๔.
ปฏิปัสสัทธินิโรธ ความดับกิเลสอย่างสงบระงับไปในขณะแห่งอริยผลนั่นเอง ไม่ต้องขวนขวายเพื่อการดับอีก เหมือนคนหายโรคแล้ว ไม่ต้องขวนขวายหายาเพื่อดับโรคนั้นอีก
๕.
นิสสรณนิโรธ แปลตามตัวว่า ดับกิเลสด้วยการสลัดออกไป หมายถึง ภาวะแห่งการดับกิเลสนั้นยั่งยืนตลอดไป ได้แก่ นิพพานนั่นเอง เหมือนความสุข ความปลอดโปร่งอันยั่งยืนของผู้ที่หายโรคแล้วอย่างเด็ดขาด
ในบรรดานิโรธ ๕ นั้น นิโรธหรือนิพพานข้อที่ ๑ นั้น เป็นของปุถุชนทั่วไป ข้อที่ ๒ เป็นของท่านผู้ได้ฌาน ข้อ ๓ – ๕ เป็นของพระอริยบุคคล
**** พระอริยบุคคล หมายถึงผู้ใด ****ท่านผู้บรรลุนิพพานแล้ว ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านเรียกว่า พระอริยบุคคล คือ ท่านผู้ประเสริฐมีคุณธรรมสูง มี ๔ จำพวกด้วยกัน คือ
๑.
พระโสดาบัน ละสังโยชน์กิเลส (กิเลสซึ่งหน่วงเหนี่ยวสัตว์ไว้ในภพ) ได้ ๓ อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวตนหรือของตน , วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัยในทางดำเนินให้ถึงนิพพาน , สีลัพพตปรามาส การลูบคลำศีลและพรต กล่าวคือ มิได้ประพฤติศีลหรือบำเพ็ญพรตเพื่อความบริสุทธิ์ และเพื่อความขัดเกลากิเลส แต่เพื่อลาภสักการะ ชื่อเสียง เป็นต้น การประพฤติศีลบำเพ็ญพรตอย่างงมงายก็อยู่ในข้อนี้เหมือนกัน ฯลฯ
๒.
พระสกทาคามี ละสังโยชน์ได้เหมือนพระโสดาบัน แต่มีคุณธรรมเพิ่มขึ้น ทำราคะ โทสะ และโมหะให้เบาบางลง
๓.
พระอนาคามี ละกิเลสเพิ่มขึ้นอีก ๒ อย่าง คือ กามราคะ ความกำหนัดในกามคุณ และปฏิฆะ ความหงุดหงิดรำคาญใจ
๔.
พระอรหันต์ ละสังโยชน์เพิ่มขึ้นอีก ๕ อย่าง คือ รูปราคะ ความติดสุขในรูปฌาน ,อรูปราคะ ความติดสุขในอรูปฌาน , มานะ ความทะนงตัว , อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ,อวิชชา ความเขลา ความไม่รู้ตามเป็นจริง
นิพพาน หรือความดับทุกข์ นั้น เป็นความต้องการโดยธรรมชาติของมนุษย์ ใครบ้างไม่ต้องการดับทุกข์ เมื่อความทุกข์เกิดขึ้น คนเราก็ทุรนทุรายใคร่ดับ ถ้าดำเนินการให้ถูกวิธี ก็ดับได้ ถ้าดำเนินการผิดวิธีก็ดับไม่ได้ หรือถ้าดับได้ก็เป็นอย่างเทียม การดับทุกข์ได้ครั้งหนึ่งเราเรียกกันเป็นโวหารว่า “ความสุข” ซึ่งมีทั้งอย่างแท้และอย่างเทียม ความสุขที่เจือด้วยทุกข์จัดเป็นสุขเทียม เช่น สุขจากการสนองความอยากได้ หรือสุขที่ได้จากกามคุณ
ความสุขแท้จริงหรือสุขที่ไม่เจือทุกข์นั้น ท่านมีคำเรียกว่า นิรามิสสุข เช่น สุขจากการบำเพ็ญคุณงามความดีต่างๆ เป็นสุขที่ละเอียดประณีตกว่า ยั่งยืนกว่ามีคุณค่าสูงกว่า
นิโรธหรือนิพพานควรจะเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตคนทุกคน เพราะถ้าปราศจากจุดมุ่งหมายนี้เสียแล้ว มนุษย์จะว้าเหว่เคว้งคว้าง หาทิศทางแห่งชีวิตที่ดำเนินไปสู่ความร่มเย็นไม่ได้
