ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ที่ว่า "พุทธศาสนามีอายุ ๕,๐๐๐ ปี" นั้น...มาจากไหน.? ใครเป็นคนกล่าว.?  (อ่าน 11646 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ที่ว่า "พุทธศาสนามีอายุ ๕,๐๐๐ ปี" นั้น...มาจากไหน.? ใครเป็นคนกล่าว.?

พุทธศาสนาอยู่ได้ห้าพันปีจริงหรือ.?
Posted on พฤษภาคม 30, 2012

พุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งธรรมดาของสรรพสิ่ง คือ เมื่อมีเกิดขึ้น มีการตั้งอยู่ และมีการเสื่อมไป ช่วงเวลาที่คำสอนอันมีค่าที่เป็นทางไปแห่งความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงเหล่านี้ก็จะไม่อยู่ตลอดไปบ้างก็กล่าวว่า พุทธศาสนาอยู่ได้ห้าพันปี หลังจากพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว

เรื่องนี้มีที่มาจาก อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สัมปสาทนียสูตร ที่กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

    “แต่วงศ์ของสมณะผู้นุ่งผ้าขาว ไม่สามารถจะดำรงศาสนาไว้ได้ ตั้งแต่กาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ
    1. ศาสนาดำรงอยู่ได้ตลอดพันปีด้วยภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทา
    2. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้ทรงอภิญญา ๖
    3. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้ทรงวิชชา ๓
    4. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้เป็นสุกขวิปัสสกะ
    5. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยเหล่าภิกษุผู้ทรงปาฏิโมกข์
    ก็ศาสนาย่อมมีอันทรุดลงตั้งแต่การแทงตลอดสัจจะของภิกษุรูปหลังๆ และแต่การทำลายศีลของภิกษุรูปหลังๆ”


จะเห็นได้ว่านี่ กรณีที่เชื่อกันว่า พุทธศาสนาอยู่ได้ 5,000 ปีนี่ มีหลักฐานว่าเป็นเหตุการณ์ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า



ส่วนในศาสนาของพระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้าใน พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ ภิกขุนิกขันธก วรรณนา กล่าวว่า อธิบายเรื่องที่พระพุทธเจ้าบัญญัติครุธรรม 8 ประการให้พระนางปชาบดีโคตมี ก่อนบวชภิกษุณีว่า ถ้าไม่บัญญัติครุธรรม 8 ประการ ศาสนาอยู่ได้ 500 ปีแทนที่จะอยู่ได้ 1,000 ปี  ซึ่งตรงจุดนี้อรรถถาอธิบายว่า 1,000 ปีแบ่งเป็นช่วงๆ ดังนี้

    “แต่คำว่า พันปี นั้น
      - พระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น.
      - แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ,
      - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี,
      - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี,
      - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจพระโสดาบัน,
    รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปี ด้วยประการฉะนี้”



แต่ในอรรถกถาทั้งสองนี้ เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของพระอาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์อรรถกถาเท่านั้น (ซึ่งคัมภีร์เหล่านี้เกิดในช่วง 1,000 ปีแรกหลักพุทธปรินิพพาน) ซึ่งไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เพราะพระธรรมก็เป็นสิ่งที่ไม่จำกัดกาลเวลา (อกาลิโก) ดังที่สวดกันในบทสวดสรรเสริญคุณของพระธรรม และนอกจากนี้พระพุทธเจ้าตรัสโดยไม่ได้ระบุเวลา ดังในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า

    “ในธรรมวินัย (ศาสนา) ใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น
    ไม่มีสมณะที่ ๑ (พระโสดาบัน)
     สมณะที่ ๒ (พระสกทาคามี)
     สมณะที่ ๓ (พระอนาคามี)
     หรือสมณะที่ ๔ (พระอรหันต์)
     ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น
     มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔
     ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วย องค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔  ลัทธิอื่นๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ


