ปิลินทวัจฉเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระปิลินทวัจฉเถระ
(พระปิลินทวัจฉเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
{๓๙๓}[๑] ข้าพเจ้าเป็นคนเฝ้าประตูอยู่ที่กรุงหงสวดี
ได้รวบรวมโภคสมบัติเก็บไว้ในเรือนมากมายนับไม่ถ้วน
[๒] ครั้งนั้น ข้าพเจ้านั่งอยู่ในสถานที่สงัด
ทำใจให้ร่าเริง นั่งอยู่ในปราสาทที่ประเสริฐ
ได้คิดอย่างนี้ว่า
[๓] โภคสมบัติของเรามีมาก
ภายในบุรีของเราก็มั่งคั่ง
แม้พระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
พระนามว่าอานนท์ ก็ทรงเชื้อเชิญเรา
[๔] พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ เป็นพระมุนี
เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
และโภคสมบัติของเราก็มีอยู่
เราจักถวายทานแด่พระศาสดา
[๕] พระโอรสของพระราชาพระนามว่าปทุมะ
ทรงถวายทานอย่างประเสริฐ
คือช้างเชือกประเสริฐ บัลลังก์และพนักพิง
ประมาณไม่น้อย ในพระชินเจ้า
[๖] แม้เราก็จักถวายทาน
ทานอย่างประเสริฐที่ยังไม่เคยมีใครถวาย
เราจักเป็น (ผู้ถวาย) คนแรก
[๗] ข้าพเจ้าคิดถึงทานหลายอย่าง
ที่มีผลเป็นสุขในเพราะการบูชา
ก็ได้เห็นการถวายบริขาร
เป็นเหตุทำความคิดของข้าพเจ้าให้เต็มได้
[๘] ข้าพเจ้าจักถวายบริขาร
ในพระสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุด
การถวายบริขารที่คนเหล่าอื่นยังไม่เคยถวาย
ข้าพเจ้าจักเป็นคนแรก
(การถึงพร้อมแห่งทานวัตถุ)
[๙] ขณะนั้น ข้าพเจ้าเข้าไปหาช่างจักสาน จ้างให้ทำร่ม
รวบรวมร่มได้ ๑๐๐,๐๐๐ คัน
[๑๐] รวบรวมผ้าได้ ๑๐๐,๐๐๐ ผืน
รวบรวมบาตรได้ ๑๐๐,๐๐๐ ใบ
[๑๑] จ้างช่างให้ทำมีดโกน มีดเล็ก เข็ม และมีดตัดเล็บ
ที่สมควร(แก่สมณบริโภค) แล้วให้วางไว้ภายใต้ร่ม
[๑๒] จ้างช่างให้ทำพัดใบตาล พัดขนปีกนกยูง แส้จามร
ผ้ากรองน้ำ ภาชนะน้ำมัน ให้สมควร (แก่สมณบริโภค)
[๑๓] จ้างช่างให้ทำกล่องเข็ม ผ้าอังสะ
ประคตเอว และเชิงรองบาตร ซึ่งทำอย่างสวยงาม
ให้สมควร(แก่สมณบริโภค)
[๑๔] ให้บรรจุเภสัชจนเต็มภาชนะสำหรับใส่ของบริโภค
[๑๕] ให้บรรจุว่านน้ำ หญ้าคา ชะเอม ดีปลี พริก ผลสมอ
และขิงสด จนเต็มภาชนะทุกอย่าง
[๑๖] จ้างช่างให้ทำรองเท้า เขียงเท้า
ผ้าสำหรับเช็ดน้ำ และไม้เท้าคนแก่
อย่างสวยงาม ให้สมควร(แก่สมณบริโภค)
[๑๗] จ้างช่างให้ทำยารักษาไข้ ยาหยอดตา
ไม้ป้ายยาตา กระบอกกรองน้ำ
ลูกกุญแจ และกล่องลูกกุญแจ ซึ่งเย็บด้วยด้าย ๕ สี
[๑๘] สายโยค กระบอกเป่าควันไฟ ตะเกียงตั้ง
คนโทน้ำและผอบ ให้สมควร(แก่สมณบริโภค)
