ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จักรแก้ว รัตนะแก้ว คู่พระบารมีพระพุทธองค์  (อ่าน 12931 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

kittisak

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +42/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 653
  • พุทธัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
หัวข้อนี้ ที่จริงผมก็ไม่ค่อยรู้ ครับแ่ต่คิดว่าคุณปุ้ม น่าจะมีข้อมูล

ผมเคยได้ยิน หรือ อ่านมาถึง รัตนะ 7ประการ ประมาณนี้

ไม่ทราบว่า รัตนะ 7 ประการมีอะไรบ้างครับ

ผมลองไล่ดู ก็ได้ไม่ครบ

1. นางแก้ว

2. ม้าแก้ว

3. จักรแก้ว ( ไม่รู้คืออะไร )

4......?
5......?
6......?
7......?


วานผู้รู้ทุกท่าน ช่วยประดับความรู้ให้ด้วยครับ
บันทึกการเข้า
ความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน ดีกว่าความทุกข์ที่มีแต่จะเอา

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: จักรแก้ว รัตนะแก้ว คู่พระบารมีพระพุทธองค์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 10, 2010, 02:32:19 pm »
0

พระเจ้าสาครจักรพรรดิ (พระชาติหนึ่งของพระสมณโคดม)

เรี่มออกวาจาปรารถนาพุทธภูมิต่อพระพักตร์พุทธเจ้า

                     หลังจากที่พระโพธิสัตว์เวียนเกิดตาย  และสั่งสมสร้างบารมี กัปใหนที่เป็น สูญกัป (กัป  ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น) เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็ออกบวชเป็น ฤาษี บ้าง ดาบสบ้าง นักพรตบ้าง อยู่ในป่า ภาวนาจนสำเร็จปฐมฌาน หลังจากดับสังขารสิ้นอายุขัย ก็ไปอุบัติเป็นพระพรหม เสวยสุขอยู่เป็นเวลา 1 กัป แล้วจุติจากพรหมโลก เกิดเป็นโอรสของกษัตริย์ ณ ธัญญวดีมหานคร ได้พระนามว่า สาครราชกุมาร เมื่อเจรีญวัยขึ้นพระบิดาสวรรคต สาครราชกุมารก็ได้ สืบราชสัมบัติต่อ พระองค์ทรงมีทศพิธราชธรรม ทรงอุตสาหะ ปฏิบัติในจักรพรรดิวัตร ตามที่เหล่าราชปุโรหิตจารย์ และพระฤาษี กำหนดถวาย และในวันอุโบสถขึ้น 15 ค่ำ ก็จะทรงอุโบสศีล(ศีล 8)  พระองค์ปฏิบัติอย่างเสม่ำเสมอมิได้ขาด

        ด้วยเดชะบุญแห่งราชกุศล จึงบันดาลให้ "สัตตรัตนะ" อุบัติเกิดขึ้น คือ

 
            1. จักรแก้ว อันมีมหิทธิ สารารถไปใหนได้ดังใจประสงค์
            2. ช้างแก้ว
            3. ม้าแก้ว
            4. แก้วมนี อันส่องสว่างโชติช่วง
            5. นางแก้ว ที่เป็นคู่ของจักรพรรดิ
            6. ขุนคลังแก้ว
            7. ขุนพลแก้ว
 

    พระองค์จึงทรงเป็นพระจักรพรรดิ์ ปกครองอาณาจักร์ทั้งหมดสุดขอบที่มหาสมุทรทั้ง 4 ทิศ  ทรงมีพระนามว่า พระเจ้าสาครจักรพรรดิ
 
         กาลครั้งนั้น ปรากฏมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ทรงมีพระนามว่า พระปุราณศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า เมือพระองค์ตรัสรู้  แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาธัมมจักปปวัตนสูตร  ทำให้ทั่วโลกธาตุ เกิดหวั่นไหว เป็นอัศจรรย์  จึงทำให้จักรแก้ว ของ พระสาครจักรพรรดิ ตกลงจากที่ตั้ง ทำให้พระจักรพรรดิตกพระทัยเป็นอย่างมาก  จึงตรัสถามพระโหราราชครู  พระโหราราชครู กราบทูลว่า เหตุอันทำให้จักรแก้วเลื่อนตกลงไปนั้นมี 2 ประการ คือ

