ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ขอคำแนะนำเรื่องกำหนดยุบ พอง ด้วยคะ  (อ่าน 2801 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ส้ม

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 184
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ขอคำแนะนำเรื่องกำหนดยุบ พอง ด้วยคะ
« เมื่อ: มิถุนายน 10, 2011, 02:42:49 pm »
0
คือเพิ่งจะเริ่มนั่งสมาธิมาได้ไม่กี่วัน ในตอนแรกก็ใช้วิธีสังเกตท้องพองยุบและบริกรรมยุบหนอ-พองหนอ
แต่รู้สึกอึดอัดเหมือนท้องเราพองยุบแบบไม่เป็นธรรมชาติ จึงลองเปลี่ยนมาตามรู้ลมหายใจแทนโดยไม่บริกรรม ก็รู้สึกสบายกว่าเยอะ และเหมือนจิตใจสงบกว่า

ไม่้ทราบว่าปฏิบัติผิดวิธีการกำหนดหรือไม่คะ
 :67:
บันทึกการเข้า
เส้นทางแสนเปรี้ยว จะมีสุขจริงบ้างหรือไม่ ?

จ่าวิโรจน์

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 50
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ขอคำแนะนำเรื่องกำหนดยุบ พอง ด้วยคะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2011, 02:51:28 pm »
0
ถ้าคุณไม่ถูกจริตกับ ยุบหนอ พองหนอ ก็ให้ทิ้งมันซะ

แล้วใช้วิธีรับรู้สัมผัส ลมหายใจเข้าออก แบบนี้คือวิธีตรงที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเลย
แล้วจะพัฒนาไปสู่รู้ลักษณะของลมหายใจด้วยก็ได้ ซึ่งมันจะพัฒนาของมันไปเอง

ส่วนยุบหนอพองหนอนั้น เป็นวิธีที่คนไทยเอามาประยุกต์อีกทีหนึ่ง ถ้าถูกจริตก็ไม่เป็นไร



ผมอยากแนะนำเพิ่มว่า เมื่อรู้ว่าคิด แล้วคุณไปดูความคิดนั้น ไม่ต้องไปบริกรรมว่า คิดหนอๆหรอกครับ


เพราะในเมื่อคุณสามารถจับความคิด หรือจับสภาวะต่างๆได้แล้ว คุณก็ย่อมจะรู้แล้วว่านั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น สติคุณเกิดขึ้นแล้วในตอนนั้น
เมื่อคุณมีสติแล้ว และรู้จักแล้วว่าอะไรคือสติ อะไรคือสมาธิ คุณก็ไม่จำเป็นต้องไปบริกรรมช่วยแล้ว

ผม ให้คุณสังเกตอย่างนี้ ถ้าคุณรู้ว่าคิด แล้วคุณบริกรรมว่าคิดหนอๆ ให้คุณสังเกตุลมหายใจของคุณตอนที่คุณบริกรรมว่า  จังหวะการหลายใจของคุณสัมพันธ์กับการบริกรรมเป็นจังหวะหรือไม่  และลองเปรียบเทียบกับในกรณีที่เราคิดฟุ้งซ่านว่า ตอนเราคิดจังหวะลมหายใจเราสำพันธ์กับตอนที่คิดหรือไม่

ถ้าใช่ นั่นแสดงว่าการบริกรรมของคุณคือความคิด ไม่ใช่สติที่รู้เท่าทันจริง   ในส่วนของคุณนั่นสติจริงๆจะอยู่ที่แว๊ปแรก  แต่ขณะที่บริกรรมอาจจะเป็นความคิดตามไปแล้ว ไม่ใช่สติแล้ว

ฉนั้นแนะนำว่า ให้ใช้สติล้วนๆในการรับสัมผัสไปเลยก็ได้ และสำหรับผมถือว่าดีที่สุด แถมยังเป็นสายตรง ไม่ใช่สายประยุกต์ใหม่
ถ้าคุณรู้จักแล้วว่าอะไรคือสติ อะไรคือสมาธิก็ไม่ต้องเอาบริกรรมมาเข้าช่วยก็ได้ คุณจะได้ไม่หลง

สติ เพียวแบบนี้แหละครับ คือสบายที่สุด เมื่อมีสติแล้วคุณจะสบาย ไร้ตัวตน แต่มีสัมปชัญญะครบถ้วน เหมือนเมื่อตอนที่คุณทำอาณาปาณสติอยู่นั่นแหละ

ตอน คุณทำอาณาปาณสติ นั้น สติ กับสมาธิจะทำงานร่วมกัน อย่างชัดเจน ตรงนี้จะมีความละเอียดระดับต่างๆลงไปอีก แต่ถ้าทำถุกต้องสิ่งต่างๆมันจะเกิดของมันเองไม่ต้องไปกังวลอะไร


ยกตัวอย่างตอนฝึกสติหรือวิปัสสนา เพื่อรับรู้ สมมติว่าฐานกาย สมมติคุณเอามือไปจับหม้อร้อนๆ
คุณ จำเป็นต้องท่องว่า ร้อนหนอๆก่อนหรือไม่มือคุณถึงจะร้อนถึงจะร้อน  คุณจำเป็นต้องท่องว่า ร้อนเหลือเกินหนอๆหรือไม่คุณถึงจะรู้สึกร้อนที่มือ

