ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: น่าเสียใจ นะคะที่ มิจฉาชีพ มอมยาพระ แล้วปลด ทรัพย์  (อ่าน 2546 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นัยนา

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 191
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ติดตามข่าว ตอนเช้ารู้สึกหดหู่ใจที่ ยิ่งทราบข่าวว่า พระท่าน ฆ่าตัวตายด้วย
รู้สึก เศร้าใจ จังเลย ใครมีเนื้อหาข่าว ช่วยนำมาโพสต์ให้เืพื่อน ๆ อ่านด้วยนะคะ
จะได้ช่วยเป็นหู เป็นตาให้กับพระคุณเจ้า จะได้ไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้อีก


  :'( :'( :'(
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ทำไมพระจึงฆ่าตัวตาย.?

        เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวสะเทือนใจชาวพุทธข่าวหนึ่งทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ คือข่าวการฆ่าตัวตายของพระระดับสังฆาธิการ รูปหนึ่งที่จังหวัดแพร่ ท่านเป็น พระผู้ใหญ่นักพัฒนาที่คนเคารพนับถือมาก เป็นพระนักศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณ์ราชวิทยาลัย สาขาจังหวัดแพร่ และท่านก็ฆ่า ตัวตาย เพราะเป็นนักศึกษาปริญญาโทนี้เอง

        ข่าวเล่าว่า ท่านสอบวิทยานิพนธ์ไม่ผ่าน คณะกรรมการสอบให้ท่านแก้วิทยานิพนธ์หลายครั้ง แก้แล้วแก้อีกก็ยังไม่ผ่านสักที่ท่านเกิดความ ทุกข์คือความน้อยใจความ กลัดกลุ้ม กระวนกระวายใจขึ้นมาจนทนไม่ไหว จึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย ทำให้ชาวพุทธเกิดความสังเวชสลดใจ และความงุนงงสงสัยว่าทำไมเป็นพระผู้ใหญ่ที่บวช มาหลาย พรรษา เป็นสังฆาธิการและมีความรู้สูงถึงขั้นปริญญาโทจึงฆ่าตัวตาย ความรู้ สูงๆ ทางธรรมช่วยท่านไม่ได้หรือ ไม่น่าเป็นไปได้เลย ท่านเองมีหน้าที่เทศนาสั่งสอนผู้อื่นให้ รู้จักทุกข์ หาวิธีดับทุกข์มิใช่หรือเหตุไฉนเมื่อ ทุกข์เกิดกับตนเองจึงยอมแพ้ทุกข์ง่ายๆ เช่นนั้น ไม่น่าเชื่อเลย

        ผมเองรู้สึกเฉยๆ กับข่าวนี้ เพราะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา มีหมองูผู้เชี่ยวชาญเป็นอันมากตายเพราะงู มีทหารชาญยุทธเป็นอันมากตาย เพราะข้าศึกมีหมอผู้รักษาโรค เป็นอันมาก ตายเพราะโรค การที่จะมีพระตายเพราะทุกข์จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่ถามว่าความรู้อันสูงส่งของ ท่านช่วยท่านไม่ได้เลยหรือนั้น ก็ตอบว่า ช่วยไม่ได้ อย่าว่าแต่ ชั้นปริญญาโท เลยแม้ชั้นปริญญาเอกก็ช่วยไม่ได้ เพราะความรู้ที่ท่านมีอยู่นั้น ยังไม่ใช่ระดับที่จะช่วยท่านได้

        พอมาถึงตอนนี้ ก็ขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกับความรู้ ๓ ระดับในทางพระพุทธศาสนาไว้ เมื่อถึงคราว คับขัน จะสามารถช่วยตัวเอง