**** ความมีอยู่จริงและเป็นไปได้แห่งนิพพาน ****บางท่านอาจมีความเห็นว่า นิพพานเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง และเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะหมดกิเลสบรรลุสภาวะที่ทางศาสนาเรียกว่า นิพพาน ผู้ที่ข้องใจเรื่องนี้เป็นเพราะเขาไม่เคยฝึกจิตเลย มีชีวิตอยู่ด้วยการตามใจตัวเองแต่ประการเดียว ถ้าเขาต้องการยับยั้งตนบ้างก็เพราะในเวลานั้นหรือในเรื่องนั้นเขาไม่อาจตามใจตัวเองเพราะมีอุปสรรคอย่างอื่นขวางอยู่ เขาต้องอดทนด้วยความกระวนกระวายใจ แต่พอโอกาสเปิดหรือมีช่องทางที่จะตามใจตัวเองได้ เขาก็ตามใจตัวเองอยู่ร่ำไป เขาไม่รู้จักสำรวมตน ไม่รู้จักยับยั้งตนหรือความต้องการของตน จิตของเขาคลุกอยู่กับกิเลสจนเกรอะกรังมืดมิด ไม่อาจเห็นแสงสว่างแห่งจิตได้ เปรียบเหมือนกระจกใสที่โคลนจับจนหนา บุคคลไม่อาจเห็นความใสของกระจก และเมื่อไม่เห็นความใสของกระจก ก็ไม่อาจเห็นภาพของตน ที่อาศัยกระจกนั้นสะท้อนออกมาได้ คือกระจกนั้นหมดคุณภาพในการสะท้อนภาพ
แต่เมื่อบุคคลขัดเอาโคลนออกหรือฝุ่นละอองซึ่งจับหนาออกมาแล้ว ทำกระจกนั้นให้ใส เขาย่อมมองเห็นความใสของกระจกและเงาของตนตามเป็นจริงที่กระจกนั้นสะท้อนภาพออกมา ทำนองเดียวกัน เมื่อจิตสะอาด มีรัศมีตามสภาพของมัน (ประภัสสร) ย่อมเห็นตามเป็นจริง เมื่อโสโครกด้วยกิเลส ย่อมมองไม่เห็นเลยหรือไม่เห็นตามเป็นจริง
ปกติภาพของจิตนั้นผ่องใส แต่เศร้าหมองไปเพราะกิเลสที่จรมา เมื่อสามารถกำจัดกิเลสได้จิตย่อมผ่องใสดังเดิม เปรียบเหมือนน้ำ ปกติภาพของน้ำคือใสสะอาดไม่มีสีไม่มีกลิ่น แต่มีสีมีกลิ่นเพราะสารอย่างอื่นลงไปผสม เมื่อสามารถกำจัดสารนั้นออกโดยวิธีกลั่นกรอง หรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่างใดอย่างหนึ่ง น้ำนั้นย่อมบริสุทธิ์ดังเดิม ดังที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปว่า “น้ำกลั่น” คือน้ำที่กลั่นแล้ว กลายเป็นน้ำบริสุทธิ์
อนึ่ง กิเลสที่อยู่ตื้น เช่น วีติกกมกิเลส กล่าวคือ ความชั่วทางกาย วาจา บุคคลอาจละมันได้ด้วยศีล หรือการสำรวมอินทรีย์ ควบคุมกาย วาจาให้อยู่ในสุจริต ดีงามอยู่เสมอ เมื่อนานเข้าย่อมกลายเป็นความเคยชิน สามารถให้เป็นไปได้โดยง่าย ไม่ต้องฝืน เข้าทำนองการอบรมบ่มนิสัยจนอิ่มตัว หรืออยู่ตัวแล้ว ย่อมเป็นได้เองไม่ต้องบังคับ
ส่วนกิเลสที่อยู่ละดับกลางที่เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส ห่อหุ้มจิตอยู่ชั้นนอก เช่น นิวรณ์ ๕ มีกามฉันทะ ความพอใจในกาม เมื่อได้ประสบอารมณ์อันน่าพอใจ เป็นต้น บุคคลย่อมกำจัดเสียได้ด้วยกำลังสมาธิ เป็นการข่มไว้ชั่วคราวเหมือนกินยาคุมโรคไว้ไม่ให้ลุกลาม และให้มีกำลังอ่อนลงเพื่อสะดวกแก่การกำจัดในขั้นสุดท้าย
กิเลสที่อยู่ลึกลงไป เรียกว่า อนุสัย ห่อหุ้มจิตอยู่ชั้นใน เช่น กามราคะ ภวราคะ (ความพอใจในภพ) เป็นต้น บุคคลสามารถกำจัดเสียได้ด้วยปัญญา ความรู้แจ้งในเรื่องชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิปัสสนาปัญญาอันละเอียดลึกซึ้ง เป็นศัตราอันคมกล้าสำหรับฟาดฟันกิเลสให้ขาดสะบั้นลง
