ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ก่อนที่พระพุทธเจ้า จะตรัสรู้ ตอนนั้นมีพระอรหันต์ อยู่ก่อนหรือไม่ คะ  (อ่าน 5890 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ชมพู่

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 91
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ก่อนที่พระพุทธเจ้า จะตรัสรู้ ตอนนั้นมีพระอรหันต์ อยู่ก่อนหรือไม่ คะ
  มีหลายคน ชมรมหนึ่งบอกว่า ช่วงที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้นั้น ก็มีพระอรหันต์ อยู่ก่อน

 จริงเท็จอย่างไร ขอท่านผู้รู้ช่วยชี้แจง อธิบายด้วยคะ

  thk56 thk56 thk56 ในน้ำใจ ล่วงหน้าคะ

 :25:
บันทึกการเข้า

nithi

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 68
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 ans1
น่าจะมี นะครับ แต่ไม่เรียกว่าพระอรหันต์ เรียกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ครับ

 
บันทึกการเข้า
ขุมทรัพย์แห่ง ความหลุดพ้น ปรากฏอยู่ที่พระไตรปิฏก อ่านพระไตรปิฏก มาก ๆ
 ก็จะเข้าใจหลักธรรมในพระพุทธศาสนาได้ ของจริงต้องตาม พุทธวัจนะ

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะว่า ท่านสำเร็จอรหันต์เอง แล้วบอกสอนผู้อื่น จึงเป็นพระพุทธเจ้า

แต่ถ้า ไม่ได้สำเร็จบรรลุเอง แต่เป็นสำเร็จบรรลุตามก็เป็นพระสาวก เป็นสาวกพุทธองค์

แต่ถ้า สามารถที่จะสำเร็จบรรลุได้เอง แต่ไม่บอกสอนผู้อื่น ก็จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

แต่ใน พุทธกัปหนึ่ง ๆ จะมีพระพุทธเจ้าเพียงแค่พระองค์เดียว

ก็ตอบได้ว่า  ไม่มี เพราะ ถ้าสำเร็จเป็น พระพุทธเจ้า(สำาเร็จเป็นพระอรหันต์เอง) ก็จักทำให้มีพระพุทธเจ้า 2 องค์
ซึ่งก็จะเป็นไปไม่ได้ เพราะ การที่ได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้า ได้ชื่อว่าเป็นเอกบุรุษ เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีสอง
ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นเอกบุรุษ

ก็อาจจะตอบได้ในอีกแง่หนึ่งว่ามี แต่ไม่ใช่เป็นมนุษย์เหมือนอย่างเรา ๆ  คือถ้า สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก
ก็จะเป็นพระอรหันตสาวกในพระพุทธเจ้านั้น ๆ (ในพุทธกัปอื่น ๆ ที่ผ่านมา)
ซึ่งท่านอาจจะเป็นพรหมณ์อยู่ อยู่มาอย่างยาวนานจนล่วงเลย มาหลายพุทธกัป ในกรณีนี้ก็ต้องตอบว่าใช่ มี
แต่ไม่ใช่มนุษย์

แต่ถ้าเป็นมนุษย์ไม่น่าจะมี

 

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 24, 2013, 09:25:28 pm โดย ธรรมะ ปุจฉา »
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมรู้นะครับ ว่า ปัจจุบันมี กลุ่มชาวธรรม กลุ่มหนึ่งมักจะพูดว่า พระพุทธเจ้า นั้นตรัสรู้เพราะ มีพระพุทธเจ้าอื่่น ๆ ให้ตรัสรู้อย่างนี้ เป็นต้น แต่ไม่อยากพูดไปตรง ๆ ว่าเป็นพวกไหน พวกนี้จะไม่เคารพพระพุทธเจ้า แต่เคารพในบุคคลที่ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู คือ ไม่ใช่ ธรรมาธิษฐาน แน่นอน เท่าที่ผมฟังมา

  :smiley_confused1: :smiley_confused1: :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
พระพุทธสามารถที่จะสำเร็จบรรลุได้เอง แต่ไม่บอกสอนผู้อื่น ก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ได้ชื่อว่าเป็นเอกบุรุษ




     


http://cutieparade.exteen.com/20070429/entry
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 25, 2013, 02:25:40 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
๓. จักกวัตติสูตร

อายุลด อธรรมเพิ่ม
   จากการที่ไม่ให้ทรัพย์แก่ผู้ไร้ทรัพย์ ก็มากด้วยด้วยความยกจน มากด้วยการลักทรัพย์ มากด้วยการใช้ศัสตรา มากด้วยการฆ่า มากด้วยการพูดปด อายุผิวพรรณของสัตว์ทั้งหลายก็เสื่อมลง คือ มนุษย์มีอายุ ๘ หมื่นปี บุตรมีอายุเพียง ๔ หมื่นปี และลดลงเรื่อยๆ ในเมื่อความชั่วเกิดมากขึ้น เช่น การพูดเท็จอย่างจงใจ, การพูดส่อเสียด, การประพฤติผิดในกาม.