        ได้ ในพระพุทธศาสนา “ ความรู้” เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด คำว่า “ พุทธะ” ก็แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานพระพุทธ ศาสนาเกิดขึ้นมาในโลก ได้ ก็เพราะ “ความรู้” ของ พระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะกลายเป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะความรู้ พระสาวกทั้งหลายกลายเป็นพระอนุพุทธะ ก็เพราความรู้สามารถ ก่อให้เกิดความ เปลี่ยนแปลง ในตัว ผู้รู้ได้ ดังนั้น จิตวิทยาการศึกษาจึงบอกว่า การเรียนรู้คือการเปลี่ยนแปลง (to learn is to change) ความรู้เปรียบเสมือนแสงสว่าง จิตใจ ของเราเมื่อความรู้ ( วิชชา) เกิด ขึ้นแล้ว ความมืด ( อวิชชา) ก็หายไปสัตว์ ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในความมืด เช่น งู ตุ๊กแก หนู แมลงป่อง แมลงสาบเป็นต้น (กิเลสทั้งหลาย เช่น โมหะ ตัณหา อุปาทาน) ก็ พลอยหนีไป ด้วย ห้องก็เหลือแต่แสงสว่าง ความสะอาดและความสงบสุข จิตใจที่เกิดวิชชาขึ้นแล้วก็เหลือความสว่างสะอาด สงบสุขอยู่ในใจนี้ แสดงให้เห็นความสำคัญ ของความรู้

        ความรู้ทางพระพุทธศาสนามี ๓ ระดับ คือ รู้จำหรือรู้จัก ท่านเรียกว่าสัญญารู้จริงหรือเห็นความจริงท่านเรียกว่า ทิฏฐิ หรือทัศนะ( ทฤษฎ ิ- ทฤษฎี)และรู้แจ้ง ท่าน เรียกว่า ญาณ

        ๑. รู้จำหรือสัญญา หมายถึง การเก็บเอาข้อมูล ข่าวสารหรือความรู้ต่างๆ เข้าไปเก็บไว้ในใจเฉย ๆ เช่นจำได้ว่า ไตรลักษณ์มี ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรสิกขามี ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น นอกจากจำได้แล้วท่องได้คล่องปากอีกด้วย

        ความรู้ระดับความจำนี้เป็นความรู้ผิวเผินมาก ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และบางทีก็เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านลบ เช่นทำให้เกิดความหยิ่ง ผยอง พองขน ถือว่าตนมีความรู้มากดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่น เป็นต้น

        ความรู้ระดับสัญญานี้ พ. อ. ปิ่น มุทุกันต์ อดีตหัวหน้ากองอนุสาสนนาจารย์กองทัพบกและอดีตอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวเปรียบเทียบ ไว้อย่างน่าฟังว่าเหมือน ใส่ อาหาร นานาชนิด เข้าไปในปากแล้วอมไว้เฉยๆ ไม่ยอมเคี้ยว ไม่ยอมกลืน อาหารนั้นจะไม่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต ร่างกายแต่อย่างใด ผมอยากจะเปรียบเทียบกับ การ เอา ท่อนไม้ นานาชนิดมากองไว้เฉยๆ ด้วยหวังว่าจะได้แสงสว่างและความอบอุ่นจาก กองฟืนนั้น สัตว์บางอย่างเช่น งู ตะขาบ แมงป่อง หนูอาจเข้าไปอาศัยอยู่ในนั้น

        ความรู้ระดับสัญญาจะช่วยดับทุกข์ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นพระรูปนั้นจึงฆ่าตัวตาย ทั้งๆ ที่กำลังเขียน   วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโททั้งนี้ก็ เพราะว่า ระบบการ ศึกษาของสงฆ์ตั้งแต่ระดับนักธรรมตรีถึงนักธรรมเอก ชั้นเปรียญ ๒ ถึง เปรียญ ๙เน้นความจำแบบตามตัวอักษรการ วัดผลก็เน้นความจำ ใครจำเก่ง เขียนความจำลง บนแผ่น กระดาษได้ถูกต้องตามตำราก็สอบได้ ได้เป็นนักธรรมชั้นนั้นชั้นนี้เป็นเปรียญชั้น นั้นชั้นนี้

        ความรู้ของท่านจึงเป็นเพียงขั้นสุตมยปัญญา ความรู้ที่ได้จากการฟังและการอ่านเท่านั้น

        ๒. ความรู้จริง หรือทิฏฐิ หมายถึง การเห็นภาพแห่งความจริงในใจอย่างชัดเจนพอสมควร ถ้าจะเรียกว่า “ ความเข้าใจ” ก็ถูกเหมือนเช่น เมื่อจำไตรลักษณ์ได้แล้ว ยังเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งอีกด้วยว่า อนิจจังคืออะไร มีอยู่ในตัวเราและในสังขารทั้งปวงอย่างไร