[๑๙] จ้างช่างให้ทำแหนบ กรรไกร
วัตถุขัดสนิมและถุงสำหรับใส่เภสัช
ให้สมควร(แก่สมณบริโภค)
[๒๐] จ้างช่างให้ทำเก้าอี้นอน ตั่งและบัลลังก์ ๔ เท้า
ให้สมควร(แก่สมณบริโภค)แล้วให้ตั้งไว้ภายใต้ร่ม
[๒๑] จ้างช่างให้ทำฟูกยัดด้วยขนสัตว์ ฟูกยัดด้วยนุ่น
ฟูกตั่งและหมอนทำอย่างดี
ให้สมควร(แก่สมณบริโภค)
[๒๒] จ้างช่างให้ทำจุรณสำหรับอาบ
ขี้ผึ้ง น้ำมันที่หุงด้วยมือ
และเตียงที่ปูด้วยแผ่นกระดานเล็ก ๆ
อันสะอาดพร้อมด้วยเครื่องลาด
[๒๓] เสนาสนะ ผ้าเช็ดเท้า ที่นอน
ที่นั่ง ไม้เท้า ไม้ชำระฟัน
[๒๔] ไม้สีไฟ ตั่งแผ่นกระดาน ฝาบาตร ถุงบาตร
กระบวยตักน้ำ เครื่องอบ (สีผงย้อมผ้า) รางย้อมผ้า
[๒๕] ไม้กวาด ผ้าอาบน้ำ ผ้าอาบน้ำฝน
ผ้านิสีทนะ ผ้าปิดฝี ผ้าอันตรวาสก (ผ้านุ่ง)
[๒๖] ผ้าอุตราสงค์(ผ้าห่ม) ผ้าสังฆาฏิ(ผ้าพาดบ่า)
ยานัตถุ์ น้ำบ้วนปาก น้ำส้ม
น้ำปลา น้ำผึ้ง นมส้ม น้ำปานะ
[๒๗] ขี้ผึ้ง ผ้าเก่า ผ้าเช็ดปาก ด้าย
สิ่งใดชื่อว่าเป็นของควรให้ทานมีอยู่
และสมควรแก่พระศาสดา
[๒๘] ข้าพเจ้ารวบรวมสิ่งนั้นทั้งหมดได้แล้ว
จึงเข้าเฝ้าพระเจ้าอานนท์
ครั้นเข้าเฝ้าพระราชาผู้นำหมู่ชน ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้าแล้วได้กราบทูลคำนี้ว่า
(การขอโอกาสถวายทาน)
[๒๙] เราทั้ง ๒ เจริญเติบโตมาด้วยกัน มียศร่วมกัน
ร่วมสุข ร่วมทุกข์ และประพฤติคล้อยตามกัน
[๓๐] ขอเดชะพระองค์ผู้ปราบข้าศึก
ทุกข์ใจที่เกี่ยวเนื่องกับพระองค์ยังมีอยู่
ขอเดชะพระองค์ผู้ขัตติยราช ถ้าพระองค์สามารถ
ก็ขอได้ทรงพระกรุณาบรรเทาทุกข์นั้นด้วยเถิด
[๓๑] พระราชาตรัสว่า
ทุกข์ของท่านก็เป็นทุกข์ของข้าพเจ้าด้วย
เราทั้ง ๒ มีใจตรงกัน
[๓๒] ขอเดชะพระมหาราช
ขอจงทรงทราบทุกข์ของข้าพระพุทธเจ้า ซึ่งบรรเทาได้ยาก
พระองค์บันลือมากไป
ทรัพย์นี้ พระองค์ยังสละได้ยาก
[๓๓] คือสิ่งที่มีอยู่ในแว่นแคว้นประมาณเท่าใด
ชีวิตของข้าพระพุทธเจ้าประมาณเท่าใด
ถ้าพระองค์ต้องการสิ่งเหล่านี้
ข้าพระพุทธเจ้าก็จักให้อย่างไม่หวั่นไหว
[๓๔] ขอเดชะ พระองค์ทรงบันลือแล้ว
การบันลือมากนั้นผิด
ข้าพระพุทธเจ้าจักทราบพระองค์
วันนี้ ว่าทรงดำรงอยู่ในธรรมทั้งปวง
[๓๕] ท่านบีบคั้นหนักนัก
เมื่อข้าพเจ้าจะให้
ท่านจะได้ประโยชน์อะไรจากการที่ข้าพเจ้าถูกบีบคั้น
ท่านปรารถนาสิ่งใดจงบอกแก่ข้าพเจ้า
[๓๖] ขอเดชะพระมหาราช
ข้าพระพุทธเจ้าปรารถนาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐยิ่ง
ข้าพระพุทธเจ้าจักนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสวย
ชีวิตของข้าพระพุทธเจ้าอย่าเป็นโทษเลย
[๓๗] ข้าพเจ้าจะให้พรอย่างอื่นแก่ท่าน
ท่านอย่าขอพระตถาคตเลย
พระพุทธเจ้าไม่มีใครจะให้แก่ใคร ๆ ได้
เปรียบเหมือนแก้วมณีโชติรส
[๓๘] ขอเดชะ พระองค์ทรงบันลือแล้วมิใช่หรือว่า กระทั่งชีวิตที่มีอยู่
เมื่อพระองค์ประทานชีวิตได้
[๓๙] พระพุทธชินมหาวีรเจ้าควรงดไว้
ไม่พึงให้แก่ใคร ๆ ได้
เรารับปากให้ไม่ได้
ท่านจงเลือกเอาทรัพย์จนนับไม่ถ้วนเถิด
[๔๐] ข้าพระพุทธเจ้าจะต้องถึงการวินิจฉัย
พวกเราจักถามผู้วินิจฉัย
ผู้วินิจฉัยจักตัดสินละเอียดฉันใด
พวกเราจักสอบถามข้อนั้นฉันนั้น
[๔๑] ข้าพเจ้าจับพระหัตถ์พระราชา
พากันไปยังสถานที่วินิจฉัย
ได้กล่าวคำนี้ต่อหน้าผู้พิพากษาทั้งหลายว่า
[๔๒] ขอผู้พิพากษาจงฟังข้าพเจ้า
พระราชาได้พระราชทานพรแก่ข้าพเจ้า
พระองค์ไม่ยกเว้นอะไร ๆ ยอมให้ได้แม้กระทั่งชีวิต
[๔๓] เมื่อพระองค์พระราชทานพรแก่ข้าพเจ้าแล้ว
ข้าพเจ้าจึงขอพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
พระพุทธเจ้าเป็นอันพระราชาพระราชทาน
แก่ข้าพเจ้าดีแล้วมิใช่หรือ
ท่านทั้งหลายจงตัดความสงสัยของข้าพเจ้าด้วยเถิด
[๔๔] (ผู้พิพากษาทั้งหลายกล่าวว่า)
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
จะฟังคำของท่านและพระดำรัสของพระราชา
ผู้ปกครองแผ่นดิน
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายฟังคำของทั้ง ๒ ฝ่ายแล้ว
[๔๕] ขอเดชะ พระองค์พระราชทานทุกสิ่ง
ท่านผู้นี้ถือเอาทุกสิ่งแล้วหรือ พระเจ้าข้า
พระองค์ไม่ยกเว้นอะไร ๆ ยอมให้ได้แม้กระทั่งชีวิตหรือ
[๔๖] (พระราชาตรัสว่า)
เราได้รับความลำบาก
แสนสาหัสนักจนตลอดชีวิต
รู้ว่าผู้นี้ได้รับความทุกข์อย่างหนัก
จึงได้ให้สิ่งของที่ควรถือเอาไว้ทุกอย่าง
[๔๗] ขอเดชะ พระองค์ทรงเป็นผู้พ่ายแพ้
ควรจะพระราชทานพระตถาคตให้เขาไป
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายตัดความสงสัยของทั้ง ๒ ฝ่ายได้แล้ว
ขอท่านทั้ง ๒ จงตั้งอยู่ในคำมั่นสัญญาเถิด
[๔๘] พระราชาประทับอยู่ ณ ที่นั้นแล
ได้ตรัสกับผู้พิพากษาดังนี้ว่า
ท่านทั้งหลายพึงให้แก่เราโดยชอบบ้าง
เราจะได้พระพุทธเจ้าอีก
[๔๙] (ผู้พิพากษาได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า)
ท่านทำความดำริของท่านให้บริบูรณ์
นิมนต์พระตถาคตให้เสวยแล้ว
พึงถวายคืนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้แก่พระเจ้าอานนท์ผู้ทรงยศอีก
(กถาว่าด้วยการทูลนิมนต์)