        1. เป็นนิมิตแห่งอันตรายต่อพระชนม์ ของพระจักรพรรดิ
        2. เป็นนิมิตแห่ง พระสมเด็จสัมมาพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก


 เมื่อตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้วเหตุที่จะเป็น อันตรายต่อพระชนม์นั้นหามีไม่  จึงเป็นเพียงกรณีเดียวคือ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก แล้วพระโหราราชครู ก็กล่าวถึงคุณของพระพุทธเจ้าอีกมาก   พระจักรพรรดิ์พอได้สดับฟังดังนั้นมีพระทัยปีติยินดีอย่างยิ่ง จึงตรัสออกมาว่า

     " เราจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ในวันนี้ ให้ข้าราชบริภารเตรียมสิ่งของให้พร้อม "
ขณะเดินทางอยู่ ก็คิดถึงคุณของพระพุทธเจ้า จึงมีปีติอย่างมากมาย และด้วยบารมีที่สังสมมา เมื่อได้เฝ้าพระพุทธองค์

จึงเกิดดำริในพระทัยว่า  " พระพทธเจ้าทรงคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นเอกในไตรโลก ยังสรรพสัตว์ให้ล่วงพ้นจากทุกข์ จากภพ ด้วยพระเมตตาและพระกรุณา ต่อสรรพสัตว์   เราก็มีความปรารถนาล่วงพ้นจากทุกข์ จากภพ แล้วก็จะนำสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นด้วย" เพิ่มความมุ่งมั่นในพุทธภูมิยิ่งขึ้น แทนที่จะท้อถอย แล้วก็เสด็จกลับสู่พระนคร

        เมื่อกลับถึงพระนคร ทรงรับสังให้สร้างปราสาทกุฎิอันเป็นที่อยู่ของสงฆ์ ด้วยไม่แก่นจันทร์มากมายหลายหลัง ก็คือเป็นการสร้างวัดขึ้นมา แล้วสร้างที่พระทับของพระพุทธองค์ ทุกอย่างทำด้วยไม้แก่นจัทร์ ครั้นมหาวิหารสำเร็จ พระสาครโพธิสัตว์ ก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงถวายวิหาร(วัด) แก่พระพุทธองค์ และรับเสด็จมายังมหาวิหาร  ถวายปัตตาหารแด่องค์พระสมเด็จสัมมาพุทธเจ้า และเหล่าภิกษุสงฆ์

    เมื่อพระพุทธองค์และเหล่าพระภิกษุสงฆ์ ทรงอนุโมทนาแล้ว  บัดนั้น พระสาครจักรพรรดิมีใจผ่องแผ้วยินดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงกล่าววาจา ปราถนาพุทธภูมิ ต่อพระพักตร์ของพระพุทธองค์ว่า " ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลนี้ ขอจงป็นปัจจัยให้ข้าพระองค์ ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระศากยมุนีโคดม เสมอด้วยพระนามของพระพุทธองค์ด้วยเทอญ"

            แล้วกล่าววาจาต่อไปอีกว่า " พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ แล้วยังสรรพสัตว์ใหรู้ตาม พระพุทธองค์ทรงพ้นจากบ่วงแห่งทุกข์ แล้วยังสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ด้วย ข้าพระองค์ก็ขอให้เป็นดั่งพระพุทธองค์นั้นเถิด"

    พระปุราณศรีศากยมุนีพุทธเจ้า จึงตรัสว่า
    "ดูกรมหาบพิตร การที่จะปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น ย่อมเป็นการยากยิ่งนักที่บุคคลจะทำสำเร็จได้ ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจเข็มแข็ง เพียรพยายาม สร้างสมความดี สร้างสมบารมี แม้ชีวิตจะหาไม่แทบทุกชาติ มหาบพิตรยังคงประสงค์หรือ"

        มหาจักรพรรดิ์  เมื่อได้สดับดังนั้นด้วยกำลังปีติแก่กล้า จงออกพระวาจาว่า " ข้าพระองค์ ขอเพียรพยายามสร้างบารมี แม้ชีวิตจะหาไม่ ก็หาท้อถอย"