     ซึ่งไม่ได้ระบุช่วงระยะเวลาแน่ชัดว่าจะเป็นเมื่อไหร่ ขอเพียงแค่ภิกษุอยู่โดยชอบโลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ซึ่งคำว่า อยู่โดยชอบ (สมฺมา วิหเรยฺยุํ) ในอรรถถามหาปรินิพพานสูตรนั้นกล่าวว่า
     หมายถึงการที่ พระผู้เริ่มวิปัสสนา เพื่อโสดาปัตติมรรค/สกทาคามิมรรค/อนาคามิมรรค/อรหัตตมรรค กำหนดกัมมัฏฐานที่ตนคล่องแคล่ว กระทำแม้ผู้อื่นให้เป็นผู้เริ่มวิปัสสนาเพื่อโสดาปัตติมรรค/สกทาคามิมรรค/อนาคามิมรรค/อรหัตตมรรค นี่เรียกว่าอยู่โดยชอบ
     หรือการที่พระโสดาบัน/พระสกทาคามี/พระอนาคามี/พระอรหันต์ บอกฐานะที่ตนบรรลุแก่ผู้อื่น ทำผู้อื่นนั้นให้เป็นพระโสดาบัน/พระสกทาคามี/พระอนาคามี/พระอรหันต์ ชื่อว่าอยู่โดยชอบ



นั่นคือ สรุปได้ว่า ข้อความในอรรถกถาน่าจะเป็นแค่การบอกกล่าวคร่าวๆเฉยๆว่า ในช่วงพันปีที่ 1,2,3,4,5 นั้น ส่วนมากพยายามได้เต็มที่แล้วจะได้ผลเช่นไร เช่นในช่วง 4,000 – 5,000 ปี แทบจะไม่มีพระอรหันต์ (แต่ใช่ว่าจะไม่มี เพราะถ้าภิกษุยังอยู่โดยชอบ โลกก็ยังมีพระอรหันต์อยู่ตามที่พระพุทธเจ้าบอก)

เมื่อพิจารณาจากข้อความใน อรรถกถาสัมปสาทนียสูตร  ข้างต้นจะพบว่า ศาสนาเริ่มเสื่อมแล้วตั้งแต่ มีการทำลายศีลของภิกษุรูปหลังๆ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พระภิกษุจะต้องรักษาศีลของพระให้บริสุทธิ์ มิฉะนั้นแล้วจะทำให้ศาสนายิ่งเสื่อมเร็วขึ้น

แต่ที่ระบุว่า ศาสนาปัจจุบันอายุ 5,000 ปีนับจากพระโคดมพุทธเจ้า เท่าที่เห็นคือปรากฏในคัมภีร์ชั้นหลังๆ คือ  คัมภีร์อนาคตวงศ์

    สรุป
      - ศาสนาพุทธ ไม่จำเป็นต้องอยู่ 5,000 ปี อาจจะนานกว่านั้นหรือสั้นกว่านั้นก็ได้ขึ้นอยู่กับว่า ภิกษุยังอยู่โดยชอบหรือเปล่า
      - พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสไว้ในที่ใดเลยว่า ศาสนาของท่านจะมีอายุเท่านั้นเท่านี่ปี
        แต่พระที่แต่งคำอธิบายพระไตรปิฎกเป็นผู้คาดการณ์ว่าศาสนาจะมีอายุ 5,000 ปี
      - ศาสนาพุทธจะเริ่มเสื่อมลงเรื่อยๆ เมื่อมีการทำลายศีลของภิกษุ



อ้างอิง
http://www.thammapedia.com/dhamma/attha_thai.php
http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=21875
ที่มา drronenv.wordpress.com/2012/05/30/พุทธศาสนาอยู่ได้ห้าพัน/
ขอบคุณภาพจาก http://www.trueplookpanya.com/,http://ookbeeasia.s3.amazonaws.com/,http://www.skn.ac.th/,http://www.jk-pra.com/


ต้องการอ่านรายละเอียดในพระสูตร/พระวินัย/อรรถกถาหรือคัมภีร์ เชิญคลิกได้เลย
     อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สัมปสาทนียสูตร
     พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ ภิกขุนิกขันธก วรรณนา
     มหาปรินิพพานสูตร
     อรรถกถามหาปรินิพพานสูตร
     อรรถกถาสัมปสาทนียสูตร
     คัมภีร์อนาคตวงศ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 13, 2013, 10:45:40 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรง ธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑ คฤหบดีแก้ว ๑ ปริณายกแก้วเป็น ที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรมมิต้องใช้อาชญา มิต้อง ใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ฯ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี
   พระผู้มีพระภาคทรง พระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เอง 
โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี

ควรจะอ่านในพระสูตรนี้ ซึ่งไม่ใช่ อรรถกถา

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=11&A=1189&Z=1702

Aeva Debug: 0.0004 seconds.Aeva Debug: 0.0005 seconds.Aeva Debug: 0.0004 seconds.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 21, 2012, 08:49:03 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

จินตนา

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 77
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อย่างนี้ก็อีก นานเลยสิคะ กว่าจะมีพระพุทธเจ้า อุบัติ หนูนึกว่า อีก 6000 ปีข้างหน้า พระศรีอริยะเมตตรัย จึงมาอุบัติ อย่างนี้ก็เข้าใจผิดเลยสิคะ กว่ามนุษย์จะมีอายุยืน 80000 ปี จะเป็นล้านปีเลยหรือไม่คะ

  :'( :c017:
บันทึกการเข้า
ซื่อสัตย์ กตัญญู มีคุณธรรม

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ผมขอนำเนื้อความในพระสูตร/พระวินัย/อรรถกถาและคัมภีร์ต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับอายุของศาสนาพุทธ หรือพระสัทธรรมเลือนหาย มาแสดงบางส่วน

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒
พรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่นาน


    [๕๑๘] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม ๘ ประการแล้ว พระมาตุจฉาของพระผู้มีพระภาค อุปสมบทแล้ว

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นานสัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอดพันปี
    ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว บัดนี้ พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง ๕๐๐ ปีเท่านั้น


    ดูกรอานนท์ สตรีได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด ธรรมวินัยนั้นเป็นพรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่ได้นาน เปรียบเหมือนตระกูลเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีหญิงมาก มีชายน้อย ตระกูลเหล่านั้นถูกพวกโจรผู้ลักทรัพย์กำจัดได้ง่าย อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนหนอนขยอกที่ลงในนาข้าวสาลีที่สมบูรณ์ นาข้าวสาลีนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนเพลี้ยที่ลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน

    ดูกรอานนท์ บุรุษกั้นทำนบแห่งสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้น้ำไหลไป แม้ฉันใด เราบัญญัติครุธรรม ๘
ประการแก่ภิกษุณี เพื่อไม่ให้ภิกษุณีละเมิดตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ


    ครุธรรม ๘ ประการของภิกษุณี จบ


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=7&A=6253&Z=6271&pagebreak=0



อรรถกถา ภิกขุนิกขันธก วรรณนา [ว่าด้วยครุธรรม ๘]
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 499


    ก็แล ด้วยคำว่า มหโต ตฬากสฺส ปฏิกจฺเจว ปาลึ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเนื้อความนี้ว่า เมื่อชอบแห่งสระใหญ่แม้ไม่ได้ก่อแล้ว น้ำน้อยหนึ่งพึงขังอยู่ได้, แต่เมื่อได้ก่อขอบไว้เสียก่อนแล้ว น้ำใดไม่พึงขังอยู่ เพราะเหตุที่มิได้ก่อขอบไว้, น้ำแม้นั้นพึงขังอยู่ได้ เมื่อได้ก่อขอบแล้ว ข้อนี้ฉันใด;

     ครุธรรมเหล่านี้ใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรีบบัญญัติเสียก่อน เพื่อกันความละเมิด ในเมื่อยังไม่เกิดเรื่อง, เมื่อครุธรรมเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้มิได้ทรงบัญญัติ พระสัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ห้าร้อยปี เพราะเหตุที่มาตุคามบวช, แต่เพราะเหตุที่ทรงบัญญัติครุธรรมเหล่านั้นไว้ก่อน พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ได้อีกห้าร้อยปี ข้อนี้ ก็ฉันนั้นแล จึงรวมความว่า พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดพันปีที่ตรัสทีแรกนั่นเอง ด้วยประการฉะนี้.

   
     - แต่คำว่า พันปี นั้น พระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพ ผู้ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น. แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง
     - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ,
     - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามี,
     - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี,
     - จักตั้งอยู่สิ้นพันปี ด้วยอำนาจพระโสดาบัน,

     รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรมจักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปี ด้วยประการฉะนี้.