        ความรู้ระดับทิฏฐิเกิดจากการคิด เช่นคิดพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรอง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตตาจนเข้าใจแจ่มแจ้งว่าแต่ละอย่างหมายถึง อะไร ฉะนั้นท่านจึง เรียกว่า จินตามยปัญญา ความรู้เกิดจากความคิดเป็นภาพของความจริงรวบยอดในใจ ตัวย่างเช่นเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และเห็นคนเกิดในเวลาต่อมาพระองค์ก็ทรงคิดไตร่ตรองจนเห็นภาพของความจริงรวบยอดที่อยู่เบื้องหลัง ปรากฏ การณ์ทั้ง ๔ ที่เรียกว่า “ ทุกข์” ความรู้ระดับนี้พอจะเทียบได้กับ Concept ในภาษา อังกฤษนั้นเอง ( มโนทัศน์)

        ความรู้ระดับทิฏฐิ ลึกซึ้งกว่าระดับสัญญา เพราะฉะนั้นจึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนปลงในตัวผู้รู้มากขึ้นสามารถกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัต ิในตัว ผู้รู้มากขึ้น สามารถกระตุ้น ให้เกิดการปฏิบัติในตัวผู้รู้ เช่น เจ้าชายสิทธัตถะเมื่อเกิดสัมมาทิฎฐิ เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตายและเห็นคนเกิด ในเวลาต่อมาพระองค์ปรากฏการณ์ทั้ง ๔ นั้น ที่เรียก ว่า “ทุกข์” ความรู้ระดับนี้พอจะเทียบได้กับ Concept ในภาษาอังกฤษนั้นเอง (มโนทัศน์)

        ความรู้ระดับทิฏฐิ ลึกซึ้งกว่าระดับสัญญา เพราะฉะนั้นจึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้รู้มากขึ้น สามารถกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัต ิในตัวผู้รู้ เช่น เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อเกิด สัมมาทิฏฐิ เห็นทุกข์แล้วก็อยู่ในฆราวาสวิสัยไม่ได้ เพราะเกิดความต้องการอยากรู้ทางดับทุกข์ จึงสละโลกิยวิสัยออกบวชเป็นสมณะ เพื่อแสวงหา ทางพ้นทุกข์ ความรู้ระดับ ทิฏฐิพอจะเทียบได้กับการเริ่มเคี้ยวอาหารที่อมไว้ในปาก แต่เคี้ยวยังไม่ละเอียดพอ แล้วก็กลืนเข้าไปเป็นบางส่วน ร่ายกายได้รับประโยชน์บ้าง แต่ยังไม ่เต็มที่

        ๓. ความรู้ระดับญาณ (Intuitive Insight) หมายถึง ความรู้แจ้ง เห็นจริงอย่างเต็มที่ เห็นภาพแห่งความจริงในใจอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ดุจเห็นด้วยตา เพราะฉะนั้นใน พระไตรปิฎก ท่านจึงบรรยายการเกิดความรู้ระดับญาณไว้ว่า

จกฺขุ อุทปาทิ         ดวงตาได้เกิดขึ้นแล้ว
ญาณํ อุทปาทิ        ความรู้ได้เกิดขึ้นแล้ว
วิชชา อุทปาทิ        ความรู้แจ้งได้เกิดขึ้นแล้ว
ปญฺญา อุทปาทิ      ความรู้ทั่วได้เกิดขึ้นแล้ว
อาโลโก อุทปาทิ     แสงแสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว

        เนื่องจากความรู้ระดับนี้เป็นความรู้มีพลังมากที่สุด เกิดขึ้นในระดับจิตใต้สำนึก จึงดับอวิชชาซึ่งเป็นกิเลสละเอียดอยู่ในจิตใต้สำนึกด้วยกัน ได้ จึงเกิดความเปลี่ยนแปลง อย่างสิ้นเชิงในตัวผู้รู้ คือเปลี่ยนจากปุถุชนเป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์พ้น จากกิเลสใหญ่น้อยทั้งปวง บรรลุถึงพระนิพพาน มีจิตใจ สว่าง สะอาด สงบสุขทุกเมื่อ