        พระพุทธองค์ทรงตรวจสอบด้วยสัพพัญญูตาญาณ จึงทราบว่า ปณิธานของพระจักรพรรดิ์โพธิสัตว์นี้ อีกนานแสนนาน ถึง 12 อสงไขย กับเศษแสนมหากัปจึงจะสำเร็จได้ ดังนั้นพระองค์ทรงให้โอวาทว่า
 

        "ดูกรมหาบพิตร ถ้าพระองค์ประสงค์ปรารถนาโพธิญาณแล้ว จงบำเพ็ญเพียร บารมี 30 ให้ครบบริบูรณ์เถิด"  พระพุทธองคทรงแนะนำ แต่หาได้ตรัสพุทธพยากรณ์ไม่

        พระสาครจักรพรรดิโพธิสัตว์ เมื่อได้รับพุทธโอวาทดังนั้น ก็มีจิตใจยินดีเป็นอย่างยิ่งนักหนา หลังจากนั้นทรงมั่นเพียรสร้างบารมี ในที่สุดก็ทรงออกบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ชำนาญในพระไตรปีฏก และทรงบำเพ็ญเพียรในสมถกรรมฐาน จนถึงฝั่งอภิญญา ครันเมื่อสิ้นประชนมายุ ก็ขึ้นไปอุบัติบนพรหมโลก


ที่มา  http://LuangPor.com/
------------------------------------------ 

  เป็นบุญของคุณกิติศักดิ์โดยแท้ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องนี้เลย

 และไม่เคยรู้ว่า ตัวเองมีข้อมูลเรื่องนี้อยู่ เพียงแต่กำลังจัดระเบียบไฟล์ และลบขยะออก

 บังเอิญไปเจอข้อมูลนี้ เป็นวาสนาของคุณกิติศักดิ์จริงๆ

 ขออนุโมทนาครับ
  :49: :25:


บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

noppadol

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +13/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 144
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
Re: จักรแก้ว รัตนะแก้ว คู่พระบารมีพระพุทธองค์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เมษายน 10, 2010, 07:47:12 pm »
0
 :s_hi:

ขอบคุณครับ ผมก็เคยอยากรู้เรื่องนี้พอดี ตรงใจครับ

 :c017:
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: จักรแก้ว รัตนะแก้ว คู่พระบารมีพระพุทธองค์
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: เมษายน 11, 2010, 02:22:37 am »
0
 :s_good:

 :043:จากกระทู้บทความได้ยินยล
ต้องกมลกระจ่างแจ้งมิแคลงใจ
พุทธภูมิผมหวังไว้นั้นอีกไกล
จะอย่างไรขอขอบคุณด้วยอีกคน.
                                                    :character0029:
 
:c017:ธรรมธวัช...!
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: จักรแก้ว รัตนะแก้ว คู่พระบารมีพระพุทธองค์
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: เมษายน 21, 2010, 10:20:27 pm »
0

รัตน์ (รัตนะ), แก้วมี ๗ ประการ 
แก้ว, ของวิเศษหรือมีค่ามาก, สิ่งประเสริฐ, สิ่งมีค่าสูงยิ่ง 
แต่พระรัตนตรัย  มีค่าสูงกว่ารัตนะทั้ง ๗ ประการ
---------------------------------------------

   ชื่อว่ารัตนะนี้มีประเภทใหญ่ ๆ  ๒  อย่าง  คือ 
   อวิญญาณกรัตนะ  รัตนะที่ไม่มีวิญญาณ  ๑
   สวิญญาณกรัตนะรัตนะที่มีวิญญาณ  ๑ 


   ในสองอย่างนั้นจักรแก้วและแก้วมณี  ก็หรือว่ารัตนะแม้อื่นใด 
ที่เกี่ยวข้องกับอนินทรีย์ มีทองและเงินเป็นต้น ชื่อว่า อวิญญาณกรัตนะ 
   รัตนะมีช้างแก้วเป็นต้น  มีขุนพลแก้วเป็นที่สุด ก็หรือว่ารัตนะ
แม้อื่นใดเห็นปานนี้  ที่เกี่ยวเนื่องกับอินทรีย์ชื่อว่า สวิญญาณกรัตนะ.