     ฝ่ายพระปริยัติธรรม จักตั้งอยู่เช่นนั้นเหมือนกัน.
     เมื่อปริยัติไม่มีปฏิเวธจะมีไม่ได้เลย เมื่อปริยัติมี ปฏิเวธจะไม่มี ก็ไม่ได้.
     แต่เมื่อปริยัติ แม้เสื่อมสูญไปแล้ว เพศจะเป็นไปตลอดกาลนานฉะนี้แล.


ที่มา http://www.thepalicanon.com/91book/book09/451_500.htm



อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
สัมปสาทนียสูตร

     
      ได้ยินว่า ระหว่างกาลของพระกัสสปะพุทธเจ้า หนึ่งไม่สามารถจะดำรงศาสนาไว้ได้.
      ก็เมื่อปิฎกทั้งสองถึงจะอันตรธานไป เมื่อวินัยปิฎกดำรงอยู่ ศาสนาก็ดำรงอยู่ได้.
      เมื่อบริวารขันธกะอันตรธานไป เมื่ออุภโตวิภังค์ยังดำรงอยู่ ศาสนาก็เป็นอันตั้งอยู่ได้แท้.
      เมื่ออุภโตวิภังค์อันตรธานไป แม้เมื่อมาติกายังดำรงอยู่ ศาสนาก็เป็นอันตั้งอยู่ได้แท้
.

     เมื่อมาติกาอันตรธานไป เมื่อปาฏิโมกข์ บรรพชาและอุปสมบท ยังดำรงอยู่ศาสนาก็ย่อมดำรงอยู่ได้.
     เพศยังเป็นไปอยู่ได้นาน. แต่วงศ์ของสมณะผู้นุ่งผ้าขาว ไม่สามารถจะดำรงศาสนาไว้ได้

     ตั้งแต่กาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ.
     ศาสนาดำรงอยู่ได้ตลอดพันปีด้วยภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทา.
     ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้ทรงอภิญญา ๖.
     ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้ทรงวิชชา ๓.
     ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้เป็นสุกขวิปัสสกะ.
     ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยเหล่าภิกษุผู้ทรงปาฏิโมกข์.


    ก็ศาสนาย่อมมีอันทรุดลง ตั้งแต่การแทงตลอดสัจจะของภิกษุรูปหลังๆ
    และแต่การทำลายศีลของภิกษุรูปหลังๆ.

    จำเดิมแต่นั้นไป การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ท่านมิได้ห้ามไว้.


อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=11&A=2130&Z=2536
ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11.0&i=73&p=2
ขอบคุณภาพจาก http://www.watisan.com/,http://www.pralanna.com/,http://www.bloggang.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 13, 2019, 05:59:48 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เรื่องนี้มีที่มาจาก อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สัมปสาทนียสูตร ที่กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

    “แต่วงศ์ของสมณะผู้นุ่งผ้าขาว ไม่สามารถจะดำรงศาสนาไว้ได้ ตั้งแต่กาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ
    1. ศาสนาดำรงอยู่ได้ตลอดพันปีด้วยภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทา
    2. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้ทรงอภิญญา ๖
    3. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้ทรงวิชชา ๓
    4.ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยภิกษุผู้เป็นสุกขวิปัสสกะ
    5. ดำรงอยู่ได้พันปีด้วยเหล่าภิกษุผู้ทรงปาฏิโมกข์
    ก็ศาสนาย่อมมีอันทรุดลงตั้งแต่การแทงตลอดสัจจะของภิกษุรูปหลังๆ และแต่การทำลายศีลของภิกษุรูปหลังๆ”


แต่ในอรรถกถานี้ เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของพระอาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์อรรถกถาเท่านั้น (ซึ่งคัมภีร์เหล่านี้เกิดในช่วง 1,000 ปีแรกหลังพุทธปรินิพพาน) ซึ่งไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เพราะพระธรรมก็เป็นสิ่งที่ไม่จำกัดกาลเวลา (อกาลิโก) ดังที่สวดกันในบทสวดสรรเสริญคุณของพระธรรม และนอกจากนี้พระพุทธเจ้าตรัสโดยไม่ได้ระบุเวลา ดังในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า

