- หากคุณมีแฟนแล้ว มีเพศสัมพันธ์กันแล้ว คุณก็รักแฟนคุณ แล้วคุณรับได้ไหมที่แฟนคุณจะไปมีอะไรกับเพื่อนคุณ
- คุณย่อมต้องเศร้าหมองใจเป็นที่สุด ขุ่มวมัวขัดเคืองใจ กระวนกระวายใจ หวั่นกลัว คุณชอบสภาพนั้นไหม แล้วยอมให้แฟนคุณไปมีอะไรกับคนอื่นได้ไหม
- หากคุณรับไม่ได้ ทนไม่ได้ ก็อย่าไปทำอย่างนั้นกับคนอื่น หากทางปฏิบัติเมื่อมีเพศสัมพันธ์กันด้วยความสมยอมยินดีทั้ง 2 ฝ่าย(ซึ่งไม่ใช่การค้าประเวณี) อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว
- แล้วขณะที่ชายคนนั้นนอกใจแฟนเขาแล้วมีเจตนาที่จะเสพย์คุณเพิ่มเติมอีก โดยที่แฟนเขาไม่รู้หรือไม่ยอมรับ ขณะนั้นเขาก็ลงสูความผิดในศีลแล้ว เมื่อคุณสมยอมเล่นด้วย คุณก็เท่ากับผิดศีลด้วยแล้ว
- การไม่ผิดศีลและเป็นเพียงอกุศลจิตนั้นคือ คุณแค่คิดแอบชอบแฟนเพื่อนโดยที่แฟนเพื่อไม่ได้เล่นด้วยกับคุณคุณแค่ชอบเขาโดยไม่ได้กระทำทางกาย วาจา อย่างนี้ศีลไม่ขาด แต่เป็นอกุศลธรรมที่จะเกิดแก่คุณ แต่ในกรณีของคุณนี้มันผิดศีลไปแล้ว
- ในขณะที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น คุณได้น้อมรับเจตนาที่สามีแฟนคุณจะจุดไฟเผาเรือนตัวเองแล้ว โดยมีคุณร่วมวางเพลิงด้วย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ ความไท่ทีกุศล ความร้อนรุ่ม ร้อนรนใจ โศรกเศร้าร่ำไรรำพัน อึดอัด อัดอั้น คับแึค้นทรมานกายใจอย่างที่คุณเป็นอยู่ในตอนนี้
- มองในมุมกลับกัน ผู้ชายคนนั้นทำกับคนที่เขาจะแต่งงานด้วยได้ แล้วเพียงแค่ส่วนเกินอย่างคุณเขาจะเอาไปทิ้งไว้ไหน วันนึงแม้คุณสมหวังกับเขาคุณก็จะเจ็บหนักจากอกุศลของคุณและผู้ชายคนนั้นได้ก่อไว้ อยู่ด้วยกันก็มีแอต่ความร้อนรุ่มใจ ไม่เป็นสุข
- การถอยและยอมปล่อยวาง ไม่ใช่ผู้แพ้ แต่กลับเป็นผู้ที่ประเสริฐและยิ่งใหญ่ สิ่งที่คุณรู้สึกกับชายคนนั้น เพียงแค่อยากได้ อยากครอบครอง อยากมีเซ็กซ์ด้วย ซึ่งมันเป็นไปใน กาม ราคะ อันเป็นเหตุให้ยังลงสู้ความทุกข์ทรมานไม่รู้จบ- คุณสามารถที่จะเจริญในกุศลจิตแล้วเป้นคนที่มีเมตตาเอื้อเฟื้อที่อบอุ่นและเชื่อถือได้ โดยคุณเจริญพิจารณาตามนี้นะครับ