   รัตนะที่ย่อยออกมามี  ๗  ประการ คือ

   ๑. จักรแก้ว หมายถึงตัวอำนาจแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ
บุคคลผู้ที่กระทำหรือให้กระทำจักรรัตนะนั้นไม่มี  จักรรัตนะนั้น
ปรากฏขึ้นด้วยอุตุซึ่งมีกรรมเป็นปัจจัย.

   พระราชาทรงบำเพ็ญจักรวรรดิวัตร ๑๐ ประการอันใด ทรงสนาน
พระเศียรในวันเพ็ญ  ๑๕  ค่ำ  อันเป็นวันอุโบสถ  ทรงรักษาอุโบสถ
เสด็จไปยังเบื้องบนปราสาทอันประเสริฐ  ประทับนั่งระลึกถึงศีล
ทั้งหลายอยู่  ได้เห็นจักรรัตนะซึ่งตั้งขึ้นอยู่ดุจพระจันทร์เพ็ญ  และ
ดุจพระอาทิตย์ฉะนั้น

   ๒. ช้างแก้ว  (หัตถิรัตนะ)  ซึ่งอุบัติติดตามพระเจ้าจักรพรรดิ
พระองค์นั้นเป็นช้างเผือกเท่าสีแดง  เป็นสัตว์ที่แข็งแรง  มีฤทธิ์
ไปในอากาศได้  เกิดจากสกุลช้างอุโบสถ  หรือสกุลช้างฉัททันต์
ถ้าหากว่า มาจากสกุลช้างอุโบสถ  ก็เป็นช้างที่เป็นหัวหน้าโขลง
ของช้าง  ถ้าหากว่ามาจากช้างสกุลฉัททันต์  ก็เป็นช้างตัวสุดท้อง
มีการศึกษาอบรมมาดี  ควรแก่การฝึก.
 
   ช้างนั้นพาบริษัทไปสิ้น ๑๒  โยชน์ครอบงำทั่วชมพูทวีป 
แล้วกลับมาสู่ราชธานีของตน  ในเวลาก่อนอาหารเช้านั่นเทียว.


   ๓. ม้าแก้ว  (อัสสรัตนะ)  ซึ่งเกิดติดตามพระราชาแม้นั้น  ก็เป็น
ม้าสีขาว เท้าแดง ศีรษะดำ ขนเหมือนหญ้าปล้อง มาจากสกุลม้า
วลาหก คำที่เหลือในเรื่องม้าแก้วนี้ ก็เช่นเดียวกับเรื่องช้างแก้วนั้นเอง.


   ๔. แก้วมณี  (มณิรัตนะ)  เกิดติดตามพระราชาแม้นั้น  แก้วมณีนั้น
เป็นแก้วไพฑูรย์  สวยงามโชติช่วง  ซึ่งได้เจียระไนไว้ดี  ทั้ง  ๘  เหลี่ยม 
เช่นกับรูปดุมเกวียน  มาจากภูเขาเวปุลละ  แก้วมณีนั้น  ขึ้นสู่ยอดธง
ของพระราชาแล้วย่อมส่องสว่างไปในที่มืด  แม้ประกอบด้วยองค์  ๔
ได้ถึง  ๑  โยชน์  ซึ่งพวกมนุษย์ทั้งหลายสำคัญว่าเป็นกลางวันเพราะ
แสงสว่าง  แล้วประกอบการงานทั้งหลาย  โดยที่สุดย่อมเห็นได้แม้
มดดำและมดแดง

   ๕. นางแก้ว  (อิตถีรัตนะ)  เกิดติดตามพระเจ้าจักรพรรดิแม้นั้น 
เป็นอัครมเหสีโดยปกติ  หรือไม่ก็เสด็จมาจากอุตตรกุรุทวีป  หรือ
ไม่ก็มาจากสกุลมัททราช เว้นจากโทษ ๖ ประการ มีสูงเกินไปเป็นต้น 
เปล่งปลั่งล่วงผิวพรรณของมนุษย์  แต่ไม่ถึงผิวพรรณอันเป็นทิพย์ 
ซึ่งในเวลาพระราชาเย็น  พระกายก็อุ่น  ในเวลาพระราชาร้อน 
พระกายของนางแก้วก็เย็น  มีสัมผัสนิ่ม  ดุจปุยนุ่นที่เขาชีถึง  ๗  ครั้ง 
มีกลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากพระกาย  มีกลิ่นอุบลฟุ้งออกจากพระโอษฐ์
ประกอบด้วยคุณเป็นอเนก  มีการเสด็จลุกขึ้นก่อนเป็นต้น.


