คุณจารวี ผมเองก็เจอครับ เจอมาตึ้งแต่ ปี 2552 จนถึงปัจจุบันตอนนี้แหละ(ไม่ใช่คุณเจออยู่คนเดียวหรอก บางคนเจอมาเยอะกว่าคุณ) ซึ่งทั้งแผนกของผมต่างก็สาปแช่งเขาทุกวัน เมื่อก่อนตอนไม่รู้ธรรมก็คิดนะสาปแช่งเขาเช่นกัน แต่พอเห็นของจริงก็ได้แต่ขอโหสิกรรมต่อกันชาติหน้าจะได้ไม่เจออีก แล้วไม่ยินดียินร้ายต่อเขา แม้ทุกวันนี้พี่ก็ แผ่พรหมวิหารแบบเจโตวิมุตติ(แบบโลกียะ)ไปให้เขา คือ..ทำสมาธิแล้วมีจิตแจ่มใสไม่มีอกุศล กิเลสนิวรณ์เครื่องเศร้าหมองกายใจ หรือ พอจะมีอยู่บ้าง..แต่กิเลสนิวรณ์นั้นกำลังอ่อนพอที่จะข่มไว้ได้ถึงความพ้นจากอกุศลในขณะนั้นๆ แผ่ไปให้เขาเป็นสุขไม่มีทุกข์ คงไว้ซึ่งตำแหน่งหน้าที่,สิ่งอันเป็นที่รักที่หวงแหนของเขา แต่สุดท้ายแล้วเราก็มีกรรมเป็นของๆตน ก็ต้องวางใจไว้กลางๆ และ ปล่อย ละ วางมันไป โดยอุบายว่า..
๑. พระองค์คุลีมาลย์เถระ สมัยก่อนเป็นควายทรพี วัดรอยตีนพ่อแล้วก็วิ่งไปไล่ขวิดคนตายในหมู่บ้าน ชาวบ้านเลยรุมประชาฑัน ฆ่าตายเสีย ก่อนตายองคุลีมาได้จองเวรพยาบาทไว้จนต้องฆ่าคนตั้ง 1000 นั้นแหละ
๒. พระสมโคดมมหานุนีย์ องค์พระบรมศาสดาของเรากับพระเทวทัต คงไม่ต้องอธิบายมากนะครับว่าพระเทวทัตจองเวรพระพุทธเจ้ามามากเท่าไหร่ เท่าเม็ดทรายที่เขากำขึ้นอธิษฐานนั้นแหละครับ แต่พระตถาคตเจ้าองค์พระบนมครูนั้นตรัสกับพระสารีบุตรหรือพระอานนท์นี่แหละผมจำไม่ได้ว่า “เรารักราหุลอย่างไรเราก็รักเทวทัตอย่างนั้น"
- ทีนี้มองย้อนมาดูตนว่า ชาติก่อนคงทำเขาไว้อย่างนี้ ชาตินี้เขาจึงมาเอาคืน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็อย่าไปติดข้องใจในเขาเลย ติดข้องใจไปก็เศร้าหมองเร่าร้อนกายใจไปป่าวๆ คิดเสียว่าใช้กรรมเขาไปให้หมด จะได้ไม่ต้องมาเบียดเบียนกันอีกต่อไป
- โดยส่วนตัวผมนั้น ผมพิจารณาดังนี้ว่า
ก.คนที่ทำให้เราโกรธแค้น เขาก็ยังอยู่ดีมีสุขของเขาเป็นของเขาอย่างนั้น มีแต่เรานี่ที่ทุกข์ใจเร่าร้อนคับแค้นอัดอั้นกายใจ เราแค้นเขาไปมันทำให้ชีวิตเราดีขึ้นไหม ไม่เลยใช่ไหม่ ยิ่งทุกข์ซ้ำเก่าฝังทุกข์ทับถมทุกครั้งที่นึกถึง ทีนี้ก็คิดว่า ตายละวา นี่ฉันจะโง่เร่าร้อนเคียดแค้นให้ตนเป็นทุกข์ไปทำไมวะนี่ เราไม่แค้นก็ไม่ทุกข์ เขาอยากทำอะไรก็ทำไป ฉันจะไม่ทุกข์กับเขาอีก ทำงานตามหน้าที่ไปวันๆให้ดี เลิกงานก็กลับแค่นั้น พอเราไม่ทุกข์ไปกับเขาตามเจตนาที่เขาต้องการ ทีนี้เขากลับกระวนกระวายใจแทน ก็ขำดีนะ