ตอบ ว่าไม่เลย ถึงแม้คุณไม่ท่องว่าร้อนหนอๆ มันก็ร้อน และคุณก็รู้สึกแล้วว่ามันร้อนและกำลังร้อนอยู่  นั่นแหละคือสติ คือการรู้ขระนั้น คุณไม่ต้องท่องคุณคุณก็รู้แล้วว่าร้อน และคุณก็สามารถพิจารณาความรู้สึกร้อนตอนนั้นได้โดยไม่จำเป็นต้องท่องอะไร นี่แหละคือสติล้วนๆ

สติล้วนๆตรงๆแบบนี้ คือทางสายตรง และไม่ต้องกลัวว่าจะไปหลงว่า อะไรคือสติ อะไรคือความคิด เพราะตอนมีสติจะไม่มีความคิด

สติ นี้จึงมีประโยชน์มาก ทั้งในคนที่ชอบคิดฟุ้งซ่าน ทั้งในคนที่เป็นโรคซึมเศร้า ทั้งในคนที่เป็นโรคเพราะเครียด หรือไมเกรน เพราะเมื่อมีสติก็จะไม่มีความคิด เมื่อไม่มีความคิดก็คือการอยู่กับปัจจุบัน

และเป็นฐานของวิปัสสนา ถ้าจับหลักให้ได้ว่าอะไรคือสติ ก็จะรู้ว่าสามารถฝึกสติได้ยังไง ฝึกได้ทุกที่ทุกเวลาแล้วมันจะง่ายมากให้การทำวิปัสสนา

แค่จับหลัก ให้ได้ แล้วผลมันจะเกิดไปตามเหตุและปัจจัยของมันเอง ไม่ต้องไปกังวลว่าจะเกิดผลอะไรตามมา เพราะมันจะเกิดเองถ้าสร้างเหตุถูกต้อง

และ เมื่อคุณทิ้งแนวบริกรรมได้แล้ว และฝึกแนวสายตรงจนเข้าใจแล้วว่าอะไรคืออะไร คุณก็สามารถกลับไปฝึกแนวบริกรรมได้อีกครั้ง ในอนาคตถ้าคุณชอบ

แนว บริกรรม ถ้ายังจับหลักไม่ได้ ว่า ทำไปเพื่ออะไร กำลังจะทำอะไร และอะไรคือสติ อะไรคือสมาธิ อะไรคือความคิด ระวังจะหลงได้ และระวังจะได้แต่สมถะ  และระวังจะหลุดโลกแบบเพี้ยนในบางคน เห็นเห็นนั่น เห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เพราะเค้าหลุดจากปัจจุบันไปหลุดไปอยู่ในห้วงแห่งความคิด หรือจินตนาการแบบไม่รู้ตัว

ถ้าคุณอยู่กับสติ คุณจะสงบและเบิกบาน ตื่นตัว

แต่ถ้าคุณมีแต่สมถะเฉยๆ คุณอาจจะได้แต่ความสงบ และโปรดระวังเรื่องความเกียจคร้าน และเอื่อยเฉื่อย เชื่องช้า

จากคุณ : มังกรจักรวาล
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อม สมเ็ด็จพระชินสีห์ เสด็จดี เป็นศรี ชาวสยาม
แม้พระนาม พุทโธ ระบือนาม ทั่วเขตคาม ถิ่นฐานได้ร่มเย็น
ชาวลพบุรีครับ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ขอคำแนะนำเรื่องกำหนดยุบ พอง ด้วยคะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2011, 08:12:07 pm »
0
เพิ่งจะเริ่มนั่งสมาธิมาได้ไม่กี่วัน ในตอนแรกก็ใช้วิธีสังเกตท้องพองยุบและบริกรรมยุบหนอ-พองหนอ แต่รู้สึกอึดอัดเหมือนท้องเราพองยุบแบบไม่เป็นธรรมชาติ จึงลองเปลี่ยนมาตามรู้ลมหายใจแทนโดยไม่บริกรรม ก็รู้สึกสบายกว่าเยอะ และเหมือนจิตใจสงบกว่า

                การภาวนาแบบยุบ/พองนั้น ใช่ว่าคุณน้องส้มจะรู้สึกอึดอัด ผมเองก็ไม่ชอบภาวนาแบบยุบ/พอง อึดอัด

เหมือนกันครับ หากแต่ชอบกำหนดลมพุท/โธที่ปลายนาสิกมากกว่า และได้ปิติด้วย แต่ตอนนี้ต้องภาวนาตาม

แบบอย่างครูบาอาจารย์ท่านแนะคือ ปัคคหะมั่นฐานจิต พุทโธนับ ซึ่งฝืนเอามากๆ เพราะผมไม่ชอบนับ แต่ต้องสู้

ฝืนยาวนานถึง 1 ปี กว่าจะเข้าที่เข้าทางหยั่งปิติได้ ขอให้คุณน้องส้มอดทนเพียรเพื่อความดีแม้มันจะยาก ดีกว่า

ทำบาปเพราะอยากไม่รู้สิ้น สวัสดีครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 10, 2011, 08:18:37 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา