ขอสอบถามเพิ่มเติมครับ
- ผมนั่งสมาธิที่ทำงาน เป็นห้องทำงานส่วนตัว เก้าอี้นั่งเป็นพนักพิงทรงสูงเสมอหัวเอนหลังได้ (ไม่ได้นั่งกับพื้น)
ตอนเช้าและตอนเที่ยงเงียบสงบมากไม่มีใครเข้ามารบกวน
ผมสามารถนั่งแบบนี้ต่อไปได้หรือไม่
- ที่บ้านผมนั่งบนเก้าอี้ไม้ มีพนักพิงหลัง ใช้ผ้ารองให้นุ่ม และไม่ได้นั่งต่อหน้าพระพุทธรูป (ที่บ้านไม่มีโต๊ะหมู่บูชา) ตอนนี้เหลือพระพุทธรูปองค์เดียว (มีสาเหตุที่ผมต้องเก็บพระพุทธรูปคืนแม่หมด )
- ครั้งแรกๆ มักจะเผลอหลับไปเลยถึงแม้จะนั่งได้พักเดียว แต่ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกง่วงหรือเผลอหลับอีกแล้วสามารถรู้ตัวตลอดตั้งแต่นั่งจนออกจากสมาธิ แต่นั่งไปสักพักแล้วจะก้มหน้าหรือเอนตัวไปข้างหน้า (เยอะมาก) พอรู้ตัวก็จะนั่งตัวตรงใหม่เป็นแบบนี้ตลอด แต่เนื่องจากมันจะกังวลเรื่องก้มหน้าหรือเอนไปข้างหน้ามากอยู่เหมือนกัน
ไม่รู้ว่าต้องแก้อย่างไร
จะตั้งใจอย่างนี้ตลอดไปครับ สักวันหนึ่งผมคงประสบความสำเร็จและเข้าใจธรรมะ เข้าใจการนั่งวิปัสนากรรมฐานมากขึ้น
ขอบคุณอีกครั้ง
ศิวโรจน์
ตอบคำถามที่ 1- การทำสมาธิทำได้ตลอดเวลาทุกเมื่อนานเท่าใดก็ได้ การทำสมาธิคือการทำให้สภาพจิตมีอารมณ์จดจ่อมากขึ้นจนเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาสภาพธรรมใดๆ แต่ถ้าหากนั่งสมาธิให้นานเพียงแต่เพราะมันสงบ อิ่มเอม สุข สบายจิตใจ ไม่ได้กระทำการใดๆเพื่อเป็นไปในการเห็น อริยสัจ๔ นั่นเรียกว่าติดสมาธิจิต ติดความสุข ไม่ถือเป็นสัมมาสมาธิ เพราะไม่ได้เป็นไปเพื่อการหลุดพ้น หรือ เห็นทุกข์ หรือ เห็นจริงตามสภาพจริง
- ดังนั้นเมื่อคุณทำสมาธิเมื่อจิตนิ่งว่าง สงบ สบาย ให้ดึงตัวรู้ คือ สติ ให้รู้สภาพนั้นๆว่า รู้สึกอย่างไร มีสภาพยังไง สภาพที่เกิดขึ้นสักเป็นแต่เพียงจิตเสพย์เสวยอารมณ์ไปตามความปรุงแต่งของสังขารขันธ์ นั่นคือ ความปรุงแต่งจิต ความรู้สึก ความตรึกนึกคิด เป็นต้น
- เมื่อรู้และเห็นหรือเข้าใจในสภาพจิตนั้นๆแน่นอนแล้ว ให้พิจารณาดูกายานุสติปัฏฐาน โดยอาจจะพิจารณาดังนี้คือ
1. หากจิตจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ ลองพิจารณาดูสภาพการหายใจเข้า ลมที่แต่จมูกมีลักษณะอย่างไร เช่น ร้อน เย็น อ่อน นุ่ม เคลื่อนตัว ชื้น แห้ง พิจารณาเข้าเห็นถึงว่าการที่เราไปรู้ลมหายใจนั้น รู้สภาพจริงๆนั้นๆ เพราะอะไรจึงรู้ รู้เพราะสิ่งใด อะไรที่เป็นตัวไปรู้สภาพนั้นๆ อะไรที่ทำให้ไปจดจ่อให้ความสนใจอยู่ในสิ่งนั้นๆ เป็นต้น