[๕๐] ข้าพเจ้าไหว้ผู้พิพากษาและถวายบังคม
พระเจ้าอานนท์จอมกษัตริย์แล้ว
มีความยินดีปราโมทย์
[๕๑] ครั้นเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ข้ามโอฆกิเลสได้แล้ว ไม่มีอาสวะ
ถวายอภิวาทด้วยเศียรเกล้าแล้ว
ได้กราบทูลดังนี้ว่า
[๕๒] ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ
ขอพระองค์พร้อมด้วยพระอรหันต์ ๑๐๐,๐๐๐ รูป โปรดรับนิมนต์
พระองค์เมื่อจะทำจิตของข้าพระองค์ให้ร่าเริง
ขอจงเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของข้าพระองค์เถิด
[๕๓] พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา
ผู้มีพระจักษุ ทรงรู้ความดำริของข้าพเจ้า
จึงทรงรับนิมนต์(ด้วยดุษณีภาพ)
[๕๔] ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ทรงรับนิมนต์แล้ว
จึงถวายอภิวาทพระศาสดา
มีจิตร่าเริงเบิกบาน
เข้าไปยังนิเวศน์ของตน
(การตระเตรียมทาน)
[๕๕] ข้าพเจ้าประชุมมิตรและอำมาตย์แล้ว
ได้กล่าวคำนี้ว่า เราได้สิ่งที่ได้แสนยากแล้ว
เปรียบเหมือนได้แก้วมณีโชติรส
[๕๖] เราจักบูชาพระองค์ด้วยอะไร
พระชินเจ้ามีคุณหาประมาณมิได้
หาใครเปรียบมิได้ ไม่มีใครเทียบเท่า
ไม่มีใครเสมอ เป็นนักปราชญ์
[๕๗] หาผู้เสมอเหมือนเช่นนั้นมิได้
ไม่เป็นที่ ๒ (รองใคร) ทรงองอาจกว่านรชน
อธิการ๑ที่สมควรแก่พระพุทธเจ้า เราทำได้โดยยาก
[๕๘] ขอพวกเราจงช่วยกันรวบรวมดอกไม้ต่าง ๆ
มาทำมณฑปดอกไม้เถิด
นี้ย่อมสมควรแก่พระพุทธเจ้า
ถือเป็นการบูชาด้วยสิ่งทั้งปวง
[๕๙] ข้าพเจ้าใช้ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง ดอกมะลิ
ดอกลำดวน ดอกจำปา ดอกกากะทิง ทำให้เป็นมณฑป
[๖๐] ปูลาดอาสนะ ๑๐๐,๐๐๐ ไว้ใต้เงาร่ม
อาสนะของข้าพเจ้าอยู่สุดท้าย มีค่าเกินร้อย
[๖๑] ปูลาดอาสนะ ๑๐๐,๐๐๐ ไว้ใต้เงาร่ม
จัดแจงข้าวและน้ำเสร็จแล้วให้คนไปกราบทูลภัตกาล
(เวลาอันสมควรเพื่อฉันภัตตาหาร)
[๖๒] เมื่อคนไปกราบทูลภัตกาลแล้ว
พระมหามุนีพระนามว่าปทุมุตตระ
พร้อมด้วยพระอรหันต์ ๑๐๐,๐๐๐ องค์
ได้เสด็จเข้ามายังนิเวศน์ของข้าพเจ้า
[๖๓] ร่มกั้นอยู่เบื้องบน ในมณฑปดอกไม้ที่บานสะพรั่ง
พระพุทธเจ้าผู้เป็นบุรุษผู้สูงสุด
ประทับนั่งพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๑๐๐,๐๐๐ องค์
[๖๔] (ข้าพเจ้ากราบทูลว่า) ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ
ขอพระองค์โปรดทรงรับร่ม ๑๐๐,๐๐๐ คัน
และอาสนะ ๑๐๐,๐๐๐ ที่
อันสมควรและไม่มีโทษเถิด
[๖๕] พระมหามุนีทรงพระนามว่าปทุมุตตระ
ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา
พระองค์ประสงค์จะช่วยเหลือข้าพเจ้า
ให้ข้ามพ้น(สงสารวัฏ) จึงทรงรับไว้
(ทานกถา)
[๖๖] ข้าพเจ้าได้ถวายบาตรแก่ภิกษุรูปละหนึ่งใบ
ภิกษุทั้งหลายสละบาตรที่ตนใช้สอยแล้ว ใช้บาตรเหล็ก
[๖๗] พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่
ในมณฑปดอกไม้ตลอด ๗ วัน ๗ คืน
เมื่อจะทรงให้สัตว์จำนวนมากตรัสรู้
จึงทรงประกาศพระธรรมจักร
[๖๘] เมื่อทรงประกาศพระธรรมจักรภายใต้มณฑปดอกไม้
เทวดาและมนุษย์ ๘๔,๐๐๐ ได้บรรลุธรรม
[๖๙] เมื่อถึงวันที่ ๗ พระมหามุนีพระนามว่าปทุมุตตระ
ประทับนั่งอยู่ภายในใต้เงาร่ม
ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
(พยากรณ์)
[๗๐] เราจักพยากรณ์มาณพผู้ที่ได้ถวายทานอย่างประเสริฐ
ไม่บกพร่องแก่เรา
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด
[๗๑] กองทัพ ๔ เหล่า คือ พลช้าง พลม้า พลรถ
และพลเดินเท้าจักห้อมล้อมมาณพนั้นเป็นนิตย์
[๗๒] ยานพาหนะคือช้าง
ยานพาหนะคือม้า คานหาม และวอ
จักบำรุงเขาเป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งทานทั้งปวง
[๗๓] รถ ๖,๐๐๐ คันประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง
จักแวดล้อมเขาเป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งทานทั้งปวง
[๗๔] เครื่องดนตรี ๖,๐๐๐ ชิ้น
กลองที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
จักขับกล่อมเขาเป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งทานทั้งปวง
[๗๕] สาวรุ่น ๘๖,๐๐๐ นาง
ผู้ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
สวมใส่ผ้าอาภรณ์อย่างงดงาม ห้อยตุ้มหูแก้วมณี
[๗๖] มีตากลมโต มีปกติร่าเริง รูปงาม เอวเล็กเอวบาง
จักห้อมล้อมเขาเป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งทานทั้งปวง
[๗๗] เขาจักรื่นรมย์ในเทวโลก ๓,๐๐๐ กัป
จักเป็นจอมเทพครองเทวสมบัติ ๑,๐๐๐ ชาติ
[๗๘] และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑,๐๐๐ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน
[๗๙] เมื่อเขาอยู่ในเทวโลก
พรั่งพร้อมด้วยบุญกรรม
[๘๐] เขาจักปรารถนาเมื่อใด
หลังคาผ้าและดอกไม้(ดังจะ)รู้ความคิดของเขา
จักกั้นอยู่เนืองนิตย์เมื่อนั้น
[๘๑] เขาถูกกุศลมูลตักเตือนจุติจากเทวโลก
แล้วประกอบด้วยบุญกรรม
จักเป็นบุตรของพราหมณ์
[๘๒] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๘๓] พระผู้มีพระภาคผู้โคดมศากยะผู้ประเสริฐ
ทร