เปรียบกิเลสเหมือนสัตว์ร้ายเป็นต้นว่า งู การควบคุมกาย วาจา ให้เรียบร้อยปราศจากโทษ เหมือนการขังงูไว้ในเขตจำกัดไม่ให้เลื้อยไปไหนตามใจชอบ สมาธิ คือการทำจิตให้สงบเหมือนการเอาไม่หนีบคองูไว้ให้อยู่กับที่ และให้เพลากำลังลง (สมาธิเหมือนไม้หนีบ) ปัญญาเหมือนศัตราอันคมฟาดฟันคองูให้ขาดสะบั้นแยกหัวกับตัวออกจากกัน ไม่มีพิษอีกต่อไป
การละกิเลสเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ด้วยการอบรมกาย วาจา ใจ เมื่อการละกิเลสเป็นสิ่งเป็นไปได้ นิพพานก็เป็นสิ่งเป็นไปได้ เพราะนิพพานก็คือการละกิเลสมีตัณหา เป็นต้น สมดังที่พระบรมศาสดาตรัสว่า ตณฺหาย วิปฺปหาเนน นิพฺพานํ อิติ วุจฺจติ “เพราะละตัณหาได้ เราเรียกว่า นิพพาน”
พระสารีบุตรได้ตอบปริพาชกผู้หนึ่ง ชื่อชัมพุขาทกะว่า “ความสิ้นราคะ โทสะ และโมหะ อันนี้แลเรียกว่านิพพาน”
นอกจากนี้ ความดับภพก็เรียกว่านิพพานเหมือนกัน สมดังที่พระสารีบุตรกล่าวกับพระอานนท์ว่า “ภวนิโรโธ นิพฺพานํ การดับภพเสียได้ชื่อว่านิพพาน” (อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม ๒๔ หน้า ๑๑)
รวมความว่า พระนิพพานหรือทุกขนิโรธนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นไปได้จริงและมีเป็นขั้นๆ ละเอียดประณีตขึ้นไปโดยลำดับ
**** สภาพแห่งนิพพาน ****สภาพแห่งนิพพานเป็นอย่างไร ยากที่จะอธิบายได้ แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็อธิบายในเชิงปฏิเสธว่า อันนั้นก็ไม่ใช่ อันนี้ก็ไม่ใช่ แต่นิพพานมีอยู่แน่ๆ ดังเช่นพระพุทธดำรัสที่ปรากฏในขุททกนิกาย อุทาน พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ หน้า ๒๐๖ ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้น(คือนิพพานนั้น) ไม่ใช่ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ, ไม่ใช่วิญญานัญจายตนะ, ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ, เนวสัญญานาสัญญายตนะ, ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น, ไม่ใช่ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ไม่ใช่การมา การไป ไม่ใช่การดำรงอยู่, การจุติ และอุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งมิได้, ไม่เป็นไป ไม่มีอารมณ์ แต่อายตนะนั้นมีอยู่ นั่นแหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์”
แปลความว่า พระพุทธองค์ท่านไม่มีภาษาจะเรียกนิพพานเหมือนกัน แต่ทรงยืนยันว่ามีอยู่แน่ๆ จะเปรียบด้วยอะไรก็ไม่เหมือน ไม่มีคำเรียกในโลกียวิสัย โดยอาจเปรียบให้ฟังว่า เปรียบเหมือนชายผู้หนึ่งเกิดในชนบท เจริญเติบโตในชนบท แต่ต่อมาเขาได้เข้ามาศึกษาในกรุงเทพ ฯ และได้เข้าชมโบสถ์พระแก้ว ได้นมัสการพระแก้วมรกต เขาได้เห็นด้วยตนเอง สัมผัสสถานที่นั้นด้วยตนเอง ต่อมาเขากลับไปชนบทได้เล่าให้หมู่ญาติฟังว่าที่กรุงเทพฯ มีสถานที่แห่งหนึ่งเขาเรียกว่า