ครั้งพระบรมศาสดาเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว เสวยวิมุตติสุขอยู่ ทรงปรารภธรรมที่ยากแก่หมู่สัตว์มีอยู่ว่า จักหาสัตว์อื่นที่จักขวนขวายได้เยื่องพระองค์นั้นคงไม่มี ท้าวสหัมบดีพรหมทราบความนั้น จึงทูลอาราธนาเชิญโปรดแก่เหล่าสัตว์ที่มีธุลีนัยน์ตาน้อยทั้งหลาย ตปุสสะ,ภัลลิกะ สองพี่น้องพ่อค้าคาราวานกองเกวียนแลเห็นพระพุทธองค์ก่อนใครอื่น ที่สุดขวนขวายถึงซึ่งสรณะสองก็เท่านั้น ทั้งที่พระไตรรัตนะยังมิได้เกิดมีครบองค์ใดใด ครั้นทรงรับคำอาราธนาทูลเชิญของสหัมบดีพรหม ก็ทรงดำเนินพระบาทสู่แคว้นกาสี พานให้ทรงพบเข้ากับอุปกาชีวกที่เสมือนจะเข้าใจแต่เฉยเมยเลี่ยงจากกันไป ถึงกระนั้นพระองค์ทรงมีพุทธประสงค์จำนงต่ออาราฬดาบส,อุทกดาบส ว่าจักเป็นผู้ทรงภูมิ(ญาณ)รู้ตามให้เป็นพยานสักขี แต่ก็สูญเปล่าไม่มีตัวตน(ตาย) ที่สุดก็ทรงระลึกนึกถึงในลำดับบุคคลถัดๆไป ซึ่งก็คือ ปัญจะวัคคีย์
ที่ผมกล่าวเยื่องอย่างนี้ก็ด้วยหมายเฉียดถึง พุทธวงษ์ ที่จักธำรงในประจักษ์พยานแห่งการก้าวล่วงพ้นนั้น มี,เป็น,ได้ จริง ศาสน์คำสอนมิได้ธำรงอยู่ด้วยสัญลักษณ์ แต่ธำรงอยู่ได้ด้วยผู้สืบวงษ์ ธำรงพระกรรมฐาน แม้วันนี้ครูอาจารย์ท่านจะยังคงเพียรรอและขอให้มีเพียงหนึ่ง ก็จักได้ชื่อว่าพุทธวงษ์ไม่อันตรธานถ้วนได้ 5,000 ครับ!