การนมัสการบูชาพระอรหันต์แปดทิศ โดย วยุรีที่มา
http://picdb.thaimisc.com/ แทบทุกครั้งที่มีการสวดมนต์ทำวัตร ในห้องเสือพิทักษ์ พวกเราจะขาดไม่ได้ซึ่งการสวดบท พุทธมังคลคาถา หรือเรียกว่า คำนมัสการบูชาพระอรหันต์แปดทิศ ซึ่งมีเนื้อความดังนี้
สัมพุทโธ ทิปะทัง เสฏโฐ
นิสินโน เจวะ มัชฌิเม
โกณฑัญโญ ปุพพะภาเค จะ
อาคเณยเย จะ กัสสะโป
สารีปุตโต จะ ทักขิเณ
หะระติเย อุปาลิ จะ
ปัจฉิเมปิ จะ อานันโท
พายัพเพ จะ ควัมปะติ
โมคคัลลาโน จะ อุตตะเร
อีสาเนปิ จะ ราหุโล
อิเม โข มังคะลา พุทธา
สัพเพ อิธะ ปะติฏฐิตา
วันทิตา เต จะ อัมเหหิ
สักกาเรหิ จะ ปูชิตา
เอเตสัง อานุภาเวนะ
สัพพะโสตถี ภะวันตุโน
อิจเจวะมัจจันตะนะมัสสะเนยยัง
นะมัสสะมาโน ระตะนัตตะยังยัง
ปุญญาภิสันทัง วิปุลัง อะลัตถัง
ตัสสานุภาเวนะ หะตันตะราโย
เวลาสวดบทนี้ครั้งใด ใจจะนึกไปถึงภาพภายในเชตวันมหาวิหาร ที่อาจารย์บุษกรเคยพาพวกเราไปสักการะ ณ ประเทศอินเดียถึง ๒ ครั้ง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นอัฏฐเจดีย์ ที่ครั้งนั้นพระวิทยากรอธิบายว่า..เป็นที่ประชุมพระอรหันตสาวกหลังจากที่ไปเผยแผ่ธรรมะกลลับมา และแต่ละองค์ก็จะนั่งประจำทิศต่างๆ โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
ประการสำคัญพระอรหันต์แปดทิศ ล้วนแต่มีฤทธิ์ทุกองค์ อีกทั้งเป็นมหาเถระผู้ยิ่งใหญ่ในทางพระพุทธศาสนา จึงทำให้รู้สึกว่าเวลาสวดครั้งใดจิตใจจะมีความศรัทธาเพิ่มขึ้นทุกครั้งไป
และ ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เมื่อสวดมนต์บทนี้เสร็จก็ได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์ ที่นำความหมายของบทสวดมาให้พวกเรา (ซึ่งส่วนใหญ่จะรู้แต่เพียงว่าพระสาวกองค์ใดอยู่ทางทิศไหนเท่านั้น) นอกจากความหมายแล้ว ท่านยังสอนให้พวกเราทำความรู้สึกว่าได้อยู่ในสถานที่แห่งนั้น....สถานที่ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ มีเราหมอบกราบสักการะบูชาอยู่ข้างๆ และยังรายล้อมด้วยพระอรหันต์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ดังคำแปลที่ว่า....
