"กู่เจิง" พิณจากแดนสวรรค์ (เรียบเรียงโดย ชนก สาคริก)
ที่เรียกกู่เจิงว่า "พิณสวรรค์" นั้น เพราะตามตำนานของจีนกล่าวไว้ว่า เครื่องดนตรีชนิดนี้เทพยดาเป็นผู้สร้าง
เดิมเป็นพิณขนาดใหญ่มีสาย 50 สาย เรียกว่า เส็ก มีเสียงไพเราะน่าฟังดุจเสียงจากสวรรค์
(เรื่องพิณ 50 สาย นี้มีข้อน่าสังเกตคือทางอินเดียก็มีเรื่องตำนานที่กล่าวถึง
พิณ 50 สายของเทพเจ้าอยู่เหมือนกัน เข้าใจว่าคตินี้จีนอาจได้รับมาจากอินเดียก็ได้)
ตำนานเรื่องพิณสวรรค์ของเทพยดานั้น เป็นความเชื่อของกลุ่มบุคคลที่เน้นทางคตินิยม เพราะเห็นว่า
กู่เจิงนี้ มีรูปร่างแปลกประหลาดพิสดารซับซ้อนและมีเสียงไพเราะน่าฟัง ไม่น่าจะเป็นการประดิษฐ์คิดค้น
โดยมนุษย์ธรรมดาอีกทั้งยังมีมานานแสนนานแล้วด้วย
กู่เจิงมีหลายขนาด ตั้งแต่ 12 สาย ไปจนถึง 26 สาย และมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันออกไป
ตามรสนิยมของแต่ละท้องถิ่น ยาวบ้าง สั้นบ้าง กว้างบ้าง แคบบ้าง แล้วแต่จุดประสงค์และจินตนาการ
ของช่างผู้ผลิตเครื่องดนตรี แต่สภาพโดยรวมแล้ว จะมีส่วนที่คล้ายกันคือตัวกู่เจิงมีลักษณะเป็นกล่องไม้ กลวงยาว
ผิวด้านบนมีลักษณะโค้งมีหย่องไม้หนุนรองรับสายกู่เจิงไว้ทุกสาย ตรงส่วนปลายด้านขวามือ
ของตัวกู่เจิงจะมีหมุดสำหรับปรับเทียบเสียงที่สามารถ หมุนไปมาได้ หมุดเหล่านี้บางแบบก็เป็นไม้
ใช้เสียบลงมาในแนวตั้งแต่ส่วนใหญ่จะซ่อนไว้ใน ส่วนหัวของกู่เจิงโดยมีฝาครอบปิดไว้เพื่อความสวยงาม
สายของกู่เจิงนั้นในสมัยโบราณใช้สายไหมหรือสายเอ็นเป็นส่วนใหญ่ แต่มาในยุคหลังๆนิยมใช้สายโลหะ
เช่นทองเหลือง ทองแดง หรือสายเหล็ก ปัจจุบันจะนิยมใช้สายโลหะที่ไม่ขึ้นสนิม หรือสายโลหะ
ที่ขวั้นเกลียวด้วยไนลอนโดยรอบ เพราะมีน้ำหนักดีและไม่ระคายนิ้วมือเวลาที่ดีดบรรเลง
ชาวจีนนั้นเป็นทั้งนักปรัชญาและนักประดิษฐ์ ดังนั้นช่างจีนจึงนิยมแฝงปรัชญาไว้ในสิ่งประดิษฐ์
ที่สร้างด้วยเสมอ การประดิษฐ์ตัวกู่เจิงนี้ก็เช่นกัน ช่างจีนโบราณเชื่อว่าเทพยดาเป็นต้นกำเนิด
ในการประดิษฐ์กู่เจิง และเสียงของกู่เจิงเปรียบเหมือนเสียงดนตรีจากสรวงสวรรค์ จึงออกแบบกู่เจิง
โดยแบ่งแผนภูมิของตัวกู่เจิงออกเป็น 3 ส่วน คือ
1) ส่วนที่เป็นสวรรค์
2) ส่วนที่เป็นภูมิมนุษย์
3) ส่วนที่เป็นวังบาดาล
ส่วนที่เป็นแดนสวรรค์นั้นก็คือแนวสายกู่เจิงที่เรียงรายอยู่ด้านบน
เพราะเป็นต้นกำเนิดเสียงดนตรีอันไพเราะดุจเสียงจากสวรรค์ ช่วงระหว่างสายกู่เจิง
และผิวหน้าโค้งด้านบนเป็นความเวิ้งว้างของท้องฟ้า ส่วนหย่อง (Fret) ที่เรียงราย
หนุนรองรับสายกู่เจิงนั้นมีความหมาย 2 นัยคือ หมายถึงขุนเขาบนพื้นโลกที่สูงตระหง่าน
หนุนค้ำสวรรค์ไว้ หรือ หมายถึง ฝูงวิหค เช่น ห่านป่า นกเป็ดน้ำ หรือ นกกระเรียน
ที่บินเรียงแถวเป็นแนวทะแยงอยู่บนท้องฟ้า ส่วนบริเวณผิวด้านบนที่มีลักษณะโค้งแผ่กว้างนั้น
เปรียบเหมือนมหาสมุทร ตัวกู่เจิงโดยรอบเปรียบเหมือนแผ่นดิน จึงนิยมวาดรูปป่าเขาลำเนาไพร
หรือฝูงสัตว์เอาไว้โดยรอบ ส่วนที่เป็นวังบาดาลนั้นคือผิวพื้นด้านล่างซึ่งกรุเป็นช่องไว้ 2 ช่องใหญ่ๆ
หมายถึง สระหงส์ และ วังมังกร
สระ หงส์-มังกร นี้อาจมีรูปร่างผิดแผกแตกต่างกันออกไปบ้าง เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือ
ทำเป็นช่องไว้ให้เสียงกู่เจิงก้องกังวานออก มาดีขึ้นนั่นเอง รวมความแล้วส่วนต่างๆของกู่เจิงนั้น
ล้วนมีความหมายในเชิงปรัชญาและมีคุณ ประโยชน์ในการบรรเลงทั้งสิ้น
ด้วยเหตุผลตามที่กล่าวมาเป็นการยืนยันและแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานแนวคิด
ในด้านปรัชญาเข้ากับสิ่งประดิษฐ์ของช่างจีนดังที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ในตอนต้น
ชาวจีนถือว่าโลกนั้นประกอบไปด้วยธาตุที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน 5 ชนิด คือ
1) ธาตุดิน เป็นธาตุที่หนักแน่นมั่นคง เป็นแม่ธาตุของสรรพสิ่งทั้งปวง
เป็นผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกรวมทั้งสัตว์และมนุษย์
ธาตุดินยังหมายรวมไปถึงหินทุกชนิดด้วยดังนั้นธาตุดินจึงเป็นแหล่งกำเนิดของ สิ่งที่มีรูปธรรม
ในขณะที่ฟ้ากลับว่างเปล่าไร้รูปธรรม
2) ธาตุทอง เป็นธาตุที่มีประกายสดใสแวววาว และ มีคุณค่า
เมื่อโลกก่อกำเนิดใหม่ๆนั้นนอกจากดินและหินแล้วยังมีแร่ธาตุโลหะอีกมากมาย
หลายร้อยหลายพันชนิดปะปนอยู่ในดินด้วย แร่โลหะเหล่านี้มีคุณสมบัติแตกต่างจากดินและหิน
จึงถือว่าเป็นธาตุอีกชนิด หนึ่งและเนื่องจากทองคำเป็นโลหะที่ได้รับการยกย่องทั่วไปว่าเป็นธาตุที่มีคุณค่า
เหนือกว่าธาตุโลหะอื่นจึงเรียกธาตุที่สองนี้ว่าธาตุทอง
3) ธาตุน้ำ เป็นธาตุที่เยือกเย็น และมีความเลื่อนไหลพริ้วพรายไร้รูปทรงที่แน่นอน
เมื่อโลกมีพื้นดินและมีแร่ธาตุโลหะอุดมสมบูรณ์แล้วจึงบังเกิดธาตุน้ำขึ้น หล่อเลี้ยงพื้นดินให้ชุ่มฉ่ำ
ถือกำเนิดแม่น้ำลำคลองรวมทั้งทะเลและมหาสมุทร อันจะเป็นแหล่งที่ให้กำเนิดชีวิตต่อไป
4) ธาตุไฟ (พลังงาน) เป็นธาตุที่ร้อนแรง เจิดจ้า และไหวระริกอยู่เป็นนิจ
เมื่อมีดิน มีแร่ธาตุ มี น้ำแล้ว ได้บังเกิดธาตุไฟคือพลังงานขึ้น ธาตุไฟเป็นธาตุร้อนซึ่งเปล่งประกายเจิดจ้า
เปลวไฟ มักสั่นไหวและบันดาลให้เกิดแสงสว่าง นอกจากนั้นยังเป็นธาตุสำคัญที่กระตุ้นให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตด้วย
5) ธาตุไม้ ธาตุไม้นั้นเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เมื่อมีดิน แร่ธาตุ น้ำ และไฟ ครบแล้ว
สิ่งมีชีวิตจึงก่อกำเนิดขึ้นมาได้ ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตนั้นย่อมสามารถเคลื่อนไหวได้
ธาตุไม้จึงเป็น ธาตุแห่งการเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวา และ ร่าเริง
ลองเอา พิณบรรเลง (กู่เจิง) ไปฟังดูนะค่ะ