ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ความเชื่อที่ว่า ยุคนี้ไม่มีบุคคลผู้เป็น พระสาวกภูมิ แล้ว  (อ่าน 4293 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

doremon

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 171
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คือได้สนทนา กับ ผู้ปฏิบัติในสายมหายาน ล้วนแล้วแสดงความเห้นว่า ยุคนี้ เกินกว่า 2500 ปีแล้ว ไม่ใช่ยุคสาวกภูมิแล้ว ไม่มีบุคคลใดเป็นสาวกภูมิ แล้ว เป็นยุคการสร้างบารมี เพื่อไปร่วมบรรลุธรรม กับพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ดังน้น ทางผู้ผมสนทนาด้วย จึงตอบว่่า มหายาน จึงเน้นเรื่องการบำเพ็ญบารมี มากกว่า ที่จะเพื่อการบรรลุธรรม

  สำหรับเรื่องนี้ เราชาวกรรมฐาน มีความเห็นอย่างไรต่อการภาวนา ที่บรรลุเป็น สาวกภูมิ บ้างครับหรือให้เชื่อตามพระสูตร อันมีในจักรวรรดิสูตร เลยครับ ว่าไม่มีแล้ว เป็นไปไม่ได้

 อยากฟังความคิดเห้นของทุกท่านครับ

  :c017: :49:
บันทึกการเข้า

NP2706

  • เราต้องสร้างสะพานระหว่างสมองกับหัวใจ ให้ความรู้ที่เป็นสัญญานี้ทราบซึ้งเข้าไปถึงหัวใจ
  • ศิษย์ตรง
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 96
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
การปรารถนาพุทธภูมิกับสาวกภูมิ มีหลักปฏิบัติต่างกันอย่างไร 
 
 
 
ปุจฉา
การปรารถนาพุทธภูมิ และ สาวกภูมิ มีหลักปฏิบัติอย่างไร

วิสัชนา
ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องมีการสะสมบารมีทั้ง 10 เต็มครบสมบูรณ์ต้องมีจิตเปี่ยมล้นด้วยเมตตา ต้องมีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา มีเนกขัมมะ การออกบวช มีวิริยะ ความพยายามตั้งใจจริง มีสัจจะ ตั้งจิตอธิษฐาน ประกอบด้วยขันติ มีความอดทน พร้อมด้วยปัญญา และ อุเบกขา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้สามารถปฏิบัติให้เข้าถึงพุทธภูมิได้

ในการปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติทีละอย่าง ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หรือไม่ก็ปฏิบัติทีละหลายๆ อย่าง ในการปฏิบัติแต่ละครั้ง ก็ตั้งความปรารถนาไว้ ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่เรา ขอเราจงเข้าสู่พุทธภูมิ ขอพระโพธิญาณจงมีแก่เรา ขอเราจงสำเร็จซึ่งพระโพธิญาณในอนาคตกาลต่อไป

ข้อสำคัญของ พระโพธิสัตว์ ต้องมีจิตเมตตา มีความมุ่งมั่นอยู่เสมอ และ มีความปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งหลายในโลก นี่เป็นหลักสำคัญของพระโพธิสัตว์

ในการบำเพ็ญเพียรต้องใช้เวลาหลายอสงไขยกัป เช่น พระมหากัจจายนะ เดิมทีท่านปรารถนาพุทธภูมิทุกชาติ แต่ละชาติมีชีวิตความเป็นอยู่ต่างกัน บางชาติก็เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน บางชาติก็เป็นมนุษย์ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ท่านก็ทำความเพียรเวียนไปเพื่อจะเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ถึงชาติสุดท้าย พอได้ยินได้ฟังจากปากคำพระศาสดาว่า การจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องสะสมบารมีถึง สึ่หมื่นอสงไขย กับแสนมหากัป พระมหากัจจายนะร้องโอ้โฮ นี่ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญมาถึงขนาดนี้ยังไม่พออีกหรือ ซึ่งความจริงบารมีของพระมหากัจจยนะเต็มเปี่ยมแล้ว ฝ่าเท้าท่านมีกงจักรเต็มไปหมด มีรูปกายสวยงามเหมือนกับพระพุทธเจ้า และ มีลักษณะอาการคล้ายพระพุทธเจ้า จนทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิด ยามท่านเดินไปไหน คนจะคิดว่าเป็นพระพุทธเจ้า เพราะมีรัศมีเหมือนกัน

