รัตน์ (รัตนะ), แก้วมี ๗ ประการ
แก้ว, ของวิเศษหรือมีค่ามาก, สิ่งประเสริฐ, สิ่งมีค่าสูงยิ่ง
แต่พระรัตนตรัย มีค่าสูงกว่ารัตนะทั้ง ๗ ประการ
---------------------------------------------
ชื่อว่ารัตนะนี้มีประเภทใหญ่ ๆ ๒ อย่าง คือ
อวิญญาณกรัตนะ รัตนะที่ไม่มีวิญญาณ ๑
สวิญญาณกรัตนะรัตนะที่มีวิญญาณ ๑ ในสองอย่างนั้นจักรแก้วและแก้วมณี ก็หรือว่ารัตนะแม้อื่นใด
ที่เกี่ยวข้องกับอนินทรีย์ มีทองและเงินเป็นต้น ชื่อว่า อวิญญาณกรัตนะ
รัตนะมีช้างแก้วเป็นต้น มีขุนพลแก้วเป็นที่สุด ก็หรือว่ารัตนะ
แม้อื่นใดเห็นปานนี้ ที่เกี่ยวเนื่องกับอินทรีย์ชื่อว่า สวิญญาณกรัตนะ.
รัตนะที่ย่อยออกมามี ๗ ประการ คือ
๑. จักรแก้ว หมายถึงตัวอำนาจแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ
บุคคลผู้ที่กระทำหรือให้กระทำจักรรัตนะนั้นไม่มี จักรรัตนะนั้น
ปรากฏขึ้นด้วยอุตุซึ่งมีกรรมเป็นปัจจัย.
พระราชาทรงบำเพ็ญจักรวรรดิวัตร ๑๐ ประการอันใด ทรงสนาน
พระเศียรในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ อันเป็นวันอุโบสถ ทรงรักษาอุโบสถ
เสด็จไปยังเบื้องบนปราสาทอันประเสริฐ ประทับนั่งระลึกถึงศีล
ทั้งหลายอยู่ ได้เห็นจักรรัตนะซึ่งตั้งขึ้นอยู่ดุจพระจันทร์เพ็ญ และ
ดุจพระอาทิตย์ฉะนั้น
๒. ช้างแก้ว (หัตถิรัตนะ) ซึ่งอุบัติติดตามพระเจ้าจักรพรรดิ
พระองค์นั้นเป็นช้างเผือกเท่าสีแดง เป็นสัตว์ที่แข็งแรง มีฤทธิ์
ไปในอากาศได้ เกิดจากสกุลช้างอุโบสถ หรือสกุลช้างฉัททันต์
ถ้าหากว่า มาจากสกุลช้างอุโบสถ ก็เป็นช้างที่เป็นหัวหน้าโขลง
ของช้าง ถ้าหากว่ามาจากช้างสกุลฉัททันต์ ก็เป็นช้างตัวสุดท้อง
มีการศึกษาอบรมมาดี ควรแก่การฝึก.
ช้างนั้นพาบริษัทไปสิ้น ๑๒ โยชน์ครอบงำทั่วชมพูทวีป
แล้วกลับมาสู่ราชธานีของตน ในเวลาก่อนอาหารเช้านั่นเทียว. ๓. ม้าแก้ว (อัสสรัตนะ) ซึ่งเกิดติดตามพระราชาแม้นั้น ก็เป็น
ม้าสีขาว เท้าแดง ศีรษะดำ ขนเหมือนหญ้าปล้อง มาจากสกุลม้า
วลาหก คำที่เหลือในเรื่องม้าแก้วนี้ ก็เช่นเดียวกับเรื่องช้างแก้วนั้นเอง. ๔. แก้วมณี (มณิรัตนะ) เกิดติดตามพระราชาแม้นั้น แก้วมณีนั้น
เป็นแก้วไพฑูรย์ สวยงามโชติช่วง ซึ่งได้เจียระไนไว้ดี ทั้ง ๘ เหลี่ยม
เช่นกับรูปดุมเกวียน มาจากภูเขาเวปุลละ แก้วมณีนั้น ขึ้นสู่ยอดธง
ของพระราชาแล้วย่อมส่องสว่างไปในที่มืด แม้ประกอบด้วยองค์ ๔
ได้ถึง ๑ โยชน์ ซึ่งพวกมนุษย์ทั้งหลายสำคัญว่าเป็นกลางวันเพราะ
แสงสว่าง แล้วประกอบการงานทั้งหลาย โดยที่สุดย่อมเห็นได้แม้
มดดำและมดแดง
๕. นางแก้ว (อิตถีรัตนะ) เกิดติดตามพระเจ้าจักรพรรดิแม้นั้น
เป็นอัครมเหสีโดยปกติ หรือไม่ก็เสด็จมาจากอุตตรกุรุทวีป หรือ