    เมื่ออายุลดลงเหลือ ๕ พันปี มากไปด้วยธรรม ๒ อย่าง คือการพูดหยาบ และการพูดเพ้อเจ้อ.
    เมื่ออายุลดลงมาถึง  ๒,๕๐๐ ปี มากไปด้วยธรรม ๒ อย่าง โลภอยากได้ของเขา และพยาบาทปองร้ายเขา.
    เมื่ออายุลดลงมาถึง ๑ พันปี มากไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดคลองธรรม
    เมื่ออายุลดลงมาถึง ๕๐๐ ปี มากไปด้วยธรรม ๓ อย่าง คือ 
      ๑. ความกำหนัดที่ผิดธรรม (อธมฺมราค)   
      ๒. ความโลภรุนแรง (วิสมโลภ )   
      ๓. ธรรมะที่ผิด (อรรถกถาอธิบายว่า ความกำหนัดพอใจผิดปกฏิ เช่น ชายในชาย หญิงในหญิง).


    เมื่ออายุลดลงมาถึง ๒๕๐ ปี มากไปด้วยอธรรม คือ
    การไม่ปฏิบัติชอบในมารดา, บิดา, ในสมณะ, ในพราหมณ์, การไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล
    เมื่อเสื่อมลงอย่างนี้ ทั้งอายุและผิวพรรณ มนุษย์มีอายุ ๒๕๐ ปี บุตรก็มีอายุเพียง ๑๐๐ ปี.



เหลืออายุ ๑๐ ปี เกิดมิคสัญญี
    จักมีสมัยที่บุตรของมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี หญิงสาวอายุ ๕ ปี ก็มีสามีได้ ;
    รสเหล่านี้จะอันตรธานไป คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย รสเค็ม ;
    เมล็ดพืช ชื่อกุทรุสกะ ไทยแปลกันว่าข้าวหญ้ากับแก้) จะเป็นโภชนะอันเลิศ เสมือนหนึ่งข้าวสุกแห้งข้าวสาลีและเนื้อสัตว์เป็นโภชนะอันเลิศในสมัยนี้ (คือ ของเลวสมัยนี้กลายเป็นของดีในสมัยเสื่อม) ;


    กุสลกัมบถ(ทางแห่งกุศล)ประการ จะอันตรธาน อกุศลกัมบถ( ทางแห่งอกุศล ) ๑๐ ประการ จะรุ่งเรืองยิ่ง;
    แม้คำว่า กุศล ก็ไม่มี ผู้ทำกุศลจะมีที่ไหน ;
    การไม่ปฏิบัติชอบในมารดาบิดา ในสมณะ ในพราหมณ์ การไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล จะได้รับการบูชาสรรเสริญ ซึ่งตรงกันข้ามกับสมัยปัจจุบันนี้;
    จะไม่มีคำว่า มารดา, น้า, บิดา, ป้า, อา, ภริยาของอาจารย์, ภริยาของครู
    โลกจะเจือปนกันเหมือนสัตว์ เช่น แพะ ไก่ สุกร;
    จักมีอาฆาต, พยาบาท, มุ่งร้ายกัน, คิดฆ่ากันอย่างรุนแรง, แม่คิดต่อลูก ลูกคิดต่อแม่, ต่อคิดต่อลูก ลูกคิดต่อพ่อ, พี่ชายคิดต่อน้องหญิง น้องหญิงคิดต่อพี่ชาย
.

    จะเกิดมีสัตถันตรกัปป์. คือ กัปป์ที่อยู่ในระหว่างศัสตรา ๗ วัน คนทั้งหลายจะมีความสำคัญในกันและกันว่าเป็นเนื้อ (มิคสัญญา) จะมีศัสตราอันคมเกิดขึ้นในมือ ฆ่ากันและกันด้วยสำคัญว่าเนื้อ.


กลับเจริญขึ้นอีก
    มีบุคคลบางคนหลบไปอยู่ในป่าดง พงชัฏ กินเหง้าไม้ ผลไม้ในป่า เมื่อพ้น  ๗ วันแล้ว ออกมา.
    ก็ดีใจร่าเริงที่รอดชีวิต จึงตั้งใจทำกุศลกรรม ละเว้นการฆ่าสัตว์ และบำเพ็ญกุศลกรรม ละเว้นอกุศลกรรม เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อายุก็ยืนขึ้นเรื่อยๆ จนถึง ๘ หมื่นปี.



พระเจ้าจักรพรรดิ์อีกพระองค์หนึ่ง
    เมื่อมนุษย์มีอายุยืน ๘ หมื่นปีนั้น หญิงสาวอายุ ๕ พันปีจึงมีสามีได้.
    มนุษย์จะมีโรคเพียง ๓ อย่าง คือ   
      ๑. ความปรารถนา (อยากอาหาร) 
      ๒. ความไม่อยากกินอาหาร (เกียจคร้านอยากจะนอน)   
      ๓. ความแก่.

    ชุมพูทวีปนี้จะมั่งคั่งรุ่งเรือง มีคามนิคมราชธานีแบบไก่บินถึง(ใกล้เคียงกัน ) ยัดเยียดไปด้วยมนุษย์.
    กรุงพาราณสีจะเป็นราชธาณีนามว่า เกตุมตี อันมั่งคั่ง มีคนมาก อาหารหาง่าย.
    จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์พระนามว่า สังขะ เป็นพระราชาผู้ปกครองโดยธรรม มีชัยชนะจบ  ๔ ทิศ ปกครองชนบทถาวรสมบูรณ์ด้วยรัตนะทั้งเจ็ด.


