กล่าวถึง หลักการปฏิบัติ ภาวนาในพระพุทธศาสนาแล้ว ผมว่าคงไม่พ้นคำว่า วิปัสสนา ไปได้ ดังนั้นความเข้าใจคนส่วนใหญ่ จึงนึกว่า คิดว่า การภาวนาในพระพุทธศาสนานั้น มีอยู่แต่เพียงการคิด
กล่าวถึง คำว่า เห็นตามความเป็นจริง กับ คำว่า คิดตามความเป็นจริง อันนี้เป็นวิปัสสนาหรือไม่ ?
ยกตัวอย่าง เมื่อเราเห็นว่าทุกคน เกิดมาแล้วต้องแ่ก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ผมว่า้เห็นตามความเป็นจริง ก็เห็นแล้วเข้าใจแล้ว แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกว่า ผมจะสิ้นกิเลสได้จริง
ถึงแม้ผมจะรู้ว่า ต้องแก่ ผมก็แก่จริง ๆ เมื่อความแก่เกิดขึ้น จึงไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อนกับความแก่ แต่ก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมคลายจากสังโยชน์ทั้ง 10 ได้จริง
ถึงแม้ผมจะรู้วา ต้องเจ็บ ผมก็เจ็บจริง ๆ เมื่อความเจ็บเกิดขึ้น เช่นปวดท้อง ก็รู้ว่ามันปวดท้อง มันเป็นไปตามโรค สมุฏฐาน และ ธาตุ ต่าง ๆ เป็นไปตามวัฏจักรแห่งชีวิตของมนุษย์ รู้แล้วใจก็ว่าง แต่ความเจ็บก็ไม่ได้หาย ที่หายเพียงแต่หายทุรน ทุราย ทางจิต ถึงแม้ผมรู้อย่างนี้ ผมก็ยังรู้สึกได้ว่า ไม่ได้สิ้นกิเลส หรือทำผมพ้นไปจากวัฏฏสงสารลงได้
การที่ผมรู้อย่างนี้ สำหรับผมนั้น เหมือนคำว่า ปลอบใจ ตนเองเท่านั้นเอง ไม่ใช่ รู้เห็นตามความเป็นจริง
การดำเนินจิตอย่างนี้ สำหรับผม รู้ตลอดเวลา ว่าเป็น เพียง วิปัสสนึก เท่านั้น
ดังนั้นถึงแม้ผมอ่าน มหาสติปัฏฐาน 4 จนจบไปหลายรอบ ก็ไม่ทำให้ผมสิ้นกิเลสลงแต่อย่างใด
ผมอุตส่าห์ ฝ่่าฟันไปเรียน พระอภิธรรม ที่คิดว่าเป็นธรรม อันเลิศแล้ว แต่สุดท้ายก็เพียงแต่เกิดความเข้าใจเหมือนสูตร แกง สูตรเลข ที่ต้องเป็นไปตามนี้ แม้จะศึกษาเรื่อง อริยสัจจะ 4 ตามที่พระคุณเจ้าแต่ละรูปพรำ่สอนและแนะนำผม อยู่ แต่ผมก็รู้ตัวว่า มันมีแต่ความเข้าใจ ว่ากำหนด รู้ รูป และ นาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมสิ้นกิเลส
จนกระทั่ง วันหนึ่งผมได้มาศึกษาหลักพระกรรมฐานภาคปฏิบัติ ซึ่งไม่มีการเรียนแบบนักเรียน มีแต่ถูกไล่ให้ภาวนาแต่ประการเดียว
เพียง 7 วันการภาวนา พระกรรมฐานจึงทำให้ผมรู้ว่า ความรู้ทางธรรมที่ผมอุตส่าห์ไปร่ำเรียนมานั้น สู้การภาวนาจริงไม่ได้เลย
ผมขอเล่าไปตามลำดับ นะครับ
วันที่ 1 กับการรักษา ศีล และ สมาทานพระกรรมฐาน ซึี่่งมีรูปแบบเป็นพิธีกรรมแต่ผมก็ปฏิบัติตาม
นั่งกรรมฐาน สลับ เดินจงกรม ตั้งแต่เช้ายันเย็น ผมทำครั้งแรกก็นึกอยู่ในใจว่า ทำแบบนี้ก็เคยทำมาแล้ว
