ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10
 11 
 เมื่อ: กันยายน 01, 2025, 09:03:50 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 12 
 เมื่อ: กันยายน 01, 2025, 08:26:11 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 13 
 เมื่อ: กันยายน 01, 2025, 05:54:01 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 14 
 เมื่อ: กันยายน 01, 2025, 03:06:19 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 15 
 เมื่อ: กันยายน 01, 2025, 02:34:14 pm 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



งูเห่าในสภา และ นารีในวัด
เป็นภัยที่ต้องตระหนัก พระพุทธองค์ตรัสถึงภัยนี้ไว้อย่างไร.?


๙. ปฐมกัณหสัปปสูตร ว่าด้วยงูเห่า สูตรที่ ๑

[๒๒๙] ภิกษุทั้งหลาย งูเห่ามีโทษ ๕ ประการนี้
          โทษ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
                ๑. เป็นสัตว์ไม่สะอาด
                ๒. เป็นสัตว์มีกลิ่นเหม็น
                ๓. เป็นสัตว์น่ากลัว
                ๔. เป็นสัตว์มีภัย
                ๕. เป็นสัตว์มักทำร้ายมิตร
         ภิกษุทั้งหลาย งูเห่ามีโทษ ๕ ประการนี้แล

         ภิกษุทั้งหลาย ในทำนองเดียวกัน มาตุคามมีโทษ ๕ ประการนี้
         โทษ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
                ๑. เป็นผู้ไม่สะอาด
                ๒. เป็นผู้มีกลิ่นเหม็น
                ๓. เป็นผู้น่ากลัวมาก
                ๔. เป็นผู้มีภัย
                ๕. เป็นผู้มักทำร้ายมิตร(๑-)

___________________________
(๑-) ประทุษร้าย เบียดเบียนแม้มิตรผู้ให้น้ำและโภชนาหารแก่ตน (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๒๒๙/๙๑)     

          ภิกษุทั้งหลาย มาตุคามมีโทษ ๕ ประการนี้แล
 
                    ปฐมกัณหสัปปสูตรที่ ๙ จบ


@@@@@@@

๑๐. ทุติยกัณหสัปปสูตร ว่าด้วยงูเห่า สูตรที่ ๒
       
[๒๓๐] ภิกษุทั้งหลาย งูเห่ามีโทษ ๕ ประการนี้
         โทษ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
                ๑. เป็นสัตว์มักโกรธ
                ๒. เป็นสัตว์มักผูกโกรธ
                ๓. เป็นสัตว์มีพิษร้าย
                ๔. เป็นสัตว์มีลิ้นสองแฉก
                ๕. เป็นสัตว์มักทำร้ายมิตร
        ภิกษุทั้งหลาย งูเห่ามีโทษ ๕ ประการนี้แล

        ภิกษุทั้งหลาย ในทำนองเดียวกัน มาตุคามมีโทษ ๕ ประการนี้
        โทษ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
                ๑. เป็นผู้มักโกรธ
                ๒. เป็นผู้มักผูกโกรธ
                ๓. เป็นผู้มีพิษร้าย
                ๔. เป็นผู้มีลิ้นสองแฉก
                ๕. เป็นผู้มักทำร้ายมิตร
        ภิกษุทั้งหลาย บรรดาโทษ ๕ ประการนั้น
        การที่มาตุคามมีพิษร้าย หมายถึง ส่วนมากมาตุคามมีราคะจัด
        การที่มาตุคามมีลิ้นสองแฉก หมายถึง ส่วนมากมาตุคามมักพูดส่อเสียด
        การที่มาตุคามมักทำร้ายมิตร หมายถึง ส่วนมากมาตุคามมักนอกใจ
       
        ภิกษุทั้งหลาย มาตุคามมีโทษ ๕ ประการนี้แล

                           ทุติยกัณหสัปปสูตรที่ ๑๐ จบ


ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=22&siri=230&fontsz=0





พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ สุตฺต. องฺ. (๓): ปญฺจก-ฉกฺกนิปาตา

[๒๒๙] ปญฺจิเม ภิกฺขเว อาทีนวา กณฺหสปฺเป กตเม
          ปญฺจ อสุจิ ทุคฺคนฺโธ สภีรุ สปฺปฏิภโย มิตฺตทุพฺภี อิเม โข
          ภิกฺขเว ปญฺจ อาทีนวา กณฺหสปฺเป เอวเมว โข