พระเมตไตรพุทธจ้า
    เมื่อมนุษย์อายุ ๘ หมื่นปีนั้น พระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย จักบังเกิดในโลกเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา(ความรู้) จรณะ(ความประพฤติ) เป็นต้น
    แสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย พร้อมทั้งอรรถะพยัญชนะ บริหารภิกษุสงฆ์มีพันเป็นอเนกเช่นเดียวกับที่เราบริหารภิกษุสงฆ์มีร้อยเป็นอเนก.
    พระเจ้าสังขจักรพรรดิ์จักให้ยกปราสาทที่พระเจ้ามหาปนาทะให้สร้างขึ้น ครอบครอง แจกจ่ายทาน และออกผนวชในสำนักพระเมตไตรยพุทธเจ้า ในไม่ช้าก็จะทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมด้วยความรู้ยิ่งด้วยพระองค์เอง (คือ สำเร็จเป็นพระอรหันต์).


อ้างอิง
พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน (อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ)
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/3.2.html
ขอบคุณภาพจาก http://www.dmc.tv/,http://board.palungjit.com/


กระทู้แนะนำ
กาลที่พระศรีอาริยเมตไตยจะลงมาโปรดสัตว์
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=1868.0
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
๔. อัคคัญญสูตร

ครั้นแล้วตรัสเรื่อง สมัยหนึ่งโลกหมุนเวียนไปสู่ความพินาศ
    สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหมกันโดยมาก.
    เมื่อโลกหมุนกลับ(คือ เกิดใหม่ภายหลังพินาศ) สัตว์เหล่านั้นก็จุติมาสู่โลกนี้
    เป็นผู้เกิดขึ้นจากใจกินปีติเป็นภักษา(ยังมีอำนาจฌาณอยู่) มีแสงสว่างในตัว ไปได้ในอากาศ
    (เช่นเดียวกับเมื่อเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม).


อาหารชั้นแรก
    แล้วเกิดมีรสดิน(หรือเรียกว่าง้วนดิน) อันสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส สัตว์ทั้งหลายเอานิ้วจิ้มง้วนดินลิ้มรสดูก็ชอบใจ เลยหมดแสงสว่างในตัว เมื่อแสงสว่างหายไป ก็มีพระจันทร์ พระอาทิตย์ มีดาวนักษัตร มีคืนวัน มีเดือน มีกึ่งเดือน มีฤดู และปี.
    เมื่อกินง้วนดินเป็นอาหาร กายก็หยาบกระด้าง ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏ พวกมีผิวพรรณดี ก็ดูหมิ่นพวกมีผิวพรรณทราม. เพราะดูหมิ่นผู้อื่นเรื่องผิวพรรณ เพราะความถือตัวและดูหมิ่นผู้อื่น ง้วนดินก็หายไป ต่างก็พากับบ่นเสียดาย
    แล้วก็เกิดสะเก็ดดิน ที่สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส ขึ้นแทน ให้เป็นอาหารได้ แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายก็หยาบกระด้างยิ่งขึ้น ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏชัดขึ้น เกิดการดูหมิ่น ถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น
    สะเก็ดดินก็หายไป เกิดเถาไม้ สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส ขึ้นแทน ให้กินเป็นอาหารได้ ความหยาบกระด้างของกาย และความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น เกิดการดูหมิ่น ถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น
    เถาไม้ก็หายไป ข้าวสาลี ไม่มีเปลือก มีกลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสารก็เกิดขึ้นแทน ใช้เป็นอาหารได้ ข้าวนี้เก็บเย็นเช้าก็แก่แทนที่ขึ้นมาอีก ไม่ปรากฏพร่องไปเลย ความหยาบกระด้างของกาย ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น.


เพศหญิงเพศชาย
   จึงปรากฏเพศหญิงเพศชาย. เมื่อต่างเพศเพ่งกันแลกันเกินขอบเขต ก็เกิดความกำหนัดเร่าร้อนและเสพเมถุนธรรมต่อหน้าคนทั้งหลาย เป็นที่รังเกียจ และพากันเอาสิ่งของขว้างปา เพราะสมัยนั้นถือการเสพเมถุนเป็นอธรรม เช่นกับที่สมัยนี้ถือว่าเป็นธรรม(ถูกต้อง).
    ต่อมาจึงรู้จักสร้างบ้านเรือน ปกปิดซ่อนเร้น.



การสะสมอาหาร
   ต่อมามีผู้เกียจคร้านที่จะนำข้าวสาลีตอนเช้าเพื่ออาหารเช้า นำมาตอนเย็นเพื่ออาหารเย็น จึงนำมาครั้งเดียวให้พอทั้งเช้าทั้งเย็น.
   ต่อมาก็นำมาครั้งเดียวให้พอสำหรับ ๒ วัน ๔ วัน ๘ วัน มีการสะสมอาหาร จึงเกิดมีเปลือกห่อห่มข้าวสาร ที่ถอนแล้วก็ไม่งอกขึ้นแทน ปรากฏความพร่อง (เป็นตอนๆ ที่ถูกถอนไป).
   มนุษย์เหล่านั้นจึงประชุมกับปรารภความเสื่อมลงโดยลำดับ แล้วการแบ่งข้าวสาลีกำหนดเขต(เป็นของคนนั้นคนนี้ ).