    “ในธรรมวินัย (ศาสนา) ใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น
     ไม่มีสมณะที่ ๑ (พระโสดาบัน)
     สมณะที่ ๒ (พระสกทาคามี)
     สมณะที่ ๓ (พระอนาคามี)
     หรือสมณะที่ ๔ (พระอรหันต์)
     ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น
     มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔
     ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วย องค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔  ลัทธิอื่นๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ


    สรุป
      - ศาสนาพุทธ ไม่จำเป็นต้องอยู่ 5,000 ปี อาจจะนานกว่านั้นหรือสั้นกว่านั้นก็ได้ขึ้นอยู่กับว่า ภิกษุยังอยู่โดยชอบหรือเปล่า
      - พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสไว้ในที่ใดเลยว่า ศาสนาของท่านจะมีอายุเท่านั้นเท่านี่ปี
        แต่พระที่แต่งคำอธิบายพระไตรปิฎกเป็นผู้คาดการณ์ว่าศาสนาจะมีอายุ 5,000 ปี
      - ศาสนาพุทธจะเริ่มเสื่อมลงเรื่อยๆ เมื่อมีการทำลายศีลของภิกษุ


อนุศาสน์ศานติอริยอัษฎางค์

     ศานติ์ศาสน์ฤาจักถ้วน         ห้าพัน
กวีอรรถคลาดเพ้อผัน              ด่างพร้อย
ศีลสงฆ์สืบศาสน์สันต์             นี้เที่ยง นาพ่อ
สรรพบทอื่นอ้างคล้อย          ประเสริฐแคล้วอริยอัษฎางค์.


                                                      ธรรมธวัช.!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 21, 2012, 05:09:25 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค
ทักขิณาวิภังคสูตร
๑๒. อรรถกถาทักขิณาวิภังคสูตร 


    จริงอยู่ ทักขิไณยบุคคลที่ยอดเยี่ยมกว่าพระศาสดาไม่มี ตามพระบาลีว่า เพราะฉะนั้น ท่านอย่าถืออย่างนั้น ทักขิไณยบุคคลที่ถึงความเป็นผู้เลิศแห่งอาหุไนยบุคคลทั้งหลาย ผู้ต้องการบุญแสวงผลไพบูลย์ที่ประเสริฐที่สุด เช่นกับพระพุทธเจ้าไม่มีในโลกนี้ หรือในโลกอื่น.

      พระเจตนา ๖ ประการของพระนางมหาปชาบดีโคตมีนั้นรวมเข้ากันแล้ว จักมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ตลอดกาลนานอย่างนี้.
     ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายแก่สงฆ์ ทรงมุ่งหมายอะไร. ตรัสอย่างนั้น เพื่อชนรุ่นหลังและเพื่อทรงให้เกิดความยำเกรงในสงฆ์ด้วย.

     นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า เราไม่ดำรงอยู่นาน แต่ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ในพระภิกษุสงฆ์ ชนรุ่นหลังจงยังความยำเกรงในสงฆ์ให้เกิดขึ้น ดังนี้ จึงทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายสงฆ์.
     ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดาจึงทรงให้ถวายผ้าใหม่คู่หนึ่งแม้ที่พระนางจะถวายแด่พระองค์ให้แก่สงฆ์ ทักขิไณยบุคคลชื่อว่าสงฆ์


     เพราะฉะนั้น ชนรุ่นหลังยังความยำเกรงให้เกิดขึ้นในสงฆ์ จักสำคัญปัจจัยสี่เป็นสิ่งพึงถวาย สงฆ์เมื่อไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ จักเรียนพระพุทธวจนะทำสมณธรรม เมื่อเป็นอย่างนั้น ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ดังนี้.


อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=9161&Z=9310
ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=706&p=1




พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
โคตมีสูตร


    ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงยอมรับครุธรรม ๘ ประการไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต ฯ

     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ หากมาตุคามจักไม่ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็ยังจะตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี แต่เพราะมาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้งอยู่นาน ทั้งสัทธรรมก็จักดำรงอยู่เพียง ๕๐๐ ปี

     ดูกรอานนท์ ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ที่มีหญิงมาก ชายน้อย ตระกูลนั้นถูกพวกโจรกำจัดได้ง่าย แม้ฉันใด มาตุคามได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้นจักไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน

     อนึ่ง ขยอกลงในนาข้าวที่สมบูรณ์ นาข้าวนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน
     แม้ฉันใด เพลี้ยลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน
     แม้ฉันใด มาตุคามได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้น ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน

     อนึ่ง บุรุษกั้นคันสระใหญ่ไว้ก่อนเพื่อไม่ให้น้ำไหลออก แม้ฉันใด เราบัญญัติ ครุธรรม ๘ ประการ ไม่ให้ภิกษุณีก้าวล่วงตลอดชีวิตเสียก่อน ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=5753&Z=5887&pagebreak=0



อรรถกถา อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สันธานวรรคที่ ๑
๑. โคตมีสูตร


     ก็ด้วยบทว่า มหโต ตฬากสฺส ปฏิกจฺเจว ปาลี นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความนี้ไว้ว่า เหมือนอย่างว่า เมื่อเขาไม่พูนคันกั้นสระใหญ่ น้ำสักหน่อยหนึ่งก็ไม่ขังอยู่เลย แต่เมื่อเขาปิดไว้ครั้งแรกนั่นแหละ น้ำใดที่ไม่ขังอยู่ เพราะไม่ปิดกั้นเป็นปัจจัย น้ำแม้นั้นก็พึงขังอยู่ได้ฉันใด.

     ครุธรรมเหล่านี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราบัญญัติเสียก่อนเพื่อประโยชน์จะไม่ให้นางภิกษุณีจงใจล่วงละเมิดในเมื่อเรื่องยังไม่เกิดขึ้น เพราะเมื่อเราไม่บัญญัติครุธรรมเหล่านั้น เพราะมาตุคามบวช พระสัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๕๐๐ ปี แต่ครุธรรมที่เราบัญญัติไว้เสียก่อน พระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้อีก ๕๐๐ ปี รวมความว่าพระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้เพียง ๑,๐๐๐ ปี ซึ่งได้ตรัสไว้ก่อนดังกล่าวมาฉะนี้.

     ก็คำว่า วสฺสสหสฺสํ นี้
     ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น
     ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก
     ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระอนาคามี
     ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี
     ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระโสดาบัน

     ปฏิเวธสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีโดยอาการดังกล่าวมานี้
     แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมือนกัน.

     เพราะเมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็มีไม่ได้ แม้เมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็ไม่มี ก็เมื่อปริยัติธรรมแม้อันตรธานไปแล้ว เพศ (แห่งบรรพชิต) ก็จักแปรเป็นอย่างอื่นไปแล.


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=141
ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammajak.net/,https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/,http://www.kammatan.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 

อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
พรหมชาลสูตร


    นี้เป็นกิจในปัจฉิมยาม.
     ก็วันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังกิจก่อนอาหารให้สำเร็จในกรุงราชคฤห์แล้ว ถึงเวลาหลังอาหารเสด็จดำเนินมายังหนทาง ตรัสบอกกรรมฐานแก่ภิกษุทั้งหลายในเวลาปฐมยาม ทรงแก้ปัญหาแก่เทวดาทั้งหลายในมัชฌิมยาม เสด็จขึ้นสู่ที่จงกรม ทรงจงกรมอยู่ในปัจฉิมยาม ทรงได้ยินภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปสนทนาพาดพิงถึงพระสัพพัญญุตญาณนี้ ด้วยพระสัพพัญญุตญาณนั่นแล ได้ทรงทราบแล้ว.


    ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวว่า เมื่อทรงกระทำกิจในปัจฉิมยาม ได้ทรงทราบแล้ว.
    ก็และครั้นทรงทราบแล้ว ได้มีพระพุทธดำริดังนี้ว่า ภิกษุเหล่านี้กล่าวคุณพาดพิงถึงสัพพัญญุตญาณของเรา ก็กิจแห่งสัพพัญญุตญาณไม่ปรากฏแก่ภิกษุเหล่านี้ ปรากฏแก่เราเท่านั้น เมื่อเราไปแล้ว ภิกษุเหล่านี้ก็จักบอกการสนทนาของตนตลอดกาล.