   ๖. ขุนคลังแก้ว  (คหปติรัตนะ)  เกิดขึ้นติดตามพระเจ้าจักรพรรดิ
นั้น เป็นเศรษฐีที่ทำการงานตามปกติของพระราชา  เพราะพอจักรรัตนะ
อุบัติขึ้นแล้วทิพยจักษุก็อุบัติขึ้น  เพราะมีทิพยจักษุนั้นแล้ว ก็เห็น
ขุมทรัพย์ทั้งที่มีเจ้าของบ้าง ไม่มีเจ้าของบ้าง ในที่ประมาณได้  ๑ โยชน์
โดยรอบ  ขุนคลังนั้นเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้ว  ปวารณาตัวว่า 

   ข้าแต่สมมติเทพ  ขอพระองค์จงมีความขวนขวายน้อย  ข้าพระองค์
จักทำกิจที่ควรทำด้วยทรัพย์เพื่อพระองค์.


   ๗. แม้ขุนพลแก้ว  (ปริณายกรัตนะ)  ก็เกิดติดตามพระเจ้าจักรพรรดิ
แม้นั้น ซึ่งเป็นราชโอรสองค์ใหญ่ของพระราชา พอเมื่อจักรรัตนะอุบัติ
ขึ้น ก็เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาและความเฉียบแหลมอย่างเหลือล้น 
ขุนพลแก้วนั้นกำหนดรู้จิตของบริษัทประมาณ  ๑๒  โยชน์ 
ด้วยจิต (ของตน)  ทั้งสามารถจะทำการข่มและการยกย่อง   เขาเข้าไป
เฝ้าพระราชาแล้วทูลปวารณาว่า 

   "ข้าแต่สมมติเทพ  ขอพระองค์จงเป็นผู้ขวนขวายน้อย 
ข้าพระองค์จะปกครองราชสมบัติเพื่อพระองค์".
   ในอวิญญาณกรัตนะ  และสวิญญาณกรัตนะทั้งสองนี้ 
ดังที่กล่าวมานี้  ท่านกล่าวว่า  สวิญญาณกรัตนะเป็นเลิศ.

   ถามว่า  เพราะเหตุไร ?
   ตอบว่า  เพราะเหตุที่ว่า  รัตนะมีทอง  เงิน  แก้วมณี  และ
แก้วมุกดาเป็นต้น  ซึ่งไม่มีวิญญาณ  ถูกเขานำมาใช้  เพื่อเป็น
เครื่องประดับของรัตนะทั้งหลายมีช้างแก้วเป็นต้น  ซึ่งมีวิญญาณ.
   แม้สวิญญาณกรัตนะก็มี  ๑  อย่าง  คือ  ติรัจฉานรัตนะ  ๑ 
มนุสสรัตนะ  ๑  ใน  ๒  อย่างนั้น  มนุสสรัตนะท่านกล่าวว่าเป็นเลิศ.
   ถามว่า  เพราะเหตุไร  ?
   ตอบว่า  เพราะติรัจฉานรัตนะ  ถูกเขานำมาใช้  เพื่อมนุสสรัตนะ
แม้มนุสสรัตนะก็มี  ๒  อย่าง  คือ  อิตถีรัตนะ  ๑  ปุริสรัตนะ  ๑ 
ใน  ๒  อย่างนั้น  ปุริสรัตนะ  ท่านกล่าวว่าเป็นเลิศ.   
   ถามว่า  เพราะเหตุไร 
ตอบว่า  เพราะว่าอิตถีรัตนะ  ถึงภาวะเป็นผู้รับใช้
ของปุริสรัตนะ.

ที่มา   พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน
#ขุทฺทก.อ. ๑/๖/๒๙-๓๑; ขุทฺทก.อ. ๑/๖/๓๗-๓๘

------------------------------------------------ 

นำมาเพิ่มเติมให้ครับ เพื่อความสำราญของทุกท่าน
 :49:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