          ภิกฺขเว ปญฺจิเม อาทีนวา มาตุคาเม กตเม
          ปญฺจ อสุจิ ทุคฺคนฺโธ สภีรุ สปฺปฏิภโย มิตฺตทุพฺภี อิเม โข   
          ภิกฺขเว ปญฺจ อาทีนวา มาตุคาเมติ ฯ

@@@@@@@

[๒๓๐] ปญฺจิเม ภิกฺขเว อาทีนวา กณฺหสปฺเป กตเม 
         ปญฺจ โกธโน อุปนาหี โฆรวิโส ทุชิโวฺห มิตฺตทุพฺภี อิเม โข 
         ภิกฺขเว ปญฺจ อาทีนวา กณฺหสปฺเป เอวเมว โข   

         ภิกฺขเว ปญฺจิเม อาทีนวา มาตุคาเม กตเม   
         ปญฺจ โกธโน อุปนาหี โฆรวิโส ทุชิโวฺห มิตฺตทุพฺภี ตตฺริทํ   

         ภิกฺขเว มาตุคามสฺส โฆรวิสตา เยภุยฺเยน 
         ภิกฺขเว มาตุคาโม ติพฺพราโค ตตฺริทํ 

         ภิกฺขเว มาตุคามสฺส ทุชิวฺหตา เยภยฺเยน   
         ภิกฺขเว มาตุคาโม ปิสุณวาโจ ตตฺริทํ

         ภิกฺขเว มาตุคามสฺส มิตฺตทุพฺภิตา เยภุยฺเยน   
         ภิกฺขเว มาตุคาโม อติจารินี อิเม โข

         ภิกฺขเว ปญฺจ อาทีนวา มาตุคาเมติ ฯ

                    ทีฆจาริกวคฺโค ตติโย ฯ



ที่มา : https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=22&item=229&items=1&preline=0&pagebreak=0&modeTY=2





อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ปัญจมปัณณาสก์ ทีฆจาริกวรรคที่ ๓
๙. สัปปสูตรที่ ๑


อรรถกถาปฐมสัปปสูตรที่ ๙         
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมสัปปสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
         
บทว่า สภีรุ ได้แก่ เป็นสัตว์ในโพรงนอนหลับสนิทหลับนาน.
บทว่า สปฺปฏิภโย ได้แก่ ภัยย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยงูเห่านั้น.

เพราะฉะนั้น มันจึงชื่อว่า มีภัยเฉพาะหน้า.

บทว่า มิตฺตทุพฺภี ได้แก่ ประทุษร้าย เบียดเบียนมิตร แม้เป็นผู้ให้น้ำและข้าวกิน.
       
ถึงในมาตุคามก็นัยนี้เหมือนกัน.

         จบอรรถกถาปฐมสัปปสูตรที่ ๙ 


@@@@@@@

อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ปัญจมปัณณาสก์ ทีฆจาริกวรรคที่ ๓
๑๐. สัปปสูตรที่ ๒


อรรถกถาทุติยสัปปสูตรที่ ๑๐         
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยสัปปสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
         
บทว่า โฆรวิโส คือ มีพิษร้ายกาจ.
บทว่า ทุชิวฺโห คือ มีลิ้นสองแฉก.
บทว่า โฆรวิสตา คือ เพราะเป็นสัตว์มีพิษร้าย.

แม้ในสองบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.

         จบอรรถกถาทุติยสัปปสูตรที่ ๑๐       

ที่มา : https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=229&fontsz=0
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=230





อรรถกถาเล่มที่ ๑๖ ภาษาบาลีอักษรไทย องฺ.อ. (มโนรถ.๓)
๙. ปฐมกณฺหสปฺปสุตฺตวณฺณนา


[๒๒๙] นวเม สภีรูติ สนิทฺโท มหานิทฺทํ นิทฺทายติ.
          สปฺปฏิภโยติ ตํ นิสฺสาย ภยํ อุปฺปชฺชติ,
          ตสฺมา สปฺปฏิภโย. มิตฺตทุพฺภีติ ปานโภชนทายกมฺปิ
          มิตฺตํ ทุพฺภติ หึสติ.
          มาตุคาเมปิ เอเสว นโย.