สุดท้ายท่านเห็นว่า การจะเป็นพระพุทธเจ้านี่ ต้องรออีกไกล ถ้าสมัยนี้ ปัจจุบันนี้ เราเป็นสาวกภูมิก็ทำได้ไม่ยาก แล้วก็สามารถสำเร็จได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วย ก็เลยทำการกราบลาพระโพธิญาณ ลาพุทธภูมิ แล้วอธิษฐานตัวเองให้มีร่างกายอ้วนเตี้ย เพื่อป้องกันมิให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดว่าเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็สำเร็จเป็นองค์อรหันตเจ้า เปลี่ยนเป็นสาวกภูมิในชาตินั้น

ในการบำเพ็ญเพียรเพื่อ พุทธภูมิ นั้น จะต้องมีการตั้งจิตปรารถนาเปล่งวาจาให้สัจจะอธิษฐานเฉพาะองค์สมเด็จพระศาสดา ตั้งจิตปรารถนาเปล่งวาจาทุกครั้งที่มีการทำบุญ ทำความดี

การจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพระพุทธเจ้าเป็นแล้วยิ่งใหญ่ เป็นแล้วมีอำนาจบริสุทธิ์ สามารถนำสัตว์ทั้งหลายในโลกให้พ้นทุกข๋ได้

เพราะการเป็นพระพุทธเจ้า ก็เหมือนกับ การสร้างเรือขนาดใหญ่สำหรับขนสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นจากโอฆะสงสาร ข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง เรือลำนี้จึงต้องใช้เวลาสร้างอย่างพิถีพิถันประณีต เพื่อไม่ให้ล่มไม่ให้รั่วกลางทาง จะได้ไม่เป็นเหยื่ออาหารของสัตว์ทะเลในขณะที่ขับเรือ หรือ นำเรือล่อง เพื่อขนสัตว์ไปถีงฝั่งอมฤตนิพพาน การสร้างเรือจึงต้องใช้เวลานาน ต้องใช้ปัญญา ใช้อุปกรณ์ ใช้สิ่งของต่างๆ มากมายมหาศาล การปฏิบัติจึงต้องใช้ความเพียรอย่างสูง

ส่วนการเป็นสาวกภูมิ อย่างน้อยๆ ต้องมีศีลบริสุทธิ์ ในการปฏิบัติครั้งใด ทำความดีครั้งใด ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญ ให้ทาน บริจาคสิ่งของ วัสดุ อุปกรณ์ ทรัพย์สมบัติ หรือ การทำศีลให้มีในตัว จงทำความรู้สึกแห่งอารมณ์ใจว่า เราปรารถนาเพื่อเป็นสาวกของพระศาสดา จะปฏิบัติตามคุณธรรมที่องค์สมเด็จพระศาสดาท่านสอนไว้ทุกอย่างทุกประการ ครบถ้วน ความสำเร็จจะเริ่มเกิดขี้นตั้งแต่ปรารถนาสาวกภูมิไป จนกระทั่งความดีเต็มเปี่ยมแล้ว เพราะการตั้งจิตเพื่อจะ หวังดี เป็นความสมบูรณ์และถูกต้อง เปรียบเหมือนน้ำหยดลงตุ่ม การตั้งจิตบ่อยๆ นั้น ก็คือ การหยดน้ำลงตุ่มบ่อยๆ หยดเรื่อยๆ หยดนานๆ และหยดทุกครั้ง สุดท้ายก็เต็มตุ่ม เราก็สามารถใช้น้ำในตุ่ม ทำประโยชน์ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น การทำบุญ ก็เช่นกัน

การตั้งความปรารถนา เป็นแรงดลบันดาล เป็นผลส่งให้กระแสของจิตมีกำลังมีอำนาจ และมีความสามารถที่จะทำให้สำเร็จสัมฤทธิ์ผลได้ เป็นเสมือนตราที่สักหรือตีไว้ให้รู้ว่า คนๆ นี้แหละ คือ ผู้ปรารถนาสิ่งใด ปรารถนาพุทธภูมิ หรือ สาวกภูมิ