อกุศลธรรมเกิดขึ้นกษัตริย์เกิดขึ้น
    ต่อมาบางคนรักษาส่วนของตน ขโมยของคนอื่นมาบริโภค เมื่อถูกจับได้ ก็เพียงแต่สั่งสอนกันไม่ให้ทำอีก เขาก็รับคำ ต่อมาขโมยอีก ถูกจับได้ถึงครั้งที่ ๓ ก็สั่งสอนเช่นเดิมอีก แต่บางคนก็ลงโทษ ตบด้วยมือ ขว้างด้วยก้อนดิน ตีด้วยไม้ .
    เขาจึงประชุมกันปรารภว่า การลักทรัพย์ การติเตียน การพูดปด การจับท่อนไม้เกิดขึ้น ควรจะแต่งตั้งคนขึ้นให้ทำหน้าที่ติคนที่ควรติ ขับไล่คนที่ควรขับไล่ โดยพวกเราจะแบ่งส่วนข้าวสาลีให้ จึงเลือกคนที่งดงามมีศักดิ์ใหญ่แต่งตั้งเป็นหัวหน้า เพื่อปกครองคน (ติและขับไล่คนที่ทำผิด)


    คำว่า “มหาสมมต”(ผู้ที่มหาชนแต่งตั้ง) กษัตริย์(ผู้เป็นใหญ่แห่งนา) ราชา(ผู้ทำความอิ่มใจ สุขใจแก่ผู้อื่น) จึงเกิดขึ้น.
    กษัตริย์ก็เกิดขึ้นจากคนพวกนั้น มิใช่พวกอื่น จากคนเสมอกัน มิใช่คนไม่เสมอกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่เกิดขึ้นโดยอธรรม .
    ธรรมะจึงเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต.



เกิดพราหมณ์, แพศย์, ศูทร
    ยังมีคนบางกลุ่มออกบวชมุ่งลอยธรรมที่ชั่วเป็นอกุศล จึงมีนามว่า พราหมณ์ (ผู้ลอยบาป ), สร้างกุฏิหญ้าขึ้น เพ่งในกุฏินั้น จึงมีนามว่า ฌายกะ(ผู้เพ่ง) ;
    บางคนไปอยู่รอบหมู่บ้านรอบนิคม แต่งตำรา (อรรถกถาว่า แต่งพระเวทและสอนให้ผู้อื่นสวดสาธยาย)
    คนจึงกล่าวว่า ไม่เพ่ง. นามว่า อัชฌายกะ (ผู้ไม่เพ่ง) จึงเกิดขึ้น
    เดิมหมายความเลว แต่บัดนี้หมายความดี (อัชฌายกะ) ปัจจุบันนี้แปลว่า ผู้สาธยาย


    ยังมีคนบางกลุ่ม ถือการเสพเมถุนธรรม อาศัยการล่าสัตว์เลี้ยงชีวิต จึงมีชื่อว่า ศูทร(พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยตกหาย ข้อความนี้ทั้งวรรค จึงต้องแปลตามฝรั่ง
    อรรถกถาอธิบายคำว่า สุทท(ศูทร) ว่าเพี้ยนมาจากคำว่า ลุทท(นายพราน) หรือ ขุทท(งานเล็กๆน้อยๆ) เป็นเชิงว่าพวกแพศย์ คือผู้ทำงานสำคัญ แต่พวกศูทรทำงานเล็กๆน้อ ๆ ที่เข้าใจกันทั่วไป คือ ศูทรเป็นพวกคนงานหรือคนรับใช้).

   ครั้นแล้วตรัสสรุปว่า ทั้งพราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็เกิดจากคนพวกนั้น มิใช่เกิดจากคนพวกอื่น เกิดจากคนที่เสมอกัน มิใช่เกิดจากคนที่ไม่เสมอกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่เกิดขึ้นโดยอธรรม.
   (แสดงว่าการแบ่งชั้นวรรณะนั้น ในชั้นเดิมได้มาจากหลักการอื่น นอกจากการแบ่งงานหรือหน้าที่กันตามความสมัครใจ แล้วก็ไม่ใช่ว่าใครวิเศษกว่าใครมาแต่ต้น แท้จริงก็คนชั้นเดียวกันมาแต่เดิม ทั้งนี้เป็นการทำลายทิฏฐิมานะ ช่วยให้ลดการดูหมิ่นกันและกัน เป็นการปฏิเสธหลักการของพราหมณ์ ที่ว่าใครเกิดจากส่วนไหนของพระพรหม ซึ่งสูงกว่าต่ำกว่ากัน).


อ้างอิง
พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน (อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ)
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/3.2.html
ขอบคุณภาพจาก http://cdn.gotoknow.org//,http://www.bloggang.com/,http://www.komkid.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

กาลพินาศต้องเกิดกับทุกภพภูมิ
    สัตว์ที่อยู่ในสังสารวัฏ อันประกอบด้วย ๓๑ ภพภูมิ
    ตกอยู่ภายใต้ “กฏแห่งไตรลักษณ์” ทั้งสิ้นทุกภูมิจะถูกทำลายด้วย ไฟ น้ำ ลม

    ในคราวที่โลกถูกทำลายด้วยไฟ ไฟจะลุกไหม้ตั้งแต่
    อบายภูมิ มนุษยภูมิ เทวภูมิ จนถึงปฐมฌานภูมิ ๓ ถูกทำลายทั้งหมด