        ความรู้ระดับญาณเปรียบเหมือนการเคี้ยวอาหารอย่างละเอียดแล้วกลืนเข้าไปทั้งหมด ร่างกายจึงได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ หรือเปรียบจุดไฟ ที่กองฟืนจนลุกสว่างไสวขึ้น อย่างเต็มที่ ผู้จุดไฟย่อมได้แสงสว่างและความอบอุ่นอย่างเต็มบริบูรณ์

        ความรู้ระดับญาณ เป็นภาวนามยปัญญา เกิดจากการบำเพ็ญสมถภาวนาแล้วก้าวไปสู่วิปัสสนาภาวนา

        น่าจะถึงเวลาแล้วที่เราจะจัดระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ให้ได้ครบทั้งสุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญาตรงตามที่ พระพุทธองค์ ทรงมุ่งประสงค์.




http://www.saddhadhamma.org/Eagle/pand85.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 12, 2012, 01:10:34 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

วิชชุดา

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 275
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อนุโมทนา สาธ คะ

อ่านแล้ว รู้สึกหดหู่ เพิ่มอีกนะคะ แล้วเราจะไปพึ่ง พระสงฆ์ ที่ไหนกันได้นี่ นอกเสียจากพระธรรม เอาเข้าจริง ๆ เวลาทุกข์จริง ดิฉันบอกตามตรงเลยนะคะ

    มีอยู่วันหนึ่ง ดิฉัน ทุกข์มาก ทุกข์กับขนาดจะฆ่าตัวตายเลยคะ ตอนนั้นได้ฟังธรรม ศึกษาธรรมภาวนามาก็บ้างแล้ว แต่ความทุกข์อันนี้กับชนะธรรมะที่อยุ่ในใจ วันนั้นดิฉันก็ตัดสินใจคะว่า จะฆ่าตัวตาย หรือหนีหายไปจากโลกนี้ แต่ก่อนจะทำแบบนั้น ก็นึกขึ้นว่าจะได้ทำบุญก่อนจึงได้ไปที่วัด  สุเทพ ได้นั่งสงบมอง พระธาตุที่เด่นสง่า และได้พักหย่อนใจที่พระะธาตุอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ 4 โมงเช้า จนถึง เย็นตอนนั้นก็ได้สติ อิ่มใจที่ได้เห็นพระธาตุ และมองเห็นผู้คนมากมายที่ได้เดินทางมาทำบุญกันที่พระธาตุ  ทุกคนรักบุญสร้างบุญ และ เห็นความสำคัญของบุญที่แน่นอนทุกคนอิ่มใจ ที่ได้เห็นองค์พระธาตุ ความสงบและทุกข์ทั้งมวลที่มีอยู่กํพลันสงบตาม

    เย็นนั้นพอกลับมาถึง ก็มานั่งทบทวนความอิ่มใจ นี้ สลับ กับความทุกข์ และเข้ามาศึกษาธรรมในบอร์ดนี้ จนได้พบพระธรรมคำแนะนำการปฏิบัติ ก็ติดตามเป็นสมาชิกมาถึงปัจจุบัน

    สิ่งสำคัญที่จะบอก็คือ เมื่อความทุกข์เข้ามามาก ๆ สิ่งที่จะช่วยได้แท้ ๆ ก่อนเบื้องต้นก็คือ การได้เห็น พระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ และ สติ จะเกิดขึ้นแต่ต้องใช้เวลากันพอสมควร

    ก็ขอให้ทีมงานมัชฌิมา ทุกท่านมีกำลังใจเผยแผ่พระธรรม ช่วยคนที่มีความทุกข์กันต่อไปนะคะ

   :c017: :c017: :c017: :25:
บันทึกการเข้า
ขอให้ทุกท่าน จงเป็นผู้มีความสุข กันทุกคนนะจ๊ะ

วิชชุดา

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 275
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อนุโมทนา สาธุ คะ




 :25: :58:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 12, 2012, 01:45:40 pm โดย วิชชุดา »
บันทึกการเข้า
ขอให้ทุกท่าน จงเป็นผู้มีความสุข กันทุกคนนะจ๊ะ