ข. พอทำไว้ในใจไม่ยึดติดกับการกระทำไรๆของเขาด้วยความไม่ผูกใจให้เร่าร้อนแล้ว เราไม่รู้สึกอะไรอีก แต่โดยจริตสันดาน(จริต สันดาน เป็นคำพูดทางธรรมนะครับ แปลรวมๆว่า สิ่งที่เขากระทำทาง กาย วาจา ใจ อยู่เป็นประจำๆจนกลายเป็นนิสัยเป็นตัวตนของเขา หรือนิสัยอันเป็นวิบากกรรมของเขาที่ติดตามมา)ของคนที่ชอบเบียดเบียนเขาก็หาอย่างอื่นมาเบียดเบียนทำร้ายเรา เช่น เงินไม่ขึ้นบ้าง โบนัสไม่ได้บ้าง ตัดเกรดว่าไม่ทำงานบ้างทั้งๆที่ทำงานตั้งใจและเขาเอางานที่ผมทำไปส่งผู้บริหารแล้วบอกเป็นผลงานเขา เจ็บป่วยเดินไม่ได้แล้วเราลางานก็ยังโดนทั้งๆที่มีใบรับรองแพทย์แท้ๆ ทุกวันนี้ผมทำงานที่นี่มาตั้งแต่ปี 2546 พอมีเวียนเปลี่ยนมาเจอคนนี้ปรับเปลี่ยนมาเจอแผนกนี้กับคนกลุ่มนี้ผมก็เจอแบบนี้ ทุกวันนี้เงินเดือนผมแค่ 10,950 บาท คนอื่นเขาไป 18,000 กว่าๆ กันหมดแล้ว ..ส่วนลูกน้องเขาเมามานอนที่ทำงานไม่ทำงาน มานอนเอาค่ากะค่าโอที หรือ เมาแล้วฉุกเฉินลาไม่มาทำงานหรือมาทำงานสายแบบรอร้านเหล้าเลิกค่อยมา ก็ตัดการทำงานได้ "A" แรกๆก็ขัดเคื่องใจเลยแหละเจ็บแค้น โมโห จะดักตี จ้างนักเลงไปฆ่าดีมั้ยนี่.. แต่ก็ดีที่ในสันดานผมยังพอมีกุศลจิตอยู่บ้างแม้เล็กน้อย เลยคิดมาว่า.."ติดใจข้องแวะไปก็เป็นทุกข์ป่าวๆ เขาก็เป็นอย่างนั้นของเขามาตั้งนาน ใครๆก็รู้ก็โดนกันถ้วนหน้า มันกลายเป็นสันดานเขาไปแล้ว ทำไมเราต้องไปเสียเวลาใส่ใจกับคนแบบนั้นด้วยหนอ เสียสุขภาพจิตป่าวๆ" เลยนึกถึงเรื่องที่นางสุชาดา..โดนทหารมาเก็บส่วยแล้วท่านไม่พอใจเสียใจไปทูลต่อพระสัพพัญญูเจ้าเพื่อขอธรรมสร่างทุกข์นั้น พระตถาคตเจ้า..พระบรมศาสดาจึงตรัสสอนว่า "อย่าเอาความสุขสำเร็จของตนไปผูกฝากขึ้นไว้กับผู้อื่น ต้องให้เขารักเรา เอาใจใส่ดูแลเราหรือ เราจึงไม่ทุกข์ พอเขาทำอย่างนี้จึงทุกข์เสียใจ สุขมันเกิดดับที่ใจเราหรือเขา ทุกข์มันเกิดดับที่ใจเราหรือเขา ก็ล้วนแต่เกิดที่เราทั้งนั้น ก่อนหน้าที่จะเจอเขาเราก็ยังเป็นสุขอยู่ได้ตามปกติ หรือ ก็ยังเป็นทุกข์อยู่ตามปกติ แล้วประโยชน์อะไรจึงจะเอาความสุขของตนไปผูกฝากไว้กับผู้อื่นให้มันลำบากเล่า มันเป็นทุกข์เปล่าๆหาประโยชน์สุขไม่ได้เลย นี่น่ะการที่เราเอาความสุขสำเร็จของตนไปฝากไว้ที่เขาใันเป็นความโง่โดยแท้" เขาจะอยากมี อยาากได้ เสพย์ความโลภ หาสิ่งปรนเปรอตนเหล่าใด แล้วมากระทบเรา "เราก็ปล่อยละ ปล่อยวาง สละคืนความโกรธในใจเราให้แก่เขาไว้เสียเป็น..ทาน" นี่ฉันได้ทานบารมีเลย พอทำได้นี่มันเต็มกำลังใจดีนักแล
ค. เมื่อผมได้ฟังธรรมจากพระอรหันต์ แล้วน้อมนำมาปฏิบัติ ศีล ทาน ภาวนา จนเกิดสัมมาทิฐิเห็นของจริง จิตมันไม่ยึดอะไรเลยตลิดแม้ประมาณ 1 เดือน มันจับแค่ของจริง อันไหนจริงจิตมันจับอันนั้น มีลมหายใจเป็นต้นรู้ลมหายใจเป้นอันมากทุกขณะที่ระลึกได้ จิตไม่จับราคะ มันไม่ติดใจ ติดใคร่แสวงหาเสพย์ปรนเปรอตนในสิ่งไรๆ เมื่อไม่มีราคะโทสะก็ไม่มีเพราะไม่มีสิ่งที่รัก จึงไม่มีสิ่งที่เกลียด ไม่ชอบใจ ขุ่นข้อง ขัดเคืองใจ สุดท้ายความลุ่มหลงอยู่ในสิ่งที่รักหรือชังก็ไม่มี มันสุขอยู่อย่างนั้นใครด่าก็ยังยิ้มเป็นสุข เจออะไรก็ไม่เกลียดกลัวหรือติดใครทั้งสิ้นมีสติสัมปะชัญญะรู้ตัวตลอดจิตเป็นกุศลตลิดเวลา ทีนี้พอมันเสื่อมไปก็เจอตาคนเดิมทำอีกแระ ทีนี้มาหวนระลึกถึงสิ่งที่เคยได้มาก็เห็นว่า ความไม่ยึดสิ่งใดอารมณ์ใด ไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง ต่อสิ่งใด ไม่ว่าจะเจออะไรมันก็ไม่ทุกข์ มันสุขอยู่ในใจด้วยตัวของมันเอง อิ่มเอม สงบใจ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ยึดจับเอาสิ่งใดๆ เป็นสุขทั้งกายและใจด้วยเหตุนั้น เราจึงหวนระลึกว่า อ้อ..อย่างนี้นี่เองที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า "สุขอันเป็นอมตะ คือ สุขจากความไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด นั่นก็คือความดับสิ้นที่ไปซึ่งไฟกิเลสเครื่องร้อยรัด อันเร่าร้อน-ร้อนรุ่ม-รุมเร้า-อัดอั้น-คับแค้น-เศร้าหมองใจนั้นเอง" .... "สุขทางโลกแวบเดียวชั่วคราวก็ดับ นานสุดก็แค่เราหมดลมหายใจแล้วก็ต้องพรากไป ไม่เที่ยงแท้ยั่งยืน ไม่มีตัวตนบังคับไม่ให้ดับให้อยู่กับเราตลvดไปก็ไม่ได้ ปารถนาในสุขทางโลกมากเท่าไรก็ทุกข์มากเท่านั้น ทิ้งสุขในโลกียะ จึงจะเจอสุขในโลกุตระได้"
- ก็ดังนั้นแหละ เมื่อเจอปัญหาไรๆ ก็อาศัยหวนระลึกเอาอารมณ์อย่างนั้น โดยทำไว้ในใจดังนี้ว่า
๑. "ติดใจข้องแวะสิ่งไรไปก็หาประโยชน์สุขไม่ได้นอกจากทุกข์ ละความติดข้องใจนั้นไปเสียจะไม่ทุกข์" น้อมใจออกจากสิ่งนั้นๆหรืออารมณ์นั้นๆไปเสีย โดยคำนึงว่า "ไม่ติดข้องใจสิ่งไรๆมันก็ไม่ทุกข์ มันก็สักแต่เป็นแค่สิ่งหนึ่งที่เกิดมีขึ้นมาให้รู้ ไม่ได้ให้เราไว้ยึด ความเข้าไปยึดเอาอารมณ์ไรๆย่อมมีแต่ทุกข์ ล้วนแต่สมมติกิเลสสร้างมาให้หลงตาม ราคะ โทสะ โมหะทั้งนั้น บอกใจว่าจะไปสนใจมัน ที่เราติดข้องใจกับเขาไว้มากนั้นก็เพราะเราให้ความสำคัญกับเขาไว้มาก อย่าให้ความสำคัญอะไรกับเขาอีกเขาจะทำอะไรก็ปล่อยเขาไป เพราะไม่มีความหมายอะไรกับชีวิตเรา สักแต่รู้อาการของมันไม่ต้องให้ความสำคัญว่ามันเป็นอะไรคืออะไร เดี๋ยวความเร่าร้อนนั้นมันก็ดับเอง แล้วจิตจะจับที่ลมหายใจเอง"
๒. "เรามีความตายเป็นที่สุด หลีดกเลี้ยงความตายไม่ได้ ดังนั้นไม่วันนี้ ก็วันพรุ่ง เราก็จะต้องตายอยู่แล้ว เผลอๆจะตายเอาตอนนี้ วินาทีนี้ ตอนกำลังหายใจ หรือ กำลังนอนพอหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีก เมื่อจะตายอยู่แล้วยังจะหอบเอาความขุ่นข้องขัดเคืองใจไรๆ ความอยาก ความหลง ความเร่าร้อน อัดอั้น คับแค้น ร่ำไร รำพัน ความเศร้าหมองกายใจทั้งปวงตายตามไปด้วยหรือ" .... "ก็เมื่อจะตายอยู่แล้ว ติดข้องใจสิ่งไรๆไปก็ไม่เกิดประโยชน์สุขอันใดนอกจากทุกข์ จะตายอยู่แล้วอย่าแบกทุกข์ตายตามไปด้วยเลย ปล่อยวางมันลงเสียละเสียจะได้ไม่ทุกข์เร่าร้อนเพราะไฟกิเลสก่อนตาย" ติดข้องใจไปก็เศร้าหมองกายใจให้ลงนรกไปเปล่าๆ "ช่างมัน ก็แค่ช่างมัน ปล่อยมันไป (ทางภาคอีกสานจะสบถประมาณว่า.."