภิยปริพาชกนั้นยืนอยู่บนอากาศ ร้องเรียกว่าสภิยะ ดังนี้.

     สภิยปริพาชกกำลังหลับได้ยินเสียงร้องเรียกอยู่ ๓ ครั้งจึงออกไป เห็นแสงสว่างจึงยืนประนมมือ. ลำดับนั้น พรหมได้กล่าวกะสภิยปริพาชกนั้นว่า ดูก่อนสภิยะ เรานำปัญหา ๒๐ ข้อมาเพื่อท่าน ท่านจงเรียนปัญหาเหล่านั้น สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดถูกท่านถามปัญหานี้แล้วพยากรณ์ได้ ท่านพึงประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของผู้นั้นเถิด. ...ฯลฯ..
.


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=364
ขอบคุณภาพจาก http://download.buddha-thushaveiheard.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 24, 2013, 01:03:41 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาธรรม : ตาบอดถือตะเกียง
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2013, 01:54:29 pm »
0
มีเรื่องในพระสูตร กล่าวถึงกาลสมัยพระพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ( จำผิดหรือไม่ )
 มีพระภิกษุ 7 รูป มาบวชปฏิบัติในการสมัยอวสาน พระพุทธศาสนายุคนั้น ท่านตั้งใจกันว่า เรามาบวชในกาลสมัยที่พระพุทธศาสนา เสื่อมหากยังปฏิบัติเช่นเดิม ก็คงถึงแก่การไม่บรรลุมรรคผลใด ๆ ดังนั้นทั้งหมดจึงตัดสินใจตกลงกันว่า จักขึ้นไปปฏิบัติภาวนาบนยอดเขาที่หาทางลงไม่ได้ ด้วยการถวายชีวิต ยอมตายบนยอดเขานั้น ครั้นตกลงดังนั้นก็ปีนกันขึ้นไปด้วยบันได หลังจากนั้น ก็ทำลายบันไดลงเสีย ซึ่งทำให้กันไม่ได้
 
   ผ่านไปหนึ่งวัน ภิกษุมหาเถระก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์  ฝ่ายเจโตวิมุตติ
   วันที่สอง ภิกษุอนุเถระ ก็สำเร็จเป็นพระอนาคามี ฝ่ายเจโตวิมุตติ
   ส่วนอีก 5 รูป เสียชีวิต
   
   ที่กล่าวตรงนี้ก็คือ รูปที่สองที่เป็นพรหม มาคอยช่วยเหลือเพื่อน อีกห้าคน ในกาลสมัยพระพุทธเจ้า องค์ปัจจบันด้วยการชี้ทาง ตักเตือนทางอ้อม

    ภิกษุ 5 รูปนั้นได้มาบังเกิดเป็นเป็นมนุษย์ และได้บรรลุคุณธรรม ตามลำดับ

    3 คนแรกสำเร็จสำเร็จเป็นพระอรหันต์ คนที่สี่สำเร็จเป็นพระอนาคามี  คนสุดท้ายสำเร็จเป็นพระโสดาบัน
    3 คนหลัง ตายก่อนบวชได้บวช คือ ถูกวัวขวิดตาย มี พระพาหิยะ  พระปุกกุสาติ และ พระเคราแดง
       ที่เรียกว่าท่านเป็นพระ เพราะท่านเป็นพระอริยะ นั่นเอง

  เจริญธรรม / เจริญพร
 



 ask1 ask1 ans1 ans1

เรื่องนี้มีความขัดแย้งกันในชั้นอรรถกถา เท่าที่ผมค้นได้ ปรากฏว่ามีข้อความที่ต่างกัน ดังนี้

อรรถกถาพาหิยสูตร  บอกว่า
- มีภิกษุ ๗ รูป หนึ่งรูปบรลุอรหันต์ อีกรูปบรรลุอนาคามี ๕ รูปที่เหลือมรณภาพ
- ห้ารูปนั้น มาเกิดเป็น ปุกกุสะ, กุมารกัสสปะ, ทัพพมัลลบุตร, สภิยปริพาชก, พาหิยะทารุจีริยะ ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

อรรถกถาวัมมิกสูตร  บอกว่า
- มีภิกษุ ๕ รูป หนึ่งรูปบรลุอรหันต์ อีกรูปบรรลุอนาคามี ๓ รูปที่เหลือมรณภาพ
- สามรูปนั้น มาเกิดเป็น ปุกกุสะ, กุมารกัสสปะ, พาหิยะทารุจีริยะ ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

อรรถกถาสภิยสูตรที่ ๖ บอกว่า
- มีภิกษุ ๓ รูป หนึ่งรูปบรลุอรหันต์ อีกรูปบรรลุอนาคามี อีก ๑ รูปที่เหลือมรณภาพ
- หนึ่งรูปนั้น มาเกิดเป็น สภิยปริพาชก ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน


สุทธาวาสพรหม(รูปที่ได้อนาคามี) มาช่วยใครบ้าง
เท่าที่ค้นได้ มีสามคน คือ พระพาหิยะ พระกุมารกัสสปะ และ สภิยปริพาชก


ห้ารูปที่เกิดในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน บรรลุธรรมขั้นไหน
- พระทัพพมัลลบุตรเถระ บรรลุอรหันต์ เอตทัคคะในทางผู้จัดเสนาสนะ
- พระพาหิยเถระ บรรลุอรหันต์ เอตทัคคะในทางขิปปาภิญญา
- พระกุมารกัสสปเถระ บรรลุอรหันต์ เอตทัคคะในทางผู้แสดงธรรมอันวิจิตร
- สภิยปริพาชก บรรลุอรหันต์
- ปุกกุสาติ(ปุกกุสะ) บรรลุอนาคามี


รูปไหนโดนวัวขวิดตาย
พระพาหิยเถระ และ ปุกกุสาติ(ปุกกุสะ)


สมัยพุทธกาลมีอริยบุคคล โดนวัวขวิดตายกี่คน
- พาหิยทารุจีริยะ เป็นอรหันต์
- ปุกกุสาติ เป็นอนาคามี
- นายโจรฆาตกะชื่อ ตัมพทาฐิกะ (เพชฌฆาตเคราแดง) เป็นโสดาบัน
- สุปปพุทธกุฏฐิ เป็นโสดาบัน


เพื่อนๆ อยากรู้อะไรที่ยิ่งกว่านี้ ถามกันมาได้ครับ :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