1. ระลึก หวนระลึกถึง ถึงความจำ ความทรงจำใดๆสิ่งที่ดีงามที่ได้คิดได้ทำมา และ ควรจะทำในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเป็นการ คิด พูด ทำ ที่ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ไม่เป็นการจองเวร พยาบาทผู้อื่น ไม่เป็นการกระทำทางกาย-วาจา-ใจโดยความติดใจเพลิดเพลินยินดีใคร่ตามที่จะเสพย์ ไม่หมองมัวใจ ไม่เศร้าหมองใจ ตรึกถึง ตรองถึง คำนึงถึงในความดีของเขาทั้ง 2 คน และ สิ่งที่ควรที่ดีงามที่ชายคนนั้นและเพื่อคุณควรเป็นควรได้รับ เมื่อทำอย่างนี้แล้วจิตคุณก็จะมีแต่ความผ่องใส เบิกบาน สงบรำงับจาก กาม ราคะ โมหะ พยาบาท มีความสุขยินดี ไม่ติดใจเพิลดเพลินใคร่ตามในสิ่งไรๆ
2. เมื่อจิตใจผ่องใส เบิกบาน สงบดีแล้ว ให้พิจารณาว่า สิ่งนี้ๆไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราเคยยืมเขามาเสพย์ให้แช่มชื่นใจได้ซักระยะหนึ่งแล้ว ถึงเวลาที่ต้องคืนเขาไป ให้เขาอยู่มนที่ๆเขาควรอยู่ ที่ๆเขาควรเป็น ที่ๆเขาควรได้เพราะเขาไม่ใช่ของเรา ไม่มีสิ่งใดที่เเป็นของเรา เรายืมมาใช้ชั่วคราวเท่านั้น ควรแล้วที่จะให้เขาทั้ง 2 คนได้รับและได้อยู่ในที่ๆดีๆ ที่เป็นสุขแก่เขาทั้ง 2 คน
3. เมื่อคุณระลึกพิจารณาปฏิบัติตามในข้อที่ 1-2 แล้วจิตใจคุณจะเกิดขันติจิต คือ ความละไว้ ปล่อยไว้ อดโทษไว้ เกิดเป็นความความเอื้ออนุเคราะห์แบ่งปันความสุขที่ดีงามนั้นแก่เขา เกิดเป็นการสละให้ที่ประเสริฐอันเรียกว่า อภัยทาน คือ มีการสละให้อันประเสริฐที่ทำให้ชีวิตเขาได้มีอิสระสุขไม่ผูกมัดให้คับแค้นใจ เป็นการสละให้ชีวิตอันเป็นสุขแก่เขาทั้ง 2 เป็นการให้สิ่งที่ดีงามอันประกอบไปด้วยประโยชน์สุขในชีวิตแก่เขา
4. เมื่อคุณเจริญจิตตามข้อที่ 1-3 แล้ว จิตคุณย่อมมีความยินดีอันประกอบไปด้วยกุศลที่เห็นเขาได้เป็นสุขหลุดพ้นจากทุกข์ที่เป็นอกุศลธรรมที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ได้พบสิ่งที่ดีงามแล้ว เมื่อเกิดสภาพจิตนี้ขึ้นแล้วจิตคุณจะเข้าสู่ความมีใจวางไว้กลางๆ ไม่หยิบจับเอาความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดีใดๆที่มีต่อเขามาตั้งเป้นอารมณ์ของจิต มีใจวางเฉยในสิ่งที่มันเป็นไปตามแต่พรหมลิขิตซึ่งจะเดินไปตามผลจากการกระทำทั้งหลายทั้งในอดีตและปัจจุบันของเขาทั้ง 2 คน ด้วยจิตใจที่แจ่มใสเบิกบายปราศจากความขุ่นมัวใจ เศร้อหมองใจ หมองมัวใจทั้งสิ้นไป
5. แล้วก็แผ่เมตตาให้ตนเองดังนี้
การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงเมตตาจิตเพื่อการสวดมนต์แผ่เมตตาจิต