2. หากพิจารณากายอยู่ ลองพึงระลึกในอสุภะ คือ ของไม่สวยไม่งามคือกายเรานี้แล เห็นในอาการทั้ง 32 หายใจเข้าพึงระลึกรู้ว่ากายเคลื่อนตัวอย่างไร อวัยวะส่วนใดขยายหรือเคลื่อนตัวบ้าง หายใจออก อวัยวะส่วนใดคลายตัวลง หดลง เคลื่อนตัวลงบ้าง เช่น พิจารณากาย(อาจจะอาสัยดูภาพอสุภะดๆมากๆ) มีหนังหุ้มเนื้ออยู่ มีเส้นเอ็นเส้นเลือด กระดูกอยู่ภายในนั้น พิจารณาจนเห็นตัดจากก้อนเนื้อเข้าไปเห็นแค่กระดูกกับอวัยวะภายในขณะที่หายใจเข้าปอดพองตัวขึ้นขยายดันส่วนก้อนเนื้อ ตับ ไต หัวใจ ม้าม กระบังลมดันตัวขึ้น หายใจออกปอดหดคลายตัวลง ส่วนก้อนเนื้อ ตับ ไต หัวใจ ม้าม กระบังลม เคลื่อนตัวลงเข้าตามสภาพเดิม เป็นต้น
3. หากพิจารณาเห็นจุดใด ให้พิจารณาจุดนั้นจนเห็นจริง แจ่มแจ้ง ไม่ย้ายไปที่อื่นก่อนจะเห็นจริง
4. เมื่อพิจารณาเห็นจริงแจ่มแจ้งแล้ว ให้เข้าถึงสภาพที่เห็นนั้นสักเป็นแต่เพียงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดเพราะการประชุมของธาตุทั้ง 4 นี้เป็นหลักให้เป็นโคลงสร้าง รูปร่าง ไม่มีตัวตนบุคคลใดๆนอกจากธาตุที่มาประชุมกัน
5. เมื่อเห็นธาตุ ชัดเจนแล้ว ให้พิจารณาให้เห็นถึงสภาพการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ความไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนบุคคลใดๆ สักเป็นแต่เพียงรูปนาม
6. พิจารณาเห็นในทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร มีลำดับการเกิดอย่างไร คงอยู่อย่างไร ดับไปอย่างไร อะไรที่ทำให้เกิดทุกข์ เมื่อรู้สิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ คุณก็รู้สมุทัย เหตุปัจจัยแห่งทุกข์ของคุณแล้ว เมื่อรู้เหตุแห่งทุกข์ ก็พิจารณาให้รู้เห็นในมรรค ๘ ซึ่งการดับทุกข์ทุกสิ่งทุกอย่างจะพ้นสิ่งเหล่านี้ไปได้ก็ด้วย กาย-วาจา-ใจสุจริต คิดดี-พูดดี-ทำดี คนเราจะคิดดี-พูดดี-ทำดีได้ ก็ต้องมีความเป็นกุศลจิต กุศลจิต กุศลกรรมใดๆจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอยู่ใน ศีล พรหมวิหาร๔ สมาธิ สติ และ ปัญญาเห็นสภาพนั้นตามจริง (สิ่งนี่ก็เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นปฏิบัติในมรรคมีองค์8เท่านั้นนะครับผมสรุปโดยย่อมาเท่านั้นครับ) ทำนิโรธให้แจ้ง