หากผู้ใดปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะมีอาการโดดเด่นเป็นสง่า มีความเป็นอยู่อย่างอิสระ ต่างจากคนเหล่าอื่นๆ และในบรรดาภูมิต่างๆ ภูมิที่มีอาการมีเกียรติยศ ภูมิที่เป็นใหญ่มีความประเสริฐสุด มีความโดดเด่นเป็นสง่าราศีมากที่สุด ก็คือ ภูมิแห่งพระโพธิสัตว์



ขอบคุณเว็บพลังจิต
 
 
http://variety.teenee.com/saladharm/25165.html
บันทึกการเข้า
"Only two things are infinite, the universe and human stupidity,
and I'm not sure about the former."

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28503
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ในพันปีแรก พุทธกาล - พ.ศ.1000 ยังมีพระอรหันต์ที่ทรงปฏิสัมภิทา ( คือมีฤทธิ์ เช่น เหาะได้  ตาทิพย์  หูทิพย์ เป็นต้น)             

ในพันปีที่สอง  พ.ศ.1001-2000  ผู้มีคุณธรรมสูงสุด คือ พระอรหันต์ทีเป็นสุกขวิปัสสก ( คือ ไม่ทรงปฏิสัมภิทา )
               
ในพันปีที่สาม  ตั้งแต่  พ.ศ.2001-3000 (คือในยุคนี้ ) ผู้มีคุณธรรมสูงสุด เป็นเพียงพระอนาคามีบุคคล

ในพันปีที่สี่  พ.ศ.3001-4000  ผู้มีคุณธรรมสูงสุด คือ พระสกทาคามี

ในพันปีที่ห้า พ.ศ.4001-5000  ผู้มีคุณธรรมสูงสุด คือ พระโสดาบัน


ดังนั้นเลย พ.ศ.5000  จึงไม่มีพระอริยบุคคล แม้จะมีหนังสือพระไตรปิฎกอยู่ แต่ไม่มีผู้เข้าใจ  จึงกล่าวว่า พุทธศาสนา ก็หมดสิ้นไปด้วย  แต่บนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น และ พรหมโลก  ยังมีพระอริยบุคคลอยู่ครับ


ที่มา http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?gid=1&id=2680
ขอบคุณภาพจาก http://mail.ctc.ru.ac.th/



อรรถกถา อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สันธานวรรคที่ ๑
๑. โคตมีสูตร

ก็คำว่า วสฺสสหสฺสํ นี้ ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเท่านั้น

แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น

๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก
๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระอนาคามี
๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี
๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระโสดาบัน


ปฏิเวธสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีโดยอาการดังกล่าวมานี้
แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมือนกัน.


เพราะเมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็มีไม่ได้ แม้เมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็ไม่มี ก็เมื่อปริยัติธรรมแม้อันตรธานไปแล้ว เพศ (แห่งบรรพชิต) ก็จักแปรเป็นอย่างอื่นไปแล.

               จบอรรถกถาโคตมีสูตรที่ ๑ 


อ้างอิง
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=141
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=5753&Z=5887
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?gid=1&id=2680
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28503
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
๓. มหาปรินิพพานสูตร (๑๖)


ดูกรสุภัททะ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงตั้งใจฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดี
เราจักกล่าว สุภัททปริพาชกทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔


ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ ๑
ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔

ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ ลัทธิอื่นๆว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง
ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ



อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  บรรทัดที่ ๑๘๘๘ - ๓๙๑๕.  หน้าที่  ๗๘ - ๑๕๙.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=1888&Z=3915&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=67
ขอบคุณภาพจาก www.palungdham.com/



ขอแนะนำลิงค์นี้ครับ

เพื่อน ๆ สมาชิกธรรมทุกท่าน สมัยนี้ ฆราวาส ที่เป็นพระอรหันต์ ยังมีอยู่หรือไม่ครับ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=4439.msg16402#msg16402

ครุธรรม ๘ ประการสำหรับภิกษุณี ดำรงพระสัทธรรมได้เพียง ๑,๐๐๐ ปี
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3396.msg12071#msg12071

ธาตุนิพพาน กับ การสิ้นสุดของพุทธศาสนา
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3336.msg11884#msg11884

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 11, 2011, 08:15:58 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