จะไปได้อะไรเพิ่ม แต่ผลที่ได้ ๆ ครูจริง ๆ มาสอนทำให้ผมรู้ว่า การเดินจงกรมผมนั้นไม่ได้เรื่องเลย แบบ รูปนาม ที่กำหนด แบบระยะ ซ้ายย่าง ขวาย่าง การเดินจงกรมของผม แค่ครูผมสอนให้หลับตาเดินก็ไม่เป็นเลยครับ คราวนี้ได้เดินจงกรมแบบ สมาธิ เดินกำหนดธาตุ เท่านั้น เดินจงกรม 30 นาที ครูผมก็ให้ผมนั่งกรรมฐานต่อ ครับ ซึ่งทำอยู่หลายรอบจนกระทั่งใกล้เย็น ผมจึงเริ่มได้รู้สึกการเห็นองค์ธรรม องค์แรกแห่งสมาธิ นั้น ก็คือ ปีติ พอเกิดครับ เป็นระลอกคลื่นเลยครับ ( มีอาการแห่งปีติ มากกว่านี้ )
คืนที่ 1 ผมอยากได้ปีติอย่างนี้ ทั้งคืน นอนหลับเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมนอนหลับได้ดีมากครับ
วันที่ 2 การฝึก ก็ยังคงเป็นแบบเก่าอยู่แต่ รอบนี้ไม่ต้องมีครู มาคุมแล้ว สามารถฝึกได้เอง การเดินรู้สึกได้เลยครับว่าเบามาก และเริ่มเดินได้คล่องยังเดินเร็วอยู่ครับ พอกลับมานั่งกรรมฐานต่อรู้สึกดีมากขึ้นขยายเวลาการนั่งได้จาก 30 นาทีเป็น 45 นาที
วันที่ 3 การฝึก ก็ยังคงเป็นแบบเดิมอยู่ แต่วันนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเิดินจังหวะช้ามากขึั้น วันนี้ลองกำหนดหลับตาเดิน มีความรู้สึกภายในว่า ไม่โคลงไม่โยก และไม่ส่าย ซึ่งต่างวันแรก และ วันที่สอง พอกลับมาันั่งกรรมฐานแล้ว ขยายเวลาเพิ่มขึ้นเป็น 50 นาที และ 1 ชั่วโมงเศษ
วันที่ 4 เดินจงกรมนานขึ้นไปกลับรอบหนึ่งเกือบชั่วโมง นั่งกรรมฐานได้ถึง 1 ชั่วโมง ถึง 2 ชั่วโมง
วันที่ 5 เดินจงกรมนานขึ้นมาก ๆ พร้อมกับเห็นจังหวะในโลกช้าไปหมด มีการเห็นที่ครูผมเรียกว่า นิมิต ด้วย
นั่งกรรมฐานวันนี้ได้เรียนกรรมฐานเพิ่มขึ้น แสงสว่าง เฉพาะหน้าเริ่มเกิดขึ้นเหมือนแสง หิ่งห้อย ที่สว่าง ๆ ดับ ๆ และเริ้มชัดเจนขั้นเฉพาะหน้า เหมือนดวงเทียน วันนี้ครูสอนเรื่อง นิมิต และการดำเนินจิตในสมาธิ
วันที่ 6 ไม่มีครูก็ทำเอง ซึ่งทำได้ดี วันนี้ครูผม สอนให้ผมว่า คำภาวนาที่ ธรรมดา ๆ หลังนั่งสมาธิ ผมก็ว่าไปโดยครูผมกำชับว่า ไม่ต้องไปตามคิด ตามนึก ให้ว่าไปด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ผมเองก็ว่าไปตามซื่อ
วันที่ 7 คำภาวนา แทรกถึงใจ ผมว่าไปตามซื่อแต่น้ำตาไหล พราก ๆ เลยครับ ไม่ได้นึกคิดตามแต่ ใจมันเห็น อย่างไร บอกท่านไม่ถูก รู้แต่ว่าต่างจากการที่ผมกำหนดรู้ และ เข้าใจที่เีขียนไว้ในตอนต้นมาก ๆ
วันนี้ ผมเลยมานั่งทบทวนกับคำว่า วิปัสสนึก วิปัสสนา และ วิปัสสหนา
ต้องขอบคุณ ครู ผมด้วยจริง ๆ