โบสถ์พระแก้วหรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สวยงามมากงามเหลือเกิน พวกญาติสนใจชวนกันซักถามขอให้เขาเล่าให้ฟัง อุปมาให้ฟังก็ได้ว่าโบสถ์พระแก้วนั้นเป็นอย่างไร เหมือนอะไรในหมู่บ้านนี้ ตำบลนี้ หรือในเมืองนี้เท่าที่เขาพอจะมองเห็นได้ บุรุษผู้นั้นมองไม่เห็นสิ่งใดเหมือน จึงปฏิเสธเรื่อยไปว่า อย่างนั้นก็ไม่ใช่อย่างนี้ก็ไม่ใช่ ไม่มีอะไรเหมือน ไม่เหมือนอะไร แต่โบสถ์พระแก้วมีอยู่จริง มีอยู่แน่ๆ เขาได้เห็นมาแล้วด้วยตนเอง
อีกอุปมาหนึ่ง เปรียบเหมือนสัตว์น้ำ เช่นปลาผู้เกิดในน้ำ เจริญเติบโตในน้ำ ไม่เคยเห็นบกไม่เคยขึ้นบก ต่อมามีเต่าตัวหนึ่งซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก เที่ยวไปบนบก ไปเห็นช้างซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตเหลือเกิน จึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้หมู่ปลาฟัง ฝูงปลาขอให้เทียบให้ดูว่าใหญ่อย่างไร เหมือนอะไรที่พวกมันเคยเห็น และพอจะนึกรู้ได้ เต่าก็ตอบปฏิเสธเรื่อยไปว่าไม่เหมือนอย่างนั้นไม่เหมือนอย่างนี้ แต่ช้างมีอยู่แน่ๆ เพราะได้เห็นกับตามาแล้ว
พระนิพพานก็เป็นทำนองนั้น คือไม่เหมือนอะไร และไม่มีอะไรเหมือน
คุณภาพแห่งนิพพานคุณภาพหรือคุณสมบัติแห่งนิพพาน พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้มากอย่าง ขอยกมากล่าวเพียง ๒ ประการ คือ
๑. พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เพราะไม่ถูกกิเลส มีราคะ โทสะ และโมหะ เป็นต้นเบียดเบียน ปุถุชนเดือดร้อนอยู่เพราะ ความอยากอันใด ความยึดมั่นอันใด ความอยากและความยึดมั่นอันนั้นไม่มีในนิพพาน เพราะฉะนั้นนิพพานจึงเป็นสุขอย่างยิ่ง
๒. พระนิพพานสงบอย่างยิ่ง ประณีตอย่างยิ่ง เป็นที่สงบระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่คลายกิเลส เป็นที่ดับแห่งกิเลสทั้งปวง
ข้อมูลจากนายวศิน อินทสระ
*************************************************************
ทฤษฎีว่าด้วยนิพพานผู้ที่ฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐานจนมรรคญาณปรากฏขึ้น บรรลุพระโสดาบัน พระสกทาคามีพระอนาคามีแล้วเท่านั้น จึงจะมีปัญญาเข้าใจนิพพานได้อย่างถูกต้อง และพระอรหันต์เท่านั้นที่จะรู้แจ้งเห็นจริงในลักษณะแห่งนิพพาน และสัมผัสนิพพานได้อย่างแท้จริง สำหรับปุถุชนทั่วไปย่อมไม่มีใครที่จักสามารถเข้าใจซาบซึ้ง และรู้รสชาติแห่งนิพพานได้อย่างแน่นอน จริงอยู่มีผู้พยายามอธิบายถึงลักษณะของนิพพานว่า มีลักษณะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ก็ว่ากันไปตามสติปัญญาและจินตนาการ คาดคะเนเอาตามความนึกคิดของตน
นิพพานนั้น แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่
(สอุปาทิเสสนิพพาน) อย่างหนึ่งกับนิพพานของพระอรหันต์ที่ดับขันธ์สิ้นชีวิตแล้ว (อนุปาทิเสสนิพพาน) อีกอย่างหนึ่ง
นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย กิเลสสังโยชน์ของท่านดับหมดแล้วแต่ร่างกายและจิตของท่านยังมีอยู่ เรียกว่า ยังมีขันธ์ ๕ เหลืออยู่ คือ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่มีความบริสุทธิ์ยิ่งกว่าคนธรรมดาสามัญ จิตที่เป็นอกุศลไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลย ร่างกายยังมีความต้องการอาหาร พักผ่อนหลับนอนมีการเจ็บป่วยอยู่ แต่จิตใจของท่านเป็นอุเบกขา บริโภคอาหารด้วยความต้องการของร่างกาย มิใช่ความอยากที่เจือปนไปด้วยกิเลส ตัณหา
เมื่อร่างกายเจ็บป่วย ก็มีทุกขเวทนาทางกายเท่านั้น ทุกขเวทนาทางจิตแม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่มี จิตของพระอรหันต์ทั้งหลายย่อมเป็นแต่เพียงอาศัยกายเท่านั้น เหมือนนกอาศัยรัง ไม่ถือว่ารังเป็นตัวตนของนก จิตจึงมีแต่ความผ่องแผ้วอยู่เป็นนิจ เป็นชีวิตที่เกษมสันต์บริสุทธิ์ นอกจากนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายย่อมเข้าสู่อรหัตตผลสมาบัติ น้อมเอานิพพานเป็นอารมณ์ได้ตามปรารถนาระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่
นิพพานของพระอรหันต์ที่ดับขันธ์สิ้นชีวิตแล้วนั้น เป็นกรณีที่พระอรหันต์ดับขันธ์สิ้นชีวิตแล้ว จึงปราศจากร่างกายและจิต ที่เรียกว่า ปราศจากขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งดับสนิทไม่มีเหลือแล้ว จึงแตกต่างจากนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่
ตามปกติ ผู้ที่มิใช่พระอรหันต์เมื่อถึงแก่ความตายแล้วจิตยังไม่ดับสนิท ต้องไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ อีก ตามอำนาจแห่งผลกรรม ตามอำนาจแห่งกรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์คตินิมิตอารมณ์ หรือตามสภาวะพลังจิตของตน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น พระอรหันต์เท่านั้น เมื่อดับขันธ์สิ้นชีวิตแล้ว จิตหรือขันธ์ ๕ จึงจะดับสนิท ไม่ต้องไปเกิดตามอำนาจแห่งผลกรรมอีก เป็นการดับสนิทที่แท้จริงตลอดกาลนิรันดร
ปัญหามีว่า แล้วนิพพานนั้นคืออะไร ? นิพพานนั้นเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่จิตของพระอริยะหรือพระอรหันต์เท่านั้นที่จะสัมผัสได้ จิตของปุถุชนไม่อาจสัมผัสได้เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์เยือกเย็น ความทุกข์และความเร่าร้อนทั้งหลายดับสนิท เป็นความสุขอันยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงปราศจากปัจจัยปรุงแต่ง จึงไม่มีลักษณะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเหมือนสิ่งต่าง ๆ มีลักษณะคงที่และนิรันดร แต่มิใช่บ้านเมือง โลก ภพภูมิต่าง ๆ
นิพพานไม่ใช่จิต แต่จิตของพระอริยะหรือพระอรหันต์สัมผัสได้ นิพพานไม่ใช่สิ่งประกอบเข้ากับจิต ที่เรียกว่า เจตสิก
เพราะสิ่งที่ประกอบเข้ากับจิตทั้งหลาย เช่นปีติ สุข อุเบกขา เป็นต้น เป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปได้ไม่คงที่ ไม่เป็นที่นิรันดร