** เริ่มต้นให้แผ่เมตตาให้ตนเองก่อนนะครับ โดยเจริญจิตตั้งมั่นระลึกให้ตนเองนั้นมีสภาพกาย-วาจา-ใจ ดังนี้คือ
- เราจักเป็นผู้มีปกติจิตเป็นกุศล คิด พูด ทำแต่สิ่งที่ดีงามไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น มีปกติจิตผ่องใส เบิกบาน เป็นสุข
- เราเป็นผู้มีความสงบรำงับปราศจาก กาม ราคะ โมหะ พยาบาท อยู่เป็นปกติจิต
- เราจักเป็นผู้ไม่ผูกจองเวรใคร
- เราจักเป็นผู้ไม่เบียดเบียนพยาบาททำร้ายใคร
- เราจักเป็นผู้ไม่มีความขุ่นเคือง-ขัดข้อง-มัวหมองใจ
- เราจักเป็นผู้ไม่มีความคับแค้น-อึดอัด-อัดอั้น-เดือดร้อน-ร้อนรนใจ
(ให้พึงหวนรำลึกถึงช่วงเวลาที่เรานั้นผูกเวรจองเวรพยายาทใคร เรานั้นจะคอยแต่คิดจะหาเรื่องทำร้ายเขา ทะยานอยากต้องการจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้เขา ต้องให้ให้เขาประสบพบเจอสิ่งร้ายๆเรื่องร้ายๆอย่างนี้ๆ พอใจยินดีที่จะทำให้เข้าเจ็บปวดทุกข์ทรมานกาย-ใจอย่างนี้ ขณะที่เรา คิด พูด ทำ อย่างนั้นเรามีแต่ความร้อนรุ่มใจ ร้อนรนกระวนกระวายใจ คับแค้นกาย-ใจอยู่อย่างนั้นไม่เป็นปกติสุขเลย มันทุกข์ทรมานกายใจมากใช่ไหม เราจะดับทุกข์นี้ได้ก็ด้วยการที่เรานั้นไม่เป็นผู้ผูกเวรใคร ไม่พยาบามเบียดเบียนทำร้ายใคร)
- เราจักเป็นผู้มีความปกติสุขยินดีมีสติอยู่เสมอ มีความสงบ-ผ่องใสทั้งกายและใจ มีจิตตั้งมั่นควรแก่งาน ปราศจากทุกภัยใดๆที่ทำให้หมองมัวใจ-เศร้าหมองใจ-คับแค้นกสยและใจ ปราศจากติดใจใคร่ตามเพลิดเพลินยินดีในอกุศลธรรมใดๆ
- เราจักเป็นผู้มีความปกติสุขยินดีมีสติอยู่เสมอ มีจิตสงบ-ผ่องใสทั้งหายและใจ เป็นผู้มีความคิดดี-พูดดี-ทำดีเป็นกุศล ไม่คิด-พูด-ทำในสิ่งใดๆที่เป็นการเบียดเบียนทำร้ายใคร
- เราจักเป็นผู้มีสติอยู่เสมอจิตปารถนาดี-มีความเอื้อเฟื้อ-อนุเคราะห์-รู้จักสละให้-แบ่งปันสิ่งดีๆที่เป็นสุขให้แก่ผู้อื่นด้วยความยินดี มีจิตปกติสุขยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นสุขได้พ้นจากทุกข์ เป็นผู้มีจิตรู้จักอดโทษ-ละโทษ-ปล่อยวางโทษ จนถึงความสงบผ่องใสมีใจวางไว้กลางๆ
