เราท่านทุกคนอาจจะคุ้นเคยในคำว่าไตรสิกขาอันได้แก่ ศีล,สมาธิ,ปัญญา เราท่านจึงเข้าใจกันไปว่า ตนต้องรู้สำรวมก่อนเป็นบาทแรก จากนั้นจึงก้าวไปสู่วิถีแห่งการตั้งมั่น ปัญญาคือตัวรู้จึงจักปรากฏเป็นไปเอง ความเข้าใจนี้เป็นเรื่องของตำรา แต่เมื่อนำมาปฏิบัติจริงๆไฉนปัญญา(สัมมาทิฏฐิ)มาก่อน ศีล(สัทธา)ตามมาได้เอง ที่สุดสมาธิ(สัมมาวายาโม/สัมมาสติ)รวมหยั่งข่มวางได้เป็นสิ่งที่เหลือไว้ให้กระทำ ครูอาจารย์หลากหลายแหล่งธรรมจึงเน้นย้ำสมาธิกันนักหนา แต่ดูเสมือนว่ายุคปัจจุบันนี้ผู้คนนั้นห่างเรื่องสมาธิกันมากเรียกว่าไม่เอากันเลย ปัญญา/ปรัชญา กันจนกระทั่งปฏิเสธมรรคผลอรหันต์นิพพานใครกล่าวอ้างเป็นเพ้อเจ้อเอาผิดชนิดห้าม ทำร้ายทำลายวิถีแห่งการก้าวล่วงพ้นเป็นไม่มี อย่างนี้คือการทำพระศาสนาให้มัวหมองคงสถานะไว้เพียงเครื่องมือแห่งการแสวงหาผลประโยชน์ แก่นแท้ปริยัติแก่นธรรมปฏิบัติวันนี้พินิจให้ดีแล้วต่างกัน ณ วันนี้อยู่ที่ทุกท่านจะปฏิบัติหรือปฏิเสธ อย่านำเอาขั้วค่ายสายใครมามัดมือมัดเท้าตัวเอง ไม่มีมือพายเอาเท้าราน้ำ ที่สุดคว่ำจมน้ำตายกันให้เหลือเพียงความทุเรศคงไม่น่าดู