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าสัตว์สองเท้า ทรงประทับนั่งอยู่ท่ามกลาง มี
ท่านอัญญาโกญฑัญญะ อยู่ทางทิศบูรพา (ตะวันออก)
ท่านพระมหากัสสปะ อยู่ทางทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้)
ท่านพระสารีบุตร อยู่ทางทิศทักษิณ (ใต้)
ท่านพระอุบาลี อยู่ทางทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้)
ท่านพระอานนท์ อยู่ทางทิศปัจฉิม (ตะวันตก)
ท่านพระภควัมปติ อยู่ทางทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ)
ท่านพระโมคคัลลานะ อยู่ทางทิศอุดร (เหนือ)
ท่านพระราหุล อยู่ทางทิศอิสาณ (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ด้วยสรรพมงคลอันพระอริยเจ้าทั้งหลายผู้ประดิษฐานอยู่ ณ ทิศทั้งหลายเหล่านี้ ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำการกราบไหว้สักการบูชาซึ่งท่านผู้ประเสริฐทั้งหลาย เหล่านั้น ขอความสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการซึ่งพระรัตนตรัย และด้วยการนมัสการพระอริยสาวกเจ้าทั้งหลายนี้
ข้าพเจ้าได้รับแล้วซึ่งความหลั่งไหลของบุญอย่างไพบูลย์ (บุญอันเกิดจากการระลึกถึงพระอรหันต์ทั้งแปดทิศ) ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัยนั้น ขออันตรายทั้งหลายจงถึงความพินาศสิ้นไปเทอญ
ตอนนั้นได้ทำความรู้สึกว่าได้หมอบกราบ พระองค์ท่านทางเบื้องขวา (เหมือนกับเวลาท่านอาจารย์พาไปเวียนเทียนที่พุทธมณฑล จุดที่พวกเรานั่งสวดมนต์คือด้านขวาที่พระหัตถ์ประทานพร) เมื่อสวดถึงพระเถระเจ้าที่สถิตย์อยู่ตามทิศต่างๆ รายรอบตัวเรานั้น สร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับจิตใจเป็นอย่างมาก ....พอสวดจบ จิตสงบ (อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน) จนทำให้สามารถนั่งสมาธิต่อไปได้อีกนาน ....จึงนำเรื่องนี้มาบอกกล่าวให้พี่ๆ น้องๆ ได้นำไปทดลองด้วยตนเอง
วันนั้นพอสวดเสร็จ ท่านอาจารย์บอกให้พวกเราหันใจไปทางทิศตะวันออก ฉะนั้นเบื้องหน้าของพวกเราจะปรากฏ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งเป็นเอตทัคคะด้านผู้รู้ราตรีนาน (มีประสบการณ์มาก สำเร็จเป็นองค์แรก)นั่งตรงกลาง เบื้องซ้ายของท่านคือ พระราหุล ซึ่งดำรงตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้ใคร่ในการศึกษา และว่านอนสอนง่าย ส่วนเบื้องขวาของท่านคือ พระมหากัสสปะ ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในด้านเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้ทรงธุดงค์ และเป็นผู้มักน้อยสันโดษ ......ท่านทั้งสามนี้นับได้ว่าเป็นองค์แทนพระไตรปิฏกให้กับพวกเรา ทั้งนี้เพราะ
พระราหุลผู้เป็นเลิศในด้านใคร่ในการศึกษา เป็นองค์แทน พระสูตร เพราะพระสูตรเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลมีไว้เพื่อให้ได้ศึกษา
พระอัญญาโกณฑัญญะซึ่งเป็นเอตทัคคะด้านผู้รู้ราตรีนาน (มีประสบการณ์มาก สำเร็จเป็นองค์แรก) การสำเร็จของท่านนั้นด้วยการรับฟังพระธรรมจักกัปปวัตนสูสตร ซึ่งนอกจากกล่าวถึงทางที่ไม่ควรข้อง และทางสายกลางแล้ว ใจความสำคัญก็คืออริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ซึ่งสรุปลงแล้วเป็นเรื่องราวที่เราได้ศึกษาในพระอภิธรรม ส่วน