    คราวที่โลกถูกทำลายด้วยน้ำ น้ำจะท่วมตั้งแต่
    อบายภูมิ, มนุษยภูมิ, เทวภูมิ. ปฐมฌานภูมิ ๓, ทุติยฌานภูมิ ๓. ถูกทำลายทั้งหมด
    คราวที่โลกถูกทำลายด้วยลม ลมจะพัดทำลายตั้งแต่
    อบายภูมิ, มนุษยภูมิ, เทวภูมิ, ปฐมฌานภูมิ ๓, ทุติยฌานภูมิ ๓, ตติยฌานภูมิ ๓ จะถูกทำลายทั้งหมด

    ภูมิที่พ้นจากการถูกทำลายด้วยไฟ น้ำ ลม คือ จตุตถฌานภูมิ และ อรูปภูมิ


การนับกาลเวลาที่เรียกว่า กัปหรือกัลป์ เป็นอย่างไร
     การนับจำนวนเรื่องกาลเวลาจากคัมภีร์ต่างๆ สรุปได้เป็น ๒ วิธี คือ
     ๑. นับด้วยจำนวนสังขยา คือ นับจำนวนด้วยตัวเลข เช่น ๑,๒,๓,..... เป็นต้น
     ๒. กำหนดด้วยอุปมา คือ กำหนดด้วยเครื่องกำหนดอย่างใดอย่างหนึ่ง ในเมื่อมากเกินไปที่จะนับด้วยจำนวนตัวเลข การกำหนดในวิธีที่ ๒ นี้ เป็นที่มาของคำว่า กัป กัปมี ๔ อย่าง คือ
         ๑. อายุกัป 
         ๒. อันตรกัป
         ๓. อสงไขยกัป
         ๔. มหากัป

 

     ๑.อายุกัป หมายถึง กาลเวลาแห่งอายุขัยตามยุคตามสมัย เช่น อายุขัยของคนในยุคปัจจุบัน มีอายุขัยประมาณ ๗๕ ปี หรืออย่างเช่น ในคราวที่พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารว่าอีกสามเดือนจะเสด็จปรินิพพาน
     หลังจากที่พระอานนท์ทราบแล้ว จึงกราบทูลอาราธนาขอให้เสด็จอยู่กัปหนึ่ง เพราะได้เคยสดับพระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่เจริญอิทธิบาท ๔ ประการ ถ้าตั้งใจจะดำรงรูปกายอยู่ก็จะอยู่ได้กัปหนึ่ง หรือเหลือกว่ากัปหนึ่ง ในช่วงนั้นมนุษย์ก็มีอายุขัยประมาณร้อยปี

     ๒. อันตรกัป การนับอายุ คือ ในสมัยต้นกัปมนุษย์มีอายุขัยยืนยาวมากถึงอสงไขยปี (มากจนนับจำนวนปีไม่ได้) ต่อมาอายุขัยของมนุษย์ค่อยๆ ลดลงตามลำดับจนเหลือแค่ ๑๐ ปี เมื่อลดลงถึงสิบปีแล้วก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปอีกจนถึงอสงไขยปีอย่างเก่าอีก เป็นอย่างนี้เท่ากับ ๑ รอบ เรียกว่า อันตรกัป

     ๓. อสงไขยกัป จำนวนอันตรกัปดังที่กล่าวไว้ในข้อที่ ๒ เป็นอย่างนั้นไปอีกจนครบ ๖๔ อันตรกัป เท่ากับ ๑ อสงไขยกัป (การนับจำนวนอสงไขยกัป มีการกล่าวไว้หลายนัย บ้างก็กล่าวว่า ๒๐ อันตรกัป เป็น ๑ อสงไขยกัป บ้างก็ว่า ๘๐ อันตรกัป เป็น ๑ อสงไขยกัป)

     ๔. มหากัป มีวิธีนับคือ ๔ อสงไขยกัป = ๑ มหากัป มหากัปหนึ่งๆ มีเวลายาวนานมาก จนไม่สามารถประมาณได้ว่าเป็นเวลานานสักเท่าใด

     มีอุปมาว่า มีภูเขาหินใหญ่ยาวโยชน์หนึ่งกว้างโยชน์หนึ่ง (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร) ไม่มีช่องไม่มีโพรง เป็นก้อนหินแท่งทึบ ถึงร้อยปีหนหนึ่ง มีบุรุษใช้ผ้าทอที่แคว้นกาสี (ผ้าเนื้อดี) ร้อยปีมาลูบครึ่งหนึ่ง ภูเขาหินนั้นก็จะพึงราบเรียบไปก่อน แต่กัปยังไม่สิ้น
     อีกอุปมาหนึ่งว่า มีพื้นที่กว้างและยาวร้อยโยชน์ มีกำแพงสูงร้อยโยชน์ ภายในเต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาดแน่นขนัด มีบุรุษมาหยิบพันธุ์ผักกาดไปเมล็ดหนึ่งทุกๆ ร้อยปี กองเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นก็จะหมดไปก่อน ส่วนกัปยังไม่สิ้น กัปที่ยาวมากดั่งนี้ เรียกว่า มหากัป


