กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ
เป็นกรรมฐาน ที่มีแนวทาง แบบแผนเป็นไปอย่างมีระบบ แต่ ลูกศิษย์ ต้องปฏิบัติได้ด้วย จึงจักไปได้ตามแนวกรรมฐาน ถ้าไม่ได้ก็ต้องซ้ำชั้น อยู่อย่างนั้น
ดังนั้น คนที่มาฝึกแล้ว ซ้ำชั้นนั้นผมว่ามีอยู่เป็นจำนวนมาก และ ก็มีผู้ผ่านชั้นอีกจำนวนมาก
เมื่ออยู่ในวงสนทนา หรือ ภาวนาด้วยกันแล้ว ข้อเสียจึงมีเพราะระดับผู้ภาวนาไม่เสมอกัน จึงทำให้เกิดความระหองระแหงในหมู่ศิษย์ ที่ละกิเลสเป็นพื้นฐานไม่ได้
เชื่อหรือไม่ครับ เพื่อนผมหลาย ๆ คนพอรู้ว่าผม ได้อนุญาต ห้อง อานาปานสติ ( ห้องที่สี่ ) ในขณะที่พวกเขายังอยู่ห้องที่ 1 แทนที่เพื่อนจะอนุโมทนากับ ไม่จอยกับผมกันซะแล้ว นาน ๆ มาก็ขอแยกวงไปภาวนาที่อื่น อันนี้ผมเองก็ยังภาวนา ไป ๆ มา ๆ อยู่ที่ วัดราชสิทธาราม อยู่นะครับ
ดังนั้นครูอาจารย์ ท่านจะสอนก็ดูความสามารถของศิษย์ด้วยครับ แต่ถ้าอยากปฏิบัติเรียนเอง หลวงพ่อพระครูท่านก็ทำตำราออกมา หลายเล่ม นำไปอ่านศึกษาปฏิบัติ ด้วยตนเองก็ได้ครับ ไว้มีศรัทธา อยากจะภาวนาจริง ๆ แล้วก็ค่อยมาขึ้นกรรมฐานเรียนกันอย่างจริงจัง
ถ้าจะถามผมว่า ลึำกลับ หรือ ไม่ ก็ตอบว่าไม่ลึกลับ ครับในคำสอนกรรมฐาน
แต่ถ้ามองจากมุมของผู้ที่ไม่ได้ขึ้นกรรมฐาน ที่กำลังพยายามถามแนวกรรมฐาน อันนี้ก็จเป็นเรื่องลึกลับครับเพราะดูจะหาคำตอบได้ยากในกรรมฐาน เพราะครูอาจารย์ ท่านจะตอบให้แบบเลี่ยง ๆ ไปไม่ได้ตอบให้ในเนื้อหาซึ่ง เราก็จะทำให้ผู้ถามเกิดความรู้สึกว่า ครูอาจารย์ หวงวิชา ก็ประมาณนี้ครับ
( ผมว่าอารมณ์นี้ เลี่ยงไม่ได้ สำหรับคนที่อยากศึกษาปฏิิบัติด้วยตนเอง โดยที่ไม่ขึ้นกรรมฐาน )
ก็ลองพิจารณาดู แล้ว ผู้ที่ชอบศึกษาด้วยตนเองนั้น จัดได้ว่าเป็นผู้มีความพยายามสูง
ส่วนตัวผมนั้น เลือกที่จะเรียนกับครูอาจารย์ ครับเพราะ คิดว่าการมี กัลยาณมิตร นั้นไม่ได้เป็นเพียงแต่ผู้สอนกรรมฐานเท่านั้น ผมยังนับถือเป็นเนื้อนาบุญ ได้สั่งสมบุญบารมี ถ้าจะให้ผมเลือกไปทำบุญกับพระทั่วไป ผมก็ทำได้ครับ แต่ถ้าผมมีเวลาผมขอทำบุญกับครูอาจารย์ ที่เป็นเนื้อนาบุญที่ นั่งกรรมฐานประจำดีกว่าครับ น่าจะได้บุญมากกว่า ทำบุญสุ่มไปทั่ว
ดังนั้น ครูอาจารย์ ไม่ใช่เป็น เพียงแค่ผู้สอน แต่หากยังเป็นที่สั่งสมบุญ ให้กับศิษย์ด้วยครับ
ยามมีทุกข์ ก็ได้ปรึกษา ....
ยามไม่สบายใจ ก็ได้สนทนา....
ยามติดขัด .....ก็มีผู้ช่วย
ยามต้องการสร้าง บารมี ....ก็มีที่พึ่ง