พระมหากัสสปะ ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในด้านเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้ทรงธุดงค์ และเป็นผู้มักน้อยสันโดษ นับเป็นองค์แทนของพระผู้ทรงวินัยธรรม ซึ่งว่าด้วยข้อวัตรต่างๆนั่นเอง
และเมื่อเราหันหลังกลับไปทางทิศตะวันตก...เบื้องขวา และซ้ายของพระพุทธองค์ ก็คือพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา ผู้เป็นเลิศในด้านมีปัญญามาก และพระโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้าย ผู้เป็นเลิศในด้านมีอิทธิฤทธิ์มาก ซึ่งทั้งสององค์ล้วนเป็นสาวกคู่บารมีของพระพุทธองค์
ส่วนเบื้องหลังนั้น ได้แก่ พระอานนท์พุทธอนุชา ที่นอกจากเป็นพุทธอุปัฏฐากแล้ว ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศด้านผู้ทรงพหูสตร ได้รับฟังจากท่านอาจารย์ (ซึ่งฟังจากหลวงพ่อมา) ว่า เรื่องราวที่ท่านพระอานนท์ฟังมานั้น แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ตอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม เพียงแต่กลับมาเล่าให้ฟังในภายหลังก็ตาม แต่เพราะด้วยอิทธิของพระมหาสาวกที่อยู่ด้านขวา และซ้ายของท่านพระอานนท์ คือ ท่านพระอุบาลี และพระภควัมปติ ซึ่งมีฤทธิ์ที่จะช่วยทำให้พระอานนท์เมื่อได้รับฟังเรื่องราวที่พระพุทธองค์ นำมาบอกกล่าวในภายหลังแล้ว ได้รู้สึกเหมือนกับว่าได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ
ฟังจากท่านอาจารย์แล้ว เกิดความปีติเป็นอย่างมาก และเมื่อได้นำไปปฏิบัติต่อที่บ้าน เกิดความรู้สึกที่ดีหลายๆ อย่าง จึงนำเรื่องราวมาบอก พร้อมนำประวัติของพระเถระเจ้าทั้งแปดองค์มานำเสนอ เพื่อประกอบเรื่องนี้ให้สมบูรณ์ขึ้น
๑. พระอัญญาโกณฑัญญะ เอตทัคคะในทางรัตตัญญู – ประจำทิศบูรพา (ตะวันออก)
พระอัญญาโกณฑัญญะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในหมู่บ้านโทณวัตถุ อันไม่ห่างไกลจากกรุงกบิลพัสดุ์ เดิมชื่อ “โกณฑัญญะ” เมื่อ เจริญเติบโตขึ้นได้ศึกษาศิลปะวิทยาจบไตรเพท และวิชาการทำนายลักษณะอย่างเชี่ยวชาญ ท่านเป็นหนึ่งในพราหมณ์ ๘ คน ที่ถูกคัดจาก ๑๐๘ คน เพื่อทำพิธีทำนายพระลักษณะตามราชประเพณี ให้แก่เจ้าชายสิทธัตถะเมื่อประสูติได้ ๕ วัน เนื่องจากท่านมีอายุน้อยที่สุดจึงทำนายเป็นคนสุดท้าย และเป็นเพราะท่านได้สั่งสมบารมีมาครบถ้วนตั้งแต่อดีตชาติ และการเกิดในภพนี้ก็จะเป็นภพสุดท้าย จึงมีปัญญามากกว่าพราหมณ์ทั้ง ๗ คนแรก
เมื่อได้พิจารณาตรวจดูพระลักษณะของพระกุมาร โดยละเอียดแล้ว ได้ยกนิ้วขึ้นเพียงนิ้วเดียวเป็นการยืนยันการพยากรณ์อย่างเด็ดเดี่ยวเป็นนัย เดียวเท่านั้นว่า “พระราชกุมาร ผู้บริบูรณ์ด้วยมหาบุรุษลักษณะอย่างนี้ จะไม่อยู่ครองเพศฆราวาสอย่างแน่นอน จักต้องเสด็จออกบรรพชา และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างมิต้องสงสัย”
ครั้นกาลเวลาล่วงเลยมาถึง ๒๙ ปี เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชา โกณฑัญญะพราหมณ์ทราบข่าวก็ดีใจ เพราะตรงกับคำทำนายของตน จึงรีบไปชวนบุตรของพราหมณ์ทั้ง ๗ คนที่ร่วมทำนายด้วยกันให้ออกบวชตามเสด็จพระมหาบุรุษ ซึ่งบุตรพราหมณ์เหล่านั้นยอมออกบวชเพียง ๔ คน คือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และ อัสสชิ ท่านโกณฑัญญะ พร้อมด้วยมาณพทั้ง ๔ คน (รวมเป็น ๕ จึงได้นามว่า “ปัญจวัคคีย์”) จึงออกบวช สืบเสาะถามหาพระมหาบุรุษไปตามสถานที่ต่าง ๆ จนมาพบพระองค์กำลังบำเพ็ญความเพียรอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