ที่มา  คัดลอกจาก “บทเรียนชุดที่ ๖.๒ เรื่อง ภพภูมิ ๓๑”
หนังสืออ้างอิง
๑. ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
๒. ภูมิจตุกกะและปฏิสนธิจตุกกะ ปริจเฉทที่ ๕ เล่มที่ ๑ ; ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมมัตถสังคหฎีกา ; พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ขอบคุณภาพจาก http://www.navy.mi.th/,http://larnbuddhism.com/




กัปเสื่อมและกัปเจริญ เป็นอย่างไร
    หมายความว่า ระยะเวลาที่ โลกวินาศ คือ สลายหรือดับ
    ความวินาศของโลกมี ๓ อย่างคือ วินาศเพราะไฟ วินาศเพราะน้ำ วินาศเพราะลม

    โลกวินาศเพราะไฟ จะเกิด มหาเมฆกัปวินาศ คือ เกิดฝนตกใหญ่ทั่วโลกก่อน ครั้นฝนนั้นหยุดแล้วจะไม่มีฝนตกอีก จะเกิดความแห้งแล้งไปโดยลำดับ จะมีดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ ปรากฏขึ้น จนถึงดวงที่ ๗ จึงจะเกิดไฟประลัยกัลป์ไหม้โลกจนหมดสิ้น อากาศเบื้องบนจะเป็นอันเดียวกับอากาศเบื้องล่าง หมายความว่า เหลือแต่อากาศว่างเปล่า มีความมืดมิดทั่วไป

     ครั้นแล้ว มหาเมฆกัปสมบัติ(ก่อเกิดกัป)จะตั้งขึ้น ฝนจะตกทั่วบริเวณที่ถูกไฟไหม้ ลมจะประคองรวมน้ำฝนให้รวมกัน เป็นก้อนกลมเหมือนหยาดน้ำบนใบบัว แล้วก็แห้งขอดลงไป เป็นไปเช่นนั้นจนปรากฏโลกขึ้นใหม่ จึงถึงวาระที่เรียกว่า กัปเจริญ



สิ่งมีชีวิตสิ่งแรกบนโลก คือ “โอปปาติกะ”
    สัตว์ที่บังเกิดขึ้นเป็นพวกแรกนั้น เป็นพวกพรหมในพรหมโลกชั้นที่ไฟไหม้ขึ้นไปไม่ถึง ลงมาเกิดเป็นพวก โอปปาติกะ เกิดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องอาศัยครรภ์มารดา เกิดโตปรากฏขึ้นทีเดียว แล้วพากันบริโภคง้วนดิน(ปฐวิรส คือเมื่อน้าแห้งขอด ก็เกิดเป็นแผ่นฝ้าขึ้นในเบื้องบน มีสีงาม มีรสหอมหวาน) สะเก็ดดิน (ปฐวีปัปปฏก) เครือดิน (ปทาลตา) หมดไปโดยลำดับ
    จากนั้นจึงบริโภคธัญชาติ เช่น ข้าวสาลีสืบต่อมา สัตว์โลกจำพวกแรกเหล่านั้น จึงมีร่างกายหยาบขึ้นโดยลำดับ จนปรากฏเป็นบุรุษสตรีสร้างบ้านเรือนสืบพันธุ์กันมา ในตอนต้นมีอายุยืนยาวเป็นอสงไขย (นับปีไม่ถ้วน)


อกุศลกรรมทำให้เกิดยุค “มิคสัญญี”
   ต่อมาพากันประพฤติอกุศลกรรมด้วยอำนาจของ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มากขึ้น อายุก็ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุด มีอายุขัย ๑๐ ปี ก็จะถึงความพินาศเป็นส่วนมาก เพราะภัย ๓ อย่าง คือ ศัสตราวุธ โรค ทุพภิกขภัย คือความขาดแคลนอาหาร หรือเรียกว่าถึงสมัย มิคสัญญี แปลว่า มีความสำคัญในกันและกันว่าเหมือนอย่างเนื้อ คือ เห็นกันฆ่ากันเหมือนอย่างเนื้อถึก

กุศลกรรมนำความเจริญกลับมา
    แต่ก็ยังไม่พินาศกันหมดทั้งโลก ยังมีสัตว์ที่เหลือตายหลบหลีกไป และกลับได้ความสังเวชสลดจิต พากันประพฤติกุศลกรรมมากขึ้น ก็พากันเจริญอายุมากขึ้นด้วยอำนาจกุศลโดยลำดับจนถึงอสงไขย แล้วกลับอายุถอยลงมาด้วยอำนาจอกุศลกรรมจนถึงอายุขัย ๑๐ ปี แล้วก็กลับเจริญอายุขึ้นใหม่อีก วนขึ้นวนลงอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะถึงคราวโลกวินาศอีกครั้งหนึ่ง
 

มหากัปแบ่งเป็น ๔ กัปย่อย
     ระยะเวลาทั้งหมดจากความเสื่อมที่สุดของโลก จนถึงความเจริญสูงสุดของโลก
     เป็นวงจรหนึ่ง เราเรียกว่า มหากัป แบ่งได้เป็น ๔ กัปย่อย ดังนี้ คือ

