หลวงปู่ทา จารุธัมโม แห่งวัดถ้ำซับมืด ต.จันทึก อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
(มรณภาพ ในวันวิสาขบูชา 30 พฤษภาคม 2550 สิริอายุ 97 พรรษา)
ธรรมะจากพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สุปฏิปันโน สาวกสังโฆอีกองค์ครับ
"สติตั้งที่ใจ ดูอยู่ที่ใจ มองอยู่ที่ใจ เห็นอยู่ที่ใจ เพ่งอยู่ที่ใจ กำหนดอยู่ที่ใจ พิจารณาอยู่ที่ใจ..อิริยาบถ ๔ ยืน เดิน นั่ง นอน สติอันเดียว..ก็ไม่หลาย"
“ มันต้องฝึก ฝึกให้เป็นสมาธิ หนักแน่น ... หนักแน่นอย่างดี แล้วก็เพ่งเข้า ๆ มันก็เกิดแสงสว่าง เกิดความแจ้ง ความสว่าง ความสงบ ขึ้นที่ใจ สุขก็มีมาพร้อม ก็เสวยสุขนี่ละบัดนี้ เสวยสุขจนเบื่อสุข มันล้นแล้ว วิปัสสนามันก็วิ่งเข้ามาเลยถามเลย... อันไหนเที่ยง อันไหนไม่เที่ยง อันไหนเที่ยง อันไหนไม่เที่ยง หมดเลย... สกนธ์กายนี่ ไม่เที่ยงสักสิ่งสักอย่าง โยนทิ้ง โยนทิ้งหมดเลย อยู่กับพระธรรมเท่านั้นแหละ ไปไหนก็ไปด้วยกันนั่นแหละ สบายแล้ว มันก็ยากแท้ละ... พูดนี่ไม่ยากหรอก มันยากผู้ทำ “
บัดนี้ หลวงปู่ทาได้มรณภาพไปแล้ว โดยท่านหลวงตามหาบัวเป็นประธานในพิธี กระดูกท่านก็เป็นพระธาตุตั้งแต่วันแรกที่เผา คำสอนท่านเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่มากโวหาร น่าเผยแพร่ให้กว้างขวางออกไป
ไปฟังธรรมท่านหลายครั้ง แต่ละครั้งหลวงปู่ทาท่านสอนคล้าย ๆ เดิม (เหมือนหลวงปู่ดู่ที่ตอกย้ำในเรื่องให้หมั่นดูจิต รักษาจิต) โดยท่านมักใช้คำว่า "เพ่ง ๆ" แต่ทำไมการปฏิบัติธรรมสมัยใหม่จึงรังเกียจอาการ "เพ่ง" ถึงขนาดจัดว่าเป็นมิจฉาสมาธิเชียว แต่ก็ยังกล่าวอ้างว่าท่านสอนตรงตามอย่างสำนักตน (ซึ่งรังเกียจการเพ่ง)
จึงเป็นข้อเตือนใจให้บรรดาลูกศิษย์ครูบาอาจารย์ ควรที่จะเผยแผ่คำสอนครูบาอาจารย์อย่างซื่อตรง ไม่บิดเบือนคำสอนเดิมของท่าน การขยายความหรือให้ความเห็นเพิ่มเพื่อความเข้าใจของผู้อ่านหรือผู้ฟัง ย่อมทำได้ แต่ควรแยกส่วนออกมา มิใช่ไปดัดแปลงคำพูดท่านจนกลายเป็นสัทธรรมปฏิรูปไป รวมทั้งไม่พยายามตีความหรือให้นิยามใหม่เพื่อสนับสนุนแนวคิดของตน จนคนเก่าคนใหม่พากันสับสน และไม่เป็นการซื่อตรงต่อครูอาจารย์ .
