พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่มที่ ๓๕ -หน้าที่๘๕ - ๘๗
๘. อริยวังสสูตร
(ว่าด้วยอริยวงศ์ ๔ ประการ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยวงศ์ ๔ ประการนี้ ปรากฏว่าเป็นธรรม
อันเลิศ ยั่งยืน เป็นแบบแผนมาแต่เก่าก่อน ไม่ถูกทอดทิ้งแล้ว ไม่เคย
ถูกทอดทิ้งเลย (ในอดีตกาล) ไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ (ในปัจจุบันกาล) จักไม่ถูก
ทอดทิ้ง (ในอนาคตกาล) สมณพราหมณ์ทั้งหลายที่เป็นผู้รู้ไม่คัดค้านแล้ว
อริยวงศ์ ๔ ประการ คืออะไรบ้าง? คือ
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สันโดษ ด้วยจีวร ตามมีตามได้ และ
เป็นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ ไม่ทำอเนสนา (การแสวง
หาไม่สมควร) เพราะจีวรเป็นเหตุ ไม่ได้จีวรก็ไม่ทุรนทุราย ได้จีวรแล้วก็ไม่
ติดใจสยบพัวพัน เห็นส่วนที่เป็นโทษ เป็นผู้มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดออก
บริโภค(จีวรนั้น) อนึ่ง ไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่น เพราะความสันโดษด้วยจีวรตามมี
ตามได้นั้น ก็ภิกษุใด เป็นผู้ฉลาด ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติมั่นในความ
สันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้นั้น ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้สถิตอยู่ในอริยวงศ์
อันปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศมาแต่เก่าก่อน
อีกข้อหนึ่ง ภิกษุ เป็นผู้สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ และ
เป็นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ ไม่ทำอเนสนา (การ
แสวงหาไม่สมควร) เพราะบิณฑบาตเป็นเหตุ ไม่ได้บิณฑบาตก็ไม่ทุรนทุราย
ได้บิณฑบาตแล้ว ก็ไม่ติดใจสยบพัวพัน เห็นส่วนที่เป็นโทษ เป็นผู้มีปัญญา
เป็นเครื่องสลัดออก บริโภค (บิณฑบาตนั้น) อนึ่ง ไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่น
เพราะความสันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้นั้น ก็ภิกษุใด เป็นผู้ฉลาด
ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติมั่นในความสันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตาม
ได้นั้น ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้สถิตอยู่ในอริยวงศ์ อันปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศมา
แต่เก่าก่อน
อีกข้อหนึ่ง ภิกษุ เป็นผู้สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้ และ
เป็นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้ ไม่ทำอเนสนา (การ
แสวงหาไม่สมควร) เพราะเสนาสนะเป็นเหตุ ไม่ได้เสนาสนะก็ไม่ทุรนทุราย
ได้เสนาสนะแล้วก็ไม่ติดใจสยบพัวพัน เห็นส่วนที่เป็นโทษ เป็นผู้มีปัญญาเป็น
เครื่องสลัดออก บริโภค (เสนาสนะนั้น ) อนึ่ง ไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่น เพราะความ
สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้นั้น ก็ภิกษุใด เป็นผู้ฉลาด ไม่เกียจคร้าน
สัมปชัญญะ มีสติมั่นในความสันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้นั้น ภิกษุนี้
เราเรียกว่า ผู้สถิตอยู่ในอริยวงศ์ อันปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศมาแต่เก่าก่อน
อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีภาวนา (การบำเพ็ญกุศล) เป็นที่ยินดี
ยินดีแล้วในภาวนา เป็นผู้มีปหานะ (การละอกุศล) เป็นที่ยินดี ยินดีแล้ว
ในปหานะ อนึ่ง ไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่นเพราะความเป็นผู้มีภาวนาเป็นที่ยินดี
เพราะความยินดีในภาวนา เพราะความเป็นผู้มีปหานะเป็นที่ยินดี เพราะความ
ยินดีในปหานะนั้น ก็ภิกษุใดเป็นผู้ฉลาด ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติมั่น
ในความยินดีในภาวนาและปหานะนั้น ภิกษุนี้ เราเรียกว่าผู้สถิตอยู่ในอริยวงศ์
อันปรากฏว่าเป็นธรรมเลิศมาแต่เก่าก่อน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล อริยวงศ์ ๔ ประการ ที่ปรากฏว่าเป็นธรรม
เลิศยั่งยืน เป็นแบบแผนมาแต่เก่าก่อน ไม่ถูกทอดทิ้งแล้ว ไม่เคยถูกทอดทิ้ง
เลย (ในอดีตกาล) ไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ (ในปัจจุบันกาล) จักไม่ถูกทอดทิ้ง
(ในอนาคตกาล) สมณพราหมณ์ทั้งหลายที่เป็นผู้รู้ไม่คัดค้านแล้ว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล ภิกษุ ผู้ประกอบพร้อมด้วยอริยวงศ์ ๔
ประการนี้ แม้หากอยู่ในทิศตะวันออก ...ทิศตะวันตก ...ทิศเหนือ ...ทิศใต้
เธอย่อมย่ำยีความไม่ยินดีเสียได้ ความไม่ยินดีหาย่ำยีเธอได้ไม่ ที่เป็นเช่น
นั้น เพราะเหตุอะไร? เพราะเหตุว่า ภิกษุผู้มีปัญญา ย่อมเป็นผู้ข่มได้
ทั้งความไม่ยินดี ทั้งความยินดี.
พระคาถา
ความไม่ยินดี หาย่ำยีภิกษุผู้มีปัญญา
ได้ไม่ ความไม่ยินดี หาครอบงำภิกษุผู้มี
ปัญญาได้ไม่ แต่ภิกษุผู้มีปัญญาย่ำยีความ
ไม่ยินดีได้ เพราะภิกษุผู้มีปัญญาเป็นผู้ข่ม
ความไม่ยินดีได้
ใคร จะมาขัดขวางภิกษุผู้ละกรรม
ทั้งปวง ผู้ถ่ายถอน (กิเลส) แล้วไว้ (มิให้
บรรลุวิมุตติ) ได้ ใครจะควรติภิกษุ (ผู้
บริสุทธิ์) ดุจแท่งทองชมพูนุทนั้นเล่า
แม้เหล่าเทวดา ก็ย่อมชม ถึงพรหม
ก็สรรเสริญ.
จบอริยวังสสูตรที่ ๘.