     ๑. สังวัฏฏอสงไขยกัป แปลว่า กัปเสื่อม ตั้งแต่เกิดมหาเมฆกัปวินาศฝนตกใหญ่จนถึง ไฟประลัยกัลป์ไหม้โลกจนหมดสิ้นดับลงแล้ว
     ๒. สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป แปลว่า กัปถึงความพินาศแล้ว และความพินาศนั้นยังอยู่ ตั้งแต่ไฟไหม้โลกดับ จนถึงมหาเมฆกัปสมบัติฝนตกใหญ่ เริ่มก่อกำเนิดโลกขึ้นใหม่
     ๓. วิวัฏฏอสงไขยกัป แปลว่า กัปเจริญ คือ กัปที่กำลังเจริญขึ้นไปตามลำดับ ตั้งแต่มหาเมฆกัปสมบัติ จนถึงปรากฏดวงจันทร์ดวงอาทิตย์
     ๔. วิวัฎฏฐายีอสงไขยกัป แปลว่า กัปที่เจริญแล้ว และความเจริญนั้นยังอยู่ ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงมหาเมฆ กัปวินาศบังเกิดขึ้นอีก โลกวินาศด้วยน้ำ เกิดมหาเมฆ กัปวินาศขึ้นเช่นเดียวกันก่อน แล้วจึงเกิดมหาเมฆ ทำให้ฝนตก ฝนนั้นเป็นน้ำด่างตกลงมาเป็นน้ำประลัยกัลป์ ย่อยโลกให้วินาศไปเช่นเดียวกับไฟไหม้โลก โลกวินาศด้วยลม เกิดมหาเมฆกัปวินาศขึ้นก่อน แล้วเกิดลมกัปวินาศเป็นลมประลัยกัลป์ พัดผันโลกให้ย่อยยับเป็นจุณวิจุณไปเช่นเดียวกับไฟไหม้โลก



วงจรแห่งความวินาศของโลก
   - ความวินาศของโลก จะวินาศด้วยไฟ ๗ ครั้ง
   - แล้ววินาศด้วยน้ำ ๑ ครั้ง เป็นไปอย่างนี้ ๗ รอบ
   - พอถึงรอบที่ ๘ ก็จะถูกทำลายด้วยลม
   ที่กล่าวมาในเรื่องของเวลาแห่งชีวิตของสัตว์บุคคลทั้งหลายใน ๓๑ ภูมิ ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ มีอายุขัยแตกต่างกันไปตามภูมิ บางภูมิมีอายุขัยนานมากนับเป็น ๘๔,๐๐๐ กัป


ทุกสิ่งล้วนประกอบด้วย “กาลเวลา”
    ยังมีพระพุทธภาษิตที่แสดงเรื่องกาลเวลาไว้ว่า :-
    กาล คือ เวลาย่อมกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวเอง
    ฉะนั้นจะเกิดเป็นเทพชั้นไหนก็ต้องถูกเวลากลืนกิน คือ ต้องดับ ไม่มีที่จะสถิตอยู่เป็นนิรันดร แต่อาจจะมีอายุนานนักหนาได้โดยเทียบกับเวลาของมนุษย์นี้ ซึ่งความจริงหาใช่เร็วหรือช้าไม่ เป็นเวลาที่พอเหมาะตามกำหนดสาหรับชั้นนั้นๆ



ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ประกอบด้วย “กาลเวลา” (อกาลิโก)
    พระพุทธศาสนาได้แสดงถึงที่ซึ่งไม่มีกาลเวลาไว้ด้วยว่า คือ
    ที่ซึ่งไม่มีตัณหา(ความดิ้นรนทะยานอยาก) เปรียบไว้เหมือนลูกศรที่เสียบจิตใจ
    “ใครก็ตามอยู่ในโลกหรือภูมิไหนก็ตาม เมื่อถอนลูกศรที่เสียบใจนี้ออกเสียได้ ก็ย่อมบรรลุถึงที่ซึ่งไม่มีกาลเวลา ที่ซึ่งจะพึงบรรลุด้วยจิตใจเท่านั้น ส่วนร่างกายเป็นของโลกต้องตกอยู่ในอำนาจของเวลา”


     การระงับได้ซึ่งตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก จิตใจที่ไม่ดิ้นรน ย่อมไม่เกี่ยวกับเวลาแต่อย่างใดเลย คือไม่เกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน อนาคต อะไรทั้งสิ้น จิตที่อบรมแล้วย่อมพ้นจากอำนาจของเวลา จิตที่อบรมจนข้ามพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้แล้ว ขณะนั้นย่อมไม่มีกาลไม่มีเวลา เป็นอกาลิโก ทั้งหมดคือเรื่องราวของสังสารวัฏ หรือ ภูมิทั้ง ๓๑ ที่เวียนว่ายตายเกิดไม่มีสิ้นสุด
 
   บางภูมิก็มีแต่ทุกข์แสนสาหัส บางภูมิก็เสวยสุขอย่างเหลือล้น แต่ก็ไม่สามารถทำให้เราพ้นจากทุกข์ไปได้ หนทางเดียวที่จะพ้นไปจากทุกข์ได้ต้องทำให้พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยการเจริญวิปัสสนาขจัดขัดเกลากิเลสโดยสิ้นเชิงบรรลุพระอรหันต์ จบการเวียนว่ายตายเกิดปิดสังสารวัฏได้ 