...จงมีความเคารพเอื้อเฟื้อในธรรมของพระพุทธเจ้าและครูอาจารย์ (ให้ยิ่งกว่าทิฏฐิความเห็นของตน)_________________________________________________
ภาพจาก
http://www.thaifilm.com/forumDetail.asp?topicID=6129&page=3&keyword=ข้อมูล
http://luangpordu.com/?cid=453342&f_action=forum_viewtopic&forum_id=41264&topic_id=41101 เคล็ดวิชาดูจิต "ให้รู้สิ่งที่ปรากฎด้วยจิตที่เป็นกลาง"
คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
(เห็นว่าจิตที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ ทำให้หลงไปจมแช่กับอารมณ์ด้วยความยินดียินร้าย)
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
(เห็นว่าจิตที่ไปจมแช่กับอารมณ์ด้วยความยินดียินร้ายเป็นทุกข์)
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
(เห็นจิตที่เป็นทุกข์ เห็นสมุทัยอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ จึงมีความเพียรที่จะ รู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง เพราะเห็นแล้วว่าเป็นสภาพที่พ้นจากทุกข์ได้)
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ
(เมื่อ รู้ด้วยจิตที่เป็นกลางได้ ก็ย่อมที่จะพ้นจากทุกข์ได้ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่เราไปพยายามแยกผู้รู้ให้ออกจากอารมณ์ เราเพียงแต่เพียรที่จะ รู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง จนจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง)อย่าส่งจิตออกนอก
จิตคิด จิตถูกทำลาย
((เมื่อ)จิตคิด จิต(รู้ก็)ถูกทำลาย บรรดานักคิดทั้งหลาย ถ้าเข้าใจตนเองได้ว่า ตนกำลังฝันทั้งที่ลืมตาตื่น ตนกำลังหลงอยู่ในโลกของความคิด เพียงรู้ทันเท่านี้ ก็รู้แล้ว และเมื่อรู้แล้วก็อย่าหลงไปคิดต่อไปอีก ว่า "รู้เป็นอย่างไร ที่รู้นี้ถูกหรือไม่ถูก" เพราะจะหล่นไปสู่ความผิดพลาดในทันที คือหลงเข้าไปในโลกของความคิดอีกรอบหนึ่ง)
(ความคิดนั้น มันเกิดอยู่เสมอ เหมือนลมหายใจนั่นเอง ห้ามไม่ได้ การปฏิบัติก็ไม่ได้มุ่งให้ดับความคิด เอาแค่ว่า พอรู้อารมณ์แล้วจิตมันคิดนึกปรุงแต่ง ก็ให้รู้ทัน อย่าให้ฝันทั้งที่ตื่น คือหลงคิดไปโดยไม่รู้ตัว เท่านี้ก็พอครับ อย่าไปพยายามดับความคิดเข้าเชียวครับ จิตจะยิ่งฟุ้งซ่านหนักกว่าเก่าอีก และอันที่จริง เราก็ต้องอาศัยความคิดเหมือนกัน ในการอบรมสั่งสอนจิต เป็นบางครั้งบางคราว เวลามันดื้อมากๆ)
"จิตหนึ่งนี้เท่านั้นเป็นพุทธะ ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธะ กับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ เสีย และเพราะเหตุนั้น เขาจึงแสวงหาพุทธภาวะจากภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง ทำให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ การทำเช่นนั้นเท่ากับการใช้สิ่งที่เป็นพุทธะ ให้เที่ยวแสวงหาพุทธะ และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขา อยู่ตั้งกัปป์หนึ่งเต็มๆ เขาก็จะไม่สามารถลุถึงพุทธภาวะได้เลย เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหาเสียเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่า จิตนี้คือ พุทธะ นั่นเอง"
"จิตหนึ่งนั่นแหละคือพุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิเช่นเดียวกับความว่าง คือมันไม่มีรูปร่างหรือปรากฏการณ์ใดๆ เลย ถ้าเราใช้จิตของเราให้ปรุงแต่งคิดฝันไปต่างๆ นั้น เท่ากับเราทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองอยู่กับรูปธรรม ซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือกพุทธะ"
"การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ด้วยเจตนาที่จะเป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดคืบหน้าทีละขั้นๆ แต่พุทธะ ซึ่งมีตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆ เช่นนั้นไม่ เรื่องมันเป็นเพียงแต่ ตื่น และลืมตา ต่อจิตหนึ่งนั้นเท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นั่นแหละคือ พุทธะ ที่แท้จริง"
"จิตเป็นเหมือนกับความว่าง ซึ่งภายในย่อมไม่มีความสับสนและความไม่ดีต่างๆ ดังจะเห็นได้ในเมื่องดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก ความว่างที่แท้จริงนั้น มันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่างและความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมชาติของความว่างนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง"
"เมื่อพวกเราที่เป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น ถ้าไม่ลืมตาต่อสิ่งซึ่งเป็นสาระ กล่าวคือ จิต นี้ พวกเราจะปิดบังจิตนั้นเสียด้วยความคิดปรุงแต่งของพวกเราเอง พวกเราจะเที่ยวแสวงหา พุทธะ นอกตัวเราเอง" ______________________________________
http://www.dhammada.net/niranam/dule.html