** จากนั้นสวดมนต์แผ่เมตตาพร้อมเจริญจิตตั้งมั่นเจริญในอุบายแนวทางของใจที่มอบเมตตาจิตแก่เขาทั้ง 2 ดังต่อไปนี้ **3.1 กรณีที่ประสบกับความพรัดพราก เช่น ผิดหวัง-ไม่สมหวังในรัก เลิกรา-ร้างลากับคนที่รัก ถูกแฟนทิ้ง ซึ่งทำให้เราได้รับความผิดหวัง ช้ำใจ โศรกเศร้าเสียใจ เป็นต้น
3.1.1 เวลาที่เราจะแผ่เมตตาจิตให้แก่บุคคลที่ทำให้เราต้องประสบพบเจอกับสภาพความรู้สึกเช่นนี้ เราต้องพึงพิจารณาทบทวนให้เห็นถึง ข้อดี-ข้อเสีย และ ผลได้-ผลเสีย ความรู้สึก-นึกคิด ต่างๆ จากการที่เรานั้นได้ประสบพบเจอในความไม่สมหวังปารถนา และ ความพรัดพรากที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แล้วเราก็จะมองเห็นว่า
- หากเรามีจิตที่คิด อาลัย อาวรณ์ เสียดาย ร้องไห้ เสียใจ ต้องการอยากจะได้กลับคืน หรือ หวนเวลากลับคืน หรือ ขอให้มันย้อนกลับจะขอแก้ไขส่วนใดๆที่ขาดตกไปด้วยความใคร่ครวญ สภาพความรู้สึกของจิตใจเรานั้นจะ เศร้าหมอง ขุ่นมัว อัดอั้น คับแค้น กรีด หวีด หวิวทั้งกายและใจ โศรกเศร้า ร่ำไร รำพัน จิตใจสั่นเครือ จิตใจอ่อนล้า จิตใจไร้แรงกำลัง ลมหายใจระรัว แผ่วเบาบ้าง ถี่ติดขัดบ้าง ไม่เป็นปกติสุข
- หากเรามีจิตที่คิด ผูกเวร จองเวร พยาบาท อาฆาตแค้น สภาพความรู้สึกของจิตใจเรานั้นจะ ขุ่นข้อง ขัดเคือง มัวหมอง อัดอั้น คับแค้นกายและใจ ถี่ติดขัดบ้าง ไม่เป็นปกติสุข มีแต่ทุกข์ เพราะจิตใจและความตรึกนึกคิดของเรานั้นจะคอยคิดเคียดแค้น อยากแก้แค้นจะเอาคืน จนร้อนรุ่มไปทั้งกายและใจ จิตใจเดือดดานอยู่ไม่เป็นปกติสุข ฟุ้งซ่าน ทุรนทุราย เพราะคอยคิดที่จะหาทาง อาฆาต ทำร้าย เบียดเบียนบุคคลนั้นให้มันเป็นไปตามความทะยานอยากตน
- สิ่งทั้งหลายที่ผมกล่าวมานี้เกิดขึ้นและเป็นจริงใช่ไหมครับ เมื่อเกิดความ อาลัย-อาวรณ์ และ ผูกจองเวร-พยาบาท
- ดังนั้นเราต้องวางใจออกจากทั้ง 2 สิ่งนี้ให้ได้ เพื่อให้สภาพร้ายๆนี้ลดลงและหดหายไป โดยเรียนรู้และยอมรับในสัจธรรมที่ว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะสมหวังปารถนาใคร่ได้ดั่งใจเราหมดทุกอย่าง คนเรามีความพรัดพรากเป็นที่สุดไม่ด้วยเหตุใดก็เหตุหนึ่ง ซึ่งต่อให้ทำยังไงทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่อาจหวนย้อนวันเวลากลับคืนไปได้ ทำได้ในตอนนี้คือการอยู่กับตนเอง รู้ตนเอง ทำสภาพจิตให้สงบ ผ่องใส จนเป็นปกติสุข
- พึงเจริญจิตหวนรำลึกถึงสิ่งที่ดีงามที่ได้ทำให้เรานั้นเป็นสุขกายและใจ พึงหวนรำลึกถึงสิ่งที่ดีงามใดๆที่เขาทำให้เรานั้นเป็นสุขทั้งกาย-ใจ พึงหวนรำลึกถึงสิ่งที่ดีที่เป็นสุขเป็นกุศลใดๆที่เรานั้นเคยทำร่วมกันมา ให้พึงระลึกถึงความดีงามหรือกุศลกรรมใดๆที่เขาเคยมีให้แก่เรา พึงระลึกถึงกุศลกรรมนั้นมาตั้งเป็นอารมณ์แห่งจิต แล้วพึงระลึกถึงแต่ความดีของเขาหรือสิ่งดีๆที่เขาได้ทำให้เราเป็นสุขใจ มันจะทำให้จิตใจของเราแจ่มใส เบิกบาน มีความอิ่มเอม สงบและเป็นสุข แล้วความร้อนรุ่มใจใดๆจะลดน้อยลง แล้วจิตเราก็จะแลดูรู้เห็นว่าสิ่งนี้ๆเราควรละมันไปเสีย สิ่งนี้เราๆควรปล่อยมันไปเสีย สิ่งนี้ๆเราควรอดใจไว้เสีย สิ่งนี้ๆเราควรอดโทษไว้เสีย สิ่งนี้ๆเราควรวางมันไปเสีย มีจิตรู้ว่าเราควรอดใจละมันไว้ไม่ควรติดข้องใจใดๆในสิ่งนั้นเพราะมันหาประโยชน์ใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์ แล้วจะเข้าถึงความดับไปแห่งความโกรธอันร้อนรุ่มใจนั้นๆ
- เมื่อจิตใจเราผ่อนคลายลง ผ่องใสขึ้น สงบขึ้น และ มีใจที่อดไว้ซึ่งโทษนั้นๆแก่เขา ให้พึงตรึกนึกว่า เขานั้นคงได้รับความทุกข์ทน ทรมาน คับแค้นใจ อัดอั้นใจ ฝืดเคือง ขัดข้องใจ ไม่มีความสงบสุขใดๆแก่ใจเขาเลย ซึ่งความสุขใดๆที่ขาดหายตกหล่นไปจากใจเขานั้นเราไม่สามารถให้ได้
- เหมือนดั่งเวลามีคนที่เราไม่ได้รัก ไม่ชอบใจ ไม่พอใจยินดี รำคาญ หรือ บุคคลใดที่คอยแต่ทำร้ายเราทั้งกายและใจเข้ามาอยู่เคียงข้างชิดใกล้กับเรา เราย่อมรู้สึกอึดอัดใจ ทุกข์ทน ทรมาน คับแค้นใจ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ อยากจะหนีหรือผลักไสให้พ้นไปไกลๆจากเราใช่มั้ยครับ ลองเอาใจเขามายกใส่ใจเราในความรู้สึกเช่นนี้ๆก็คงไม่ต่างกัน
- ให้คิดเสียว่าหากเขาอยู่กับเรามันอาจจะไม่ดี หรือ ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขามีความสุขทั้งกายและใจ หากแม้เขาอยู่กับเราต่อไปก็รังแต่ทำให้เขาเกิดความคับแค้น อัดอั้น ลำบาก ทุกข์กายและใจ สิ่งที่พอจะทำให้ได้ในตอนนี้คือการมีจิต เมตตา กรุณา ทาน และ มุทิตา ให้แก่เขาได้ ภายภาคหน้าเมื่อพานพบเจอกันจะได้ไม่ต้องอยู่กันแบบคับแค้นใจอีก
