มีประโยชน์มากครับ- ส่วนตัวผมสมัยตั้งแต่อายุ 13-15 ปี ก่อนที่จะรู้จักธรรม ก่อนจะปฏิบัติ เวลาผมเห็นคนที่เมื่อก่อนนี้ที่ไม่สวย ไม่งาม ที่เรารังเกลียด คนที่เราเกลียดชังเพราะไม่ชอบใจ ไม่พอใจเขาเพราะรูปร่าง ไม่ชอบหน้าเขาก็ตามแต่ ผมมักจะสบถในใจว่า..
"คนทุกคนงามหมดสวยหมดแหละ เขาก็งามในแบบของเขา เราไม่รังเกลียดเขาหรอก ในโลกนี้ไม่มีใครไม่งามหรอก..แม้แต่เราเองก็ไม่ได้เลิศเลอหรืองามไปกว่าเขาเลย แล้วเหตุอันใดต้องไปมองเขาว่าน่ารังเกลียด ว่าไม่งามอย่างนั้น" แล้วก็มองเห็นเขางามเหมือนกันหมด
- ส่วนตัวผมสมัยตั้งแต่อายุ 13-15 ปี ก่อนที่จะรู้จักธรรม ก่อนจะปฏิบัติ เวลาผมเห็นคนที่เมื่อก่อนนี้ที่ไม่ชอบนิสัยเขา เกลียดชังเขา ผิดใจกัน ขัดใจกัน เขาแกล้งเราบ้าง หรือทะเลาะกันบ้าง ผมคิดแล้วว่าผมผิดไหม..หากผมไม่ผิดผมก็มักจะสบถในใจว่า..
"เพราะเขาเป็นคนขี้อิจฉาริษยาเหมือนตัวโกงในหนัง แต่ไม่มีทางระบายความเครียดเพราะเลยแสดงออกมาอย่างนั้น..เขาก็เป็นคนดีในแบบของเขานั้นแหละ เราไม่เกลียดคนอย่างนี้หรอก" แล้วก็เอาใจไปไม่ผูกเวรผูกแค้นเขา
*** ผมเพิ่งมามารู้ทีหลังเมื่อรู้ธรรมแล้วว่า สมัยก่อนที่ผมนึกคิดอย่างนั้นนี่มันเป็นการทำไว้ในใจของเมตตาทั้งปวงเลย มิน่าล่ะสมัยก่อนเลยไม่ค่อยติดข้องใจอะไรใคร ไม่ค่อยคิดมาก ไม่ฟุ้งซ่านเป็นทุกข์ กล่าวคือ
- ประการอชแรกที่แท้มันเป็นการหัดเริ่มต้นให้เห็นเป็นสุภวิโมกข์(ซึ่งสุภะวิโมกข์จริงๆว่ากันว่าท่านเห็นเป็นองค์ธรรมเสมอกัน เช่น เป็นขันธ์ ๕ เหมือนกันบ้าง อาการทั้ง ๓๒ เหมือนกันบ้าง ธาตุเหมือนกันบ้าง ดวงจิต..คือ มโนเหมือนกันบ้าง)
- ประการที่สองที่แท้มันเป็นการหัดเริ่มต้นเพื่อทำใจให้ความเป็นมิตรนั้นเอง ไม่ให้โทมนัส อโทสะ ไม่มีที่รัก-ที่ชังเสมอกันหมด เมตตาอัปปะมัญญาที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนต้องละโลภ ละโกรธ ละหลงได้แล้ว จึงแผ่ไป**
ลองดูนะครับเวลาแผ่เมตตาอัปปะมัญญา ก่อนสวดก่อนแผ่ทำไว้ในใจอย่างนี้ จากนั้นสวดแล้วแผ่เอาความไม่ติดใจข้องแวะนอกจากปารถนาให้ความสุขทั้งปวงเกิดมีแก่เขา ไปให้บุคคลนั้นๆ ในทิศนั้นๆ อยู่ขั้นภูมิๆ หน่วงนึกในใจอย่างนี้เราจะเบาใจเวลาแผ่ไปไม่ว่าในนั้นจะเป็นที่รักหรือชังกับเรา
บอกก่อนนะครับผมไม่รู้ธรรม เข้าไม่ถึง อันใดที่ปุถุชนคนธรรมดาอย่างผมพอจะสงเคราะห์ลงในกุศลธรรมได้ ทำแล้วไม่หน่วงจิต มีประโยชน์ ก็พูดไปตามที่คนธรรมดาจะรู้ได้เท่านั้นครับ แล้วก็แบ่งปันสิ่งที่คิดว่าดีให้กันไป ผิดพลาดไม่ถูกต้องก็ขอโทษด้วยครับ