ไม่ก็มาจากสกุลมัททราช เว้นจากโทษ ๖ ประการ มีสูงเกินไปเป็นต้น
เปล่งปลั่งล่วงผิวพรรณของมนุษย์ แต่ไม่ถึงผิวพรรณอันเป็นทิพย์
ซึ่งในเวลาพระราชาเย็น พระกายก็อุ่น ในเวลาพระราชาร้อน
พระกายของนางแก้วก็เย็น มีสัมผัสนิ่ม ดุจปุยนุ่นที่เขาชีถึง ๗ ครั้ง
มีกลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากพระกาย มีกลิ่นอุบลฟุ้งออกจากพระโอษฐ์
ประกอบด้วยคุณเป็นอเนก มีการเสด็จลุกขึ้นก่อนเป็นต้น. ๖. ขุนคลังแก้ว (คหปติรัตนะ) เกิดขึ้นติดตามพระเจ้าจักรพรรดิ
นั้น เป็นเศรษฐีที่ทำการงานตามปกติของพระราชา เพราะพอจักรรัตนะ
อุบัติขึ้นแล้วทิพยจักษุก็อุบัติขึ้น เพราะมีทิพยจักษุนั้นแล้ว ก็เห็น
ขุมทรัพย์ทั้งที่มีเจ้าของบ้าง ไม่มีเจ้าของบ้าง ในที่ประมาณได้ ๑ โยชน์
โดยรอบ ขุนคลังนั้นเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้ว ปวารณาตัวว่า
ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงมีความขวนขวายน้อย ข้าพระองค์
จักทำกิจที่ควรทำด้วยทรัพย์เพื่อพระองค์. ๗. แม้ขุนพลแก้ว (ปริณายกรัตนะ) ก็เกิดติดตามพระเจ้าจักรพรรดิ
แม้นั้น ซึ่งเป็นราชโอรสองค์ใหญ่ของพระราชา พอเมื่อจักรรัตนะอุบัติ
ขึ้น ก็เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาและความเฉียบแหลมอย่างเหลือล้น
ขุนพลแก้วนั้นกำหนดรู้จิตของบริษัทประมาณ ๑๒ โยชน์
ด้วยจิต (ของตน) ทั้งสามารถจะทำการข่มและการยกย่อง เขาเข้าไป
เฝ้าพระราชาแล้วทูลปวารณาว่า
"ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงเป็นผู้ขวนขวายน้อย
ข้าพระองค์จะปกครองราชสมบัติเพื่อพระองค์".
ในอวิญญาณกรัตนะ และสวิญญาณกรัตนะทั้งสองนี้
ดังที่กล่าวมานี้ ท่านกล่าวว่า สวิญญาณกรัตนะเป็นเลิศ.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะเหตุที่ว่า รัตนะมีทอง เงิน แก้วมณี และ
แก้วมุกดาเป็นต้น ซึ่งไม่มีวิญญาณ ถูกเขานำมาใช้ เพื่อเป็น
เครื่องประดับของรัตนะทั้งหลายมีช้างแก้วเป็นต้น ซึ่งมีวิญญาณ.
แม้สวิญญาณกรัตนะก็มี ๑ อย่าง คือ ติรัจฉานรัตนะ ๑
มนุสสรัตนะ ๑ ใน ๒ อย่างนั้น มนุสสรัตนะท่านกล่าวว่าเป็นเลิศ.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะติรัจฉานรัตนะ ถูกเขานำมาใช้ เพื่อมนุสสรัตนะ
แม้มนุสสรัตนะก็มี ๒ อย่าง คือ อิตถีรัตนะ ๑ ปุริสรัตนะ ๑
ใน ๒ อย่างนั้น ปุริสรัตนะ ท่านกล่าวว่าเป็นเลิศ.
ถามว่า เพราะเหตุไร
ตอบว่า เพราะว่าอิตถีรัตนะ ถึงภาวะเป็นผู้รับใช้
ของปุริสรัตนะ.
ที่มา พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน
#ขุทฺทก.อ. ๑/๖/๒๙-๓๑; ขุทฺทก.อ. ๑/๖/๓๗-๓๘------------------------------------------------
นำมาเพิ่มเติมให้ครับ เพื่อความสำราญของทุกท่าน