- เหมือนพ่อ-แม่ที่อยากให้ลูกตั้งใจเรียน ไม่เกเร ขยันทำงาน กตัญญู รู้คุณ เป็นเด็กดีอยู่ในโอวาท ต้องการอยากให้ลูกนั้นเรียนตามที่ตนเองพอใจต้องการเป็นต้น แต่ทว่าก็ไม่สามารถบังคับให้ลูกนั้นกระทำ หรือ เป็นไปดั่งใจที่ต้องการได้ ลูกก็ย่อมทะยานออกไปหาสิ่งที่ลูกนั้นปารถนาใคร่ได้ พอใจยินดี โดยที่พ่อ-แม่ห้ามไม่ได้ ถึงแม้เสียใจไปลูกก็คงไม่เข้าใจ เห็นใจ หรือ มองย้อนกลับมาดู และ ทำตามที่พ่อแม่ขอร้องต้องการได้ ที่พ่อ-แม่ทำได้นั้นก็เพียงแค่คอยดู และ ตักเตือนให้แง่คิดแนะนำ ประครองให้ลูกไม่พลาดพลั้งอยู่ห่างๆ ด้วยหวังให้ลูกนั้นได้รับสุขจากการกระทำต่างๆ
3.1.2 ให้ตั้งเจริญอยู่ในจิตที่ปารถนาให้เขานั้นได้พ้นจากทุกข์ประสบสุข และ ได้รับความสุขยินดีกับเส้นทาง หรือ สิ่งที่เขาเลือกแล้วนั้น เหมือนที่พ่อ-แม่ หรือ ผู้มีความอุปการะคุณนั้นมีให้แก่เรา
3.1.3 ให้ตั้งเจริญอยู่ในจิตที่มีความสงสารด้วยความปารถนาให้เขาเป็นสุขมีจิตเอื้อเฟื้อ อนุเคราะห์ แบ่งปัน จากบุญใดๆที่เราได้เจริญ ได้กระทำ ได้ปฏิบัติดี ได้ปฏิบัติชอบมา ทั้ง กาย วาจา และ ใจ ได้แผ่ไพศาลถึงแก่เขาให้เขาได้รับสุขจากสิ่งที่เราได้ให้มอบเขานี้ ให้เขาได้พานพบได้อยู่กับสิ่งที่เขาต้องการ
3.1.4 ปล่อยให้เขาไปเป็น "อภัยทาน" อันประเสริฐแก่เขา เว้นเสียซึ่งโทษ อดโทษ และ ความเบียดเบียน พยาบาทแก่เขา เพื่อให้เขาได้มีอิสระสุขตามที่ต้องการ การที่เราปล่อยให้เขาจากไปนั้นมันอาจจะเป็นหนทางที่เป็นประโยชน์สุขให้กับเขา เขาอาจจะมีความสุข สบายยินดีมากกว่าที่อยู่กับเรา ความคับแค้น อัดอั้น เสียใจนั้นๆจะได้ไม่เกิดกับเขาอีกต่อไป เมื่อเขาได้เลือกที่จะไปแล้วก็ขอให้เขาอย่าพบเจอกับความโศรกเศร้า เสียใจ หรือ คับแค้นกายและใจอีกเลย ขอให้เขาได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีงาม เป็นผู้ไม่ผูกจองเวรใคร เป็นผู้ไม่พยาบาทเบียดเบียนใครและปราศจากผู้ที่จะมาผูกเวรพยาบาทในเขา ขอให้เขาเป็นผู้มีปกติสุขยินดี มีจิตใจผ่องใสไม่เศร้ามัวใจ ไม่หมองมัวใจ ไม่ขุ่นมัวขัดเคืองใจ ปราศจากทุกข์ภัย-ขอให้โรคภัยทั้งหลายอย่าได้มากล้ำกลาย และได้หลุดพ้นจากทุกข์ทางกายและใจทั้งหลาย
- ทำเป็นประจำจนเป็นปกติในชีวิตไป จิตคุณจะมีแต่ความเมตตา ตื่นก้สบาย หลับก็สบาย เข้าสมาธิก็ง่าย ถึงปัญญาณง่าย เห็นธรรมตามจริงได้ง่าย ชีวิตมีแต่ควงามปกติสุข
ดูเพิ่มเติมได้ตาม Link นี้ครับ เป็นทางเข้าสู่เจโตวิมุตติอันที่ผู้ปฏิบัติในธรรมวินัยนี้ควรเจริญให้มาก และ ควรเจริญให้รุ้แจ้งแทงตลอดในสภาพจิตนี้ http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=8226.msg30508#msg30508