    แต่นั้น เราจักทำการสนทนาของภิกษุเหล่านั้นให้เป็นต้นเหตุ แล้วจำแนกศีล ๓ อย่าง
    บันลือสีหนาทอันใครๆ คัดค้านไม่ได้ ในฐานะ ๖๒ ประการ ประชุมปัจจยาการกระทำพุทธคุณให้ปรากฏ
    จักแสดงพรหมชาลสูตร อันจะยังหมื่นโลกธาตุให้หวั่นไหว ให้จบลงด้วยยอด คือ พระอรหัต
    ปานประหนึ่งยกภูเขาสิเนรุราชขึ้น และดุจฟาดท้องฟ้าด้วยยอดสุวรรณกูฏ
    เทศนานั้นแม้เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ก็จักยังอมตมหานฤพานให้สำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายตลอดห้าพันปี
    ครั้นมีพระพุทธดำริอย่างนี้แล้ว ได้เสด็จเข้าไปยังศาลามณฑลที่ภิกษุเหล่านั้นนั่งอยู่ ด้วยประการฉะนี้.


อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=09&A=1&Z=1071
ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=2



อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สุญญตวรรค
มหาสุญญตสูตร
๒. อรรถกถามหาสุญญตาสูตร 

   
      แต่นั้นทรงดำริว่า เราบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ ถึง ๔ อสงไขยแสนกัป ก็เพื่อกำจัดการอยู่รวมเป็นคณะ
      แต่ภิกษุเหล่านี้ นับจำเดิมแต่นี้ไป ภิกษุเหล่านี้ย่อมเกาะกลุ่มยินดีในหมู่ กระทำกรรมไม่สมควรเลย.


      พระองค์ทรงเกิดธรรมสังเวช เพราะภิกษุทั้งหลายเป็นเหตุ ทรงดำริว่า ถ้าเราจักบัญญัติสิกขาบทว่า
      ภิกษุสองรูปไม่พึงอยู่ในที่เดียวกัน แต่ไม่สามารถจะบัญญัติได้ เอาละ เราจะแสดงพระสูตรชื่อมหาสุญญตาปฏิบัติ ซึ่งจักเป็นเหมือนการบัญญัติสิกขาบทสำหรับกุลบุตรผู้ใคร่ต่อการศึกษา และเหมือนกระจกสำหรับส่องหมู่สัตว์ทุกหมู่เหล่าที่วางไว้ ณ ประตูเมือง แต่นั้นกษัตริย์เป็นต้นเห็นโทษของตนในกระจกบานหนึ่ง ละโทษนั้นย่อมเป็นผู้หาโทษมิได้ฉันใด

      แม้เมื่อเราปรินิพพานแล้วล่วงไปถึง ๕,๐๐๐ ปี กุลบุตรทั้งหลายย่อมระลึกถึงพระสูตรนี้
      จักบรรเทาความเป็นหมู่ ยินดีในเอกีภาพ จักกระทำที่สุดแห่งวัฏฏทุกข์ได้.
      กุลบุตรทั้งหลายระลึกถึงพระสูตรนี้แล้ว บรรเทาความเป็นหมู่ยังทุกข์ในวัฏฏะให้สิ้นไป แล้วปรินิพพานนับไม่ถ้วน เหมือนยังมโนรถของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้บริบูรณ์.


อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=4846&Z=5089
ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=343
ขอบคุณภาพจาก http://www.luangphor.org/,http://i294.photobucket.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ก้านตอง

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 195
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
นัยยะ สำคัญน่าจะอยู่ที่ พระอาจารย์ บอกไว้ว่า มนุษย์มีอายุยืนถึง 80000 ปี นะคะ ถึงจะพบพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป แค่คิดนี่ก็คือ วิวัฒนาการลง เหลือ 10 ปี แล้ว วิวัฒนาการจาก 10 ปี เป็น 80000 ปี คิดว่าโดยตรรกะ ไม่ใช่แค่รอจนไม่รู้จะรออย่างไร หมายถึงว่า ถ้าเราไม่รับพระธรรมในพระพุทธเจ้าองค์นี้ เราคงต้องเวียนว่ายตายเกิด กัน อีก เป็น แสน กัปป์ คิดแล้วคิดอีก ก็เห็นว่า โห ..... แค่ชาติ นี้ ฉันก็ไม่อยากจะมีชีิวิตแล้ว ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด รับเรื่องนั้น ทำเรื่องนี้ รักคนนั้น จากคนนี้  โห ..... และ ก็ โห..... อะไรมันจะขนาดนี้ นะคะ

   :c017: :25:
บันทึกการเข้า