นิพพานนั้นเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ใกล้ตัวเรา ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น จึงไม่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุและปัจจัย มีลักษณะคงที่ และนิรันดร จิตที่สัมผัสนิพพานได้จะเป็นจิตที่เยือกเย็น ความทุกข์และความเร่าร้อนทั้งหลายดับสนิท เป็นความสุขอันยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง แต่จิตที่จะสัมผัสนิพพานได้นั้น จะต้องเป็นจิตที่ฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐาน จนมรรคญาณปรากฏ กิเลสและสังโยชน์ทั้งหลายดับสนิทหมดแล้ว ความจริงจิตที่ดับกิเลสและสังโยชน์ได้สนิทแล้ว ก็เป็นจิตที่เยือกเย็นความทุกข์และความเร่าร้อนทั้งหลายดับสนิท และเป็นความสุขอัดยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงอยู่ในตัวเองแล้ว สภาวะที่จิตสัมผัสอยู่ดังกล่าวนั้นเอง เรียกว่า “นิพพาน”
จิตที่มีกิเลสและสังโยชน์ย่อมจะมีความทุกข์ ความเร่าร้อน ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยตัณหา อุปาทานเป็นจิตที่ไม่อาจสัมผัสความเยือกเย็น และความสุขอันยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง และนิรันดร อย่างพระนิพพานได้
จิตที่ได้รับการฝึกอบรมสมาธิหรือสมถกรรมฐาน จะเป็นจิตที่เริ่มบริสุทธิ์ผุดผ่องมากขึ้น จิตจะเริ่มรู้รสของปราโมทย์ปีติ ความสงบระงับ (ปัสสัทธิ) สุข ที่ปราศจากอามิส อุเบกขา ความว่าง (อากาสานัญจายตนะ) เป็นต้น อันเกิดจากอำนาจของสมาธิ หรือสมถกรรมฐาน แต่ธรรมชาติดังกล่าวเกิดขึ้นโดยมีปัจจัยปรุงแต่ง จึงเป็นสภาวะชั่วคราว ไม่คงทนถาวร เกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เมื่อออกจากฌานสมาบัติ จิตเสื่อม สภาวะดังกล่าวก็หายไปจากจิตได้ สภาวะจิตดังกล่าวจึงไม่อาจสัมผัสนิพพาน ซึ่งมีลักษณะคงทนถาวร และไม่มีปัจจัยปรุงแต่งได้จึงต้องฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐาน ให้จิตเกิดปัญญาญาณเพิ่มมากขึ้น จนมรรคญาณปรากฏ บรรลุพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ในที่สุด
ในขณะที่ มรรคญาณและผลญาณปรากฏขึ้นนั้นเอง จิตได้สัมผัสกับนิพพานซึ่งเป็นธรรมชาติที่เยือกเย็นความทุกข์และความเร่าร้อนทั้งหลายดับสนิทและเป็นความสุขอันยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง และหลังจากนั้นก็จะสามารถสัมผัสกับนิพพานได้ตามปรารถนา โดยการกำหนดจิตเข้าสู่ผลญาณสมาบัติความจริงเรื่องนิพพาน แม้นิพพานในปัจจุบัน(สอุปาทิเสสนิพพาน) ก็เป็นการยากที่ปุถุชนจะเข้าใจได้ เพราะเป็นสิ่งที่ลุ่มลึก ยากที่จะเห็น ยากที่จะรู้ ไม่ใช่สิ่งที่จะหยั่งถึงได้ด้วยการคาดคะเน นึกคิด จินตนาการเอาตามความเข้าใจของตนเองได้เลย
ผมขอแสดงไว้เท่านี้ก่อน ความจริงฉบับเต็มมีเป็นร้อยหน้า
ที่มา
http://gotokhow.org