ด้วยความมั่นใจว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างแน่นอน จึงพากันเข้าไปทำกิจวัตรอุปัฏฐาก จัดน้ำใช้ น้ำฉัน และ ปัดกวาดเสนาสนะ เป็นต้น ด้วยหวังว่าเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จะได้แสดงธรรมโปรดพวกตนให้รู้ตามบ้าง เมื่อพระมหาบุรุษ ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างอุกฤษฏ์เป็นเวลาถึง ๖ ปี ก็ยังไม่ได้บรรลุพระโพธิญาณ ทรงพระดำริว่า “วิธีนี้คงจะไม่ใช่ทางตรัสรู้” จึงทรงเลิกละความเพียรด้วยวิธีทรมานกาย หันมาบำเพ็ญเพียรทางจิต เลิกอดพระกระยาหาร กลับมาเสวยตามเดิม เพื่อบำรุงพระวรกายให้แข็งแรง ฝ่ายปัญจวัคคีย์ เห็นพระโพธิสัตว์ละความเพียรนั้นแล้ว ก็รู้สึกหมดหวัง จึงพากันเหลีกหนีทิ้งพระโพธิสัตว์ ให้ประทับอยู่ตามลำพังพระองค์เดียว
ครั้นพระโพธิสัตว์ ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงดำริพิจารณาหาบุคคลผู้สมควรจะรับฟังพระปฐมเทศนา พระองค์ทรงระลึกถึงอาจารย์ทั้งสองที่พระองค์เคยเข้าไปศึกษา คือ อาฬารดาบสกาลามโคตร แต่ได้ทราบว่าท่านได้ถึงแก่กรรมไปได้ ๗ วัน แล้วและอีกท่านหนึ่ง คือ อุทกดาบสรามบุตร แต่ก็ได้ทราบด้วยพระญาณว่าท่านเพิ่งจะสิ้นชีพไปเมื่อวันวานนี้เอง ต่อจากนั้น พระพุทธองค์ทรงระลึกถึง ปัญจวัคคีย์ ผู้ซึ่งเคยมีอุปการคุณแก่พระองค์เมื่อสมัยทำทุกรกิริยา และทรงทราบว่าขณะนี้ท่านทั้ง ๕ พักอาศัย อยู่ที่ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงดำริดังนี้แล้ว จึงได้เสด็จพุทธดำเนินไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันเพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ พระพุทธองค์ ทรงประกาศพระสัพพัญญุตญาณแก่เหล่าปัญจวัคคีย์ โดยตรัสพระธรรมจักรกัปวัตนสูตร เป็นปฐมเทศนา เมื่อจบพระธรรมเทศนา ธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลีมลทิน เกิดขึ้นแก่โกณฑัญญะว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา” เพราะความที่ท่านเป็นพระเถระ ผู้มีอายุพรรษากาลมาก มีประสบการณ์มาก จึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดา ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศกว่าภิกษุ ทั้งหลายในทาง ผู้รัตตัญญู หมายถึง ผู้รู้ราตรีนาน
ในบั้นปลายชีวิต พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพระเถระผู้เฒ่า ไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ชอบหลีกเร้นอยู่ในสถานที่อันสงบวิเวกตามลำพัง
ในคัมภีร์มโนรถปูรณี และคัมภีร์ธุรัตวิลาสินี กล่าวไว้ตรงกันว่า เป็นเวลา ๑๒ ปี ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ท่านได้กราบทูลลาพระบรมศาสดาไปจำพรรษา ณ ป่าหิมพานต์ บริเวณใกล้สระฉัททันต์ตามลำพัง เป็นเวลานาน ๑๒ ปี
วันที่ท่านจะนิพพาน ท่านพิจารณาอายุสังขารแล้ว ได้มาเฝ้าพระพุทธองค์ เพื่อกราบทูลลานิพพาน ครั้นพระพุทธองค์ประทานอนุญาตแล้ว ท่านเดินทางกลับยังป่าหิมพานต์ และนิพพานในบรรณศาลาที่พักริมสระฉัททันต์นั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกจำนวนมาก ได้เสด็จไปทำฌาปนกิจศพให้ท่าน