ซ่างแม่งมันเถาะ ปล่อยมันเป็นบ้าไป อย่าไปหัวซามัน !!")" ทำกรรมดีไว้ก่อนตายจะได้ขึ้นสวรรค์ ไม่ก็ถึงพรหมหรือถึงพระนิพพานก็แค่นั้น ติดข้องใจไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่มีคุณอันใดเลย อย่าใส่ใจ อย่าให้ความสำคัญไรๆกับมันอีก ระลึกเสียว่าการอภัยทานของเราไม่ติดใจในเขาอีก คือ ทางแห่งกุศล คือ ความฉลาดในการปล่อยวาง แม้เมื่อตายไปในตอนนี้ก้จะไปอยู่สวรรค์ในชั้นต่างๆ ชั้นพรหม จนถึงพระนิพพาน จะไม่ตกล่วงอบายภูมิ หรือ นรกภูมิ
หวังว่าประสบการณ์จริงของผมจะช่วยคุณได้นะครับ ขอให้เลิกเร่าร้อน นอนพักให้สบาย ตื่นมาก็ผ่องใสครับ มีสติให้มาก เลิกฟุ้งซ่าน
ผมมีคติเตือนใจให้นะครับดังนี้ว่า..
พึงระลึกไว้ว่า หากเรายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง เร่าร้อนทั้งๆที่มาศักษาธรรมะ รู้ธรรมสูง มีสมาธิ หรือ ถึงอภิญญามาบ้างแล้ว เอะอะอะไรก็ร้องขอให้คนช่วย แล้วพร่ำฟุ้งซ่านอยู่ ถ้ายังเป้นอย่างนี้อยู่พอไม่นานนักเวลาเจอคนชี้หลายๆทางตามแต่จริตเขาพอเธอนั้นเลือกเดินไปแต่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ของเธอ เธอก็จะกล่าวหาเขา ด่าเขา ติเตียนเขา ทั้งๆที่ตนเองเป้นคนขอความเห็นความช่วยเหลือเขาเอง แต่หากเธอหัดคิดหรืออาจจะมีขอแนวคิดหัวข้อแนะนำ แล้วนำไปประยุกต์ใช้้แก้ปัญหาด้วยตัวเองได้แล้ว สิ่งนั้นจะเป็นประสบการณ์ของเธอวันหนึ่งเเธอก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัว มีสามี มีลูก เป็นแม่คน เป็นพี่คน เป็นป้าคน เป็นย่าคน เป็นยายคน เธอก็จะสามารถเป็นผู้ชี้แนะแนวทางที่ดีให้ลูกหลาน หรือน้องๆได้ เพราะได้ลิ้มรสถึงผลต่างๆดีหรือไม่ดีจากทางนั้นๆด้วยตัวเอง เอาง่ายๆดูตอนนี้พระอาจารย์ธัมมวังโสและทีมงานให้น้องคอยตอบปัญหาช่วยเหลือผู้อื่น นี่แหละคือจุดเริ่มต้นในการที่เราจะโตเป้นคนที่น่านับถือในอนาคตครับ
เพราะรักและเป็นห่วงจากใจจริงนะครับ ยิ่งหากเป็นเด็กต่างจังหวัดมาทำงานใหม่ยิ่งลำบากมาก เพราะผมเอกก็อีสานคนขอนแก่นครับ มาอยู่แผนกนี้ก็เจอเหยียดเลยซะงั้น 555 แต่ก็ละความผูกใจนั้นไว้เสียจะได้ไม่ทุกข์ ผมเลยอยากจะเตือนสติให้น้องโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งและเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ ไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินแต่อย่างใดครับ