ทั้ง 6 ข้อที่ผมบอกนี้ก็เบื้องต้นในการพิจารณากายานุสติปัฏฐานเท่านั้น เป็นสมถะอยู่ แต่เข้ากึ่งวิปัสนาให้เกิดปัญญาเห็นชอบเท่านั้น เป็นแค่ฐานเข้าสู่วิปัสนาจริงๆเท่านั้นนะครับ อาจจะแยกพิจารณาส่วนใดก็ได้ หรือ จะพิจารณาตามลำดับนั้นก็ได้เพื่อเข้าสู่หนทางแห่งอริยสัจ๔ และ วิปัสนากัมมัฏฐาน
ตอบคำถามที่ 2- อย่างที่ท่าน THAWATCHAI173 บอกครับ จะอยู่อิริยาบถไหนก็ทำสมาธิได้หมด ไม่ว่าจะเป็น ยืน เดิน นั่ง นอน เพียงแค่มีสติระลึกรู้ว่าขณะนี้กำลังอยู่ในอิริยาบถใดก็พอ
- การนั่งสบายๆจะมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ทำสมาธิได้ง่าย แต่ในส่วนนี้หากติดสบายเกินไปเวลาไปอยู่ในอิริยาบถที่ต่างไปจะทำสมาธิยาก
- ดังนั้น ควรทำสมาธิในอิริยาบถต่างๆเปลี่ยนไปเป็นประจำเพื่อให้ชินกับสภาพธรรมต่างๆของกาย เพื่อดึงตัวรู้(สติ) ให้เกิดขึ้นทุกอิริยาบถ จะช่วยให้แม้ลืมตา แม้เดินอยู่ แม้ยืนอยู่ แม้นั่งอยู่ แม้นอนอยู่ สติก็เกิดขึ้นได้ เมื่อสติเกิดสมาธิก็ย่อมเกิดตามมาเสมอ
- นั่งต่อหน้าพระพุทธรูปไหม ไม่สำคัญครับ สำคัญที่ก่อนทำ สวดมนต์ไหว้พระระลึกถึง คุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่-บุพการี ครูบาอาจารย์ ระลึกอธิษฐานขอกำหนดเข้ากัมมัฏฐานเพื่อทำให้แจ้งซึ่งทางพ้นทุกข์ตามที่พระพุทืธเจ้าตรัสสอน เมื่อออกจากสมาธิก็สวดมนต์เหมือนก่อนเข้าแล้วแผ่เมตตาให้ตนเองและคนอื่น
ตอบคำถามที่ 3- สภาพกายจะเอนไปด้านหน้านั้น เนื่องจากเมื่อสภาวะของกายโดยปกติคนเรานั้นจะเอนไปข้างหน้ามาก หรือ มีการก้มเงยด้านหน้า ซึ่งหากไม่ใช่การออกกำลังกาย จะไม่มีการทำสะพานโค้งไปข้างหลัก ดังนั้นโดยธรรมชาติก็ย่อมเอนไปตามน้ำหนักของอวัยวะในส่วนนั้นๆเป็นปกติ
- คุณอาจจะลองนั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย นั่งกับพื้นโดยการทรงตัวให้ตรง คุณจะรู้สึกถึงการเคลื่อนเอนตัวเร็วกว่านั่งกับเก้าอี้ เมื่อรู้ว่าตัวเอนอยู่อิริยาบถโค้งลงคุณก็รู้สภาพที่เป็นอิริยาบถทางกาย
- คุณอาจจะนั่งกับพื้น โดยเอาหลังชิดฝาผนังห้อง เมื่อเวลาที่คุณจะเอนหลังผนังห้องก็จะคำไว้อยู่ไม่ให้หลังคุณโค้ง
ลองปฏิบัติดูนะครับ แนวทางผมคงไม่ใช่ว่าจะถูกหรือดีที่สุด ควรใช้เป็นแง่คิดประกอบกับท่านผู้รู้ทั้งหลาย หรือ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจึงจะเป็นผลดีครับ
สุดท้ายก็ขอให้คุณถึงธรรมในธรรมโดยเร็วนะครับ สาธุ ขออนุโมทนากับความตั้งใจของคุณด้วยครับ