ที่มา  คัดลอกจาก “บทเรียนชุดที่ ๖.๒ เรื่อง ภพภูมิ ๓๑”
หนังสืออ้างอิง
๑. ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
๒. ภูมิจตุกกะและปฏิสนธิจตุกกะ ปริจเฉทที่ ๕ เล่มที่ ๑ ; ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมมัตถสังคหฎีกา ; พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ขอบคุณภาพจาก http://i776.photobucket.com/,http://larnbuddhism.com/,http://talk.mthai.com/


กระทู้แนะนำ
โลกสลาย สวรรค์ล่ม พรหมพินาศ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=879.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 30, 2013, 01:43:40 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ก่อนที่พระพุทธเจ้า จะตรัสรู้ ตอนนั้นมีพระอรหันต์ อยู่ก่อนหรือไม่ คะ
  มีหลายคน ชมรมหนึ่งบอกว่า ช่วงที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้นั้น ก็มีพระอรหันต์ อยู่ก่อน

 จริงเท็จอย่างไร ขอท่านผู้รู้ช่วยชี้แจง อธิบายด้วยคะ

  thk56 thk56 thk56 ในน้ำใจ ล่วงหน้าคะ

 :25:



ans1 ans1 ans1
     
     หนููชมพู่ถามกว้างมาก ไม่ได้กำหนดช่วงเวลาเอาไว้
     คำถามที่ว่า มีอรหันต์ ก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้หรือไม่.?
     คำตอบก็คือ มีแน่นอน อย่างน้อยก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า อีกอย่างพรหมโลกชั้นสุทธาวาสก็มีอรหันต์
     เรื่องนี้ต้องอธิบายกันยาวสักหน่อย


     เบื้องต้นต้องกำหนดก่อนว่า ต้องเป็นสัมมาอรหันต์ และต้องอยู่ชมพูทวีปหรือโลกมนุษย์ของเราเท่านั้น
     โลกของเราเกิดๆดับๆมาแล้วนับไม่ถ้วน ขอให้อ่านเรื่อง "มหากัปแบ่งเป็น ๔ กัปย่อย"
     พระพุทธเจ้าจะอุบัติเฉพาะ"กัปเจริญแล้ว"เท่านั้น คือ วิวัฎฏฐายีอสงไขยกัป
     แต่ในกัปเจริญแล้วก็มีช่วงที่ว่างจากพระพุทธเจ้า เรียกว่า "พุทธันดร"
     ซึ่งจะเป็นรอยต่อระหว่างพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งกับองค์ถัดไป
     ขอให้ดูใน "จักกวัตติสูตร" ที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจบันตรัสไว้ เริ่มจากมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี จากนั้นอายุก็ลดลงเหลือแค่ ๑๐ ปี จากนั้นก็เพิ่มขึ้นไปอีกจนถึงแปดหมื่นปีอีกครั้ง ถึงตรงนี้พระศรีอริยเมตไตรย์จะอุบัติขึ้น
     เป็นที่ทราบกับว่า ยุคของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันมีอายุเพียงห้าพันปี และยุคนี้อายุของมนุษย์อยู่ในช่วงขาลง จากการประมาณของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านกล่าวไว้ว่า อีกประมาณหนึ่งล้านปี พระศรีอริยเมตไตรย์จะลงมาเกิด


     ตอนนี้ผ่านมาแล้วประมาณ ๒,๖๐๐ ปี อีกไม่ถึงสามพันปีคำสอนของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันจะสูญสิ้น
     เมื่อโลกมนุษย์ไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้า อรหันตสาวกก็จะไม่มีเช่นกัน
     ช่วงที่โลกมนุษย์ว่างจากคำสอนของพระพุทธองค์นั้น พรหมโลกในชั้นสุทธาวาสซึ่งเป็นที่อยู่ของอนาคามี ก็ยังมีอยู่ และอนาคามีทุกองค์ก็จะสำเร็จเป็นอรหันต์ในชั้นนี้ทุกองค์
     คราวที่โลกพินาศนั้น ภูมิที่พ้นจากการถูกทำลายด้วยไฟ น้ำ ลม คือ จตุตถฌานภูมิ สุทธาวาสภูมิ และอรูปภูมิ
     ดังนั้น พรหมโลกชั้นสุทธาวาส จะไม่มีการพินาศ อรหันต์จึงมีอยู่ ตามอายุขัยของท่าน


   
   ช่วงที่โลกว่างจากคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ถึงแม้จะไม่มีอรหันตสาวก
   แต่ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้นได้ ช่วงนี้เรียกว่า "พุทธันดร"
   พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็เป็นอรหันต์ประเภทหนึ่งเช่นกัน แต่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าที่ไม่มีสาวก
   เพราะท่านไม่ได้สร้างบารมีมาเพื่อสอนใคร ท่านสร้างมาเพื่อตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองเท่านั้น


   โลกมนุษย์จะว่างจากอรหันต์จริงๆ ใน สังวัฏฏอสงไขยกัป(ไม่มีโลก)
   สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป(โลกเพิ่งกำเนิด) และวิวัฏฏอสงไขยกัป (โลกกำลังเจริญ) เท่านั้น
   ส่วนพรหมโลกชั้นสุทธาวาส แม้จะมีอรหันต์ แต่ถ้าทุกองค์สิ้นอายุขัย ก็อาจว่างจากอรหันต์ได้เช่นกัน

   
    ขอคุยเท่านี้ครับ สงสัยไม่เข้าใจอะไรก็ถามได้

     :25:
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 30, 2013, 02:59:42 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