@@@@@@@


อรรถกถาเล่มที่ ๑๖ ภาษาบาลีอักษรไทย องฺ.อ. (มโนรถ.๓)
๑๐. ทุติยกณฺหสปฺปสุตฺตวณฺณนา


[๒๓๐] ทสเม โฆรวิโสติ กกฺขฬวิโส.
         ทุชิโวฺหติ ทฺวิธา ภินฺนชิโวฺห.
         โฆรวิสตาติ โฆรวิสตาย.
         เสสทฺวเยปิ เอเสว นโย.

                        ทีฆจาริกวคฺโค ตติโย.



ที่มา : https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=16&A=2043
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=16&A=2047&modeTY=2

 16 
 เมื่อ: กันยายน 01, 2025, 12:33:13 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 17 
 เมื่อ: กันยายน 01, 2025, 10:27:58 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 18 
 เมื่อ: กันยายน 01, 2025, 10:20:57 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.

ปูนปั้นรูปนักดนตรีสตรี ศิลปะทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือประมาณ 1200-1300 ปีมาแล้ว สูง 63 เซนติเมตร พบที่เมืองโบราณคูบัว อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี (ภาพจาก กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร)


ดีเอ็นเอคนไทยภาคกลาง พบเชื่อมโยง 4 กลุ่ม ไท-กะได อินเดีย มอญ เขมร

“คนไทยมาจากไหน?” ยังคงเป็นคำถามคลาสสิกที่ยังหาคำตอบไม่ได้ชัดเจน และคงต้องถกเถียงศึกษากันต่อไปไม่รู้จบสิ้น ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษา วัฒนธรรม แต่ในด้านวิทยาศาสตร์ ที่ “ดีเอ็นเอ” สามารถให้ข้อมูลสืบย้อนกลับไปได้หลายชั่วคนเป็นเวลาน้อยร้อย ๆ ปี จะบอกอะไรได้บ้าง?

รัฐไทยของคนไทยถือกำเนิดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19 ในแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา (รัฐสุโขทัย, รัฐอยุธยา) พื้นที่ตรงนี้เดิมปรากฏการรับวัฒนธรรมจากมอญ และเขมร ซึ่งเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก ขณะที่คนไทยเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได



แผนที่สยาม ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1764 (Author: Bellin, Jacques Nicolas, 1703-1772)


เมื่อรัฐของคนไทยเข็มแข็ง จากอยุธยาสืบต่อมาถึงรัตนโกสินทร์ ทำให้แกนกลางประวัติศาสตร์ของคนไทยจึงครอบคลุมอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสำคัญ ในขณะที่ภาคส่วนอื่น ๆ ยังไม่ถูกมองว่าเป็นคนไทย กว่าที่จะถูกรวมให้เป็นคนไทยเหมือนกันก็หลังจากรัฐไทยสมัยรัชกาลที่ 5 สถาปนาขึ้นเป็นรัฐชาติสมัยใหม่อย่างตะวันตก

ฉะนั้น หากจะพูดถึงดีเอ็นเอของ “คนไทย” ก็ต้องเจาะจงมาที่ “คนไทยภาคกลาง” ซึ่งพูดภาษาตระกูลไท-กะได (ภาษาในกลุ่มเดียวกับ คนเมือง ไทยวน ไทลื้อ ไทเขิน ไทใหญ่ ไทยอง ฯลฯ ในภาคเหนือ, ลาว ลาวอีสาน ผู้ไท แสก ญ้อ กะเลิง ฯลฯ ในภาคอีสาน)

สมมติฐานที่อธิบายต้นกำเนิดของคนไทย มี 2 รูปแบบ คือ 1. การแพร่ของผู้คน (Demic Diffusion) และ 2. การแพร่ของวัฒนธรรม (Cultural Diffusion)

การแพร่ของผู้คน คือ บรรพบุรุษของคนไทยพร้อมกับบรรพบุรุษของกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได อพยพมาจากดินแดนจีนทางตอนใต้ แล้วนำภาษา วัฒนธรรม และพันธุกรรมเหล่านั้นมาด้วย

การแพร่ของวัฒนธรรม คือ บรรพบุรุษของคนไทยเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก (มอญ, เขมร) หรือกลุ่มคนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบนี้มาก่อนที่กลุ่มคนไทจะอพยพลงมา จนต่อมามีการผสมผสานแต่งงานระหว่างกัน ทำให้กลุ่มคนดั้งเดิมหันมาพูดภาษาตระกูลไท-กะได



กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ บริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขง (ลายเส้นฝีมือชาวยุโรป พิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1873)


จากการศึกษาดีเอ็นเอไมโทคอนเดรียของคนไทยภาคกลางในประชากรใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสิงห์บุรี ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก และพิจิตร โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 ส่วนคือ ภาคกลางตอนบน ภาคกลางตอนล่าง ภาคกลางตะวันตก และภาคกลางตะวันออก (ทั้งนี้ ได้ตัดกลุ่มคนที่มีเชื้อสายจีนออกไปจากการศึกษา เพราะเป็นกลุ่มที่ทราบประวัติค่อนข้างแน่ชัดอยู่แล้ว) ซึ่งทำให้พบข้อมูลว่า มีเชื้อสายดีเอ็นเอไมโทคอนเดรียชนิด M พื้นฐาน ซึ่งจะพบมากในกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาดีเอ็นเอฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางกลับไม่สอดรับกับ 2 สมมติฐานที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ โดยพบว่า คนไทยภาคกลางมีรูปแบบการสืบเชื้อสายฝ่ายหญิงตรงกับโมเดลการผสมผสานทางพันธุกรรม กล่าวคือ บรรพบุรุษฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางสืบเชื้อสายร่วมกับกลุ่มคนไทจากสิบสองปันนา และกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะไดอื่น ๆ กระทั่งหลังจากที่อพยพมาปักหลักตั้งถิ่นฐานแล้วได้มีการผสมผสานกับชาวมอญ

นอกจากนี้ ยังพบดีเอ็นเอเชื้อสายชนิด R และ U ซึ่งเชื่อมโยงกับชาวอินเดียอีกด้วย นับว่าเชื้อสายฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางมีความหลากหลายมาก



ชาวสยาม จากจดหมายเหตุลาลูแบร์


ขณะที่ผลการศึกษาดีเอ็นเอฝ่ายชายของคนไทยภาคกลาง กลับให้ข้อมูลที่ต่างจากฝ่ายหญิง โดยพบว่า ชายไทยภาคกลางมีพันธุกรรมที่ใกล้ชิดกับชาวมอญมากกว่าประชากรกลุ่มอื่น ๆ อีกทั้ง ชายไทย และชายมอญก็มีพันธุกรรมส่วนหนึ่งที่คล้ายกับชาวเอเชียใต้หรืออินเดีย โดยเฉพาะชายไทยในจังหวัดกาญจนบุรี และพิจิตร ที่มีพันธุกรรมใกล้ชิดกับชาวอินเดียมากที่สุด

โดยเชื้อสายโครโมโซมวายชนิด H J Q และ R ซึ่งจำเพาะต่อชาวอินเดีย พบในคนไทยภาคกลาง และชาวมอญ ซึ่งพบน้อยในชายไทยจังหวัดราชบุรี และนครนายก, พบร้อยละ 20 ในชายไทยจังหวัดกาญจบุรี สิงห์บุรี และฉะเชิงเทรา, พบร้อยละ 30 ในชายไทยจังหวัดนครปฐม, พบร้อยละ 45 (ซึ่งมากที่สุด) ในชายไทยจังหวัดพิจิตร

และยังพบว่า ชายไทยภาคกลางได้รับสัดส่วนดีเอ็นเอจากชาวอินเดียมากกว่าผู้หญิงร้อยละ 5-15

ในผลการศึกษาดีเอ็นเองานนิติวิทยาศาสตร์ (ไมโครแซทเทลไลต์บนออโทโซมจำนวน 15 ตำแหน่ง) พบว่า คนไทยภาคกลางที่จังหวัดสิงห์บุรี ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก พิจิตร และสุพรรณบุรี มีโครงสร้างพันธุกรรมที่คล้ายกับชาวมอญในจังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี

โดยคนไทยภาคกลาง และชาวมอญ ยังมีสัดส่วนทางพันธุกรรมที่คล้ายกับชาวเขมร และชาวญัฮกุรจากภาคอีสาน (ชาวญัฮกุรมีความเชื่อมโยงย้อนไปถึงสมัยทวารวดี) ประมาณร้อยละ 10-20 ที่เหลือมีพันธุกรรมที่พบมากในกลุ่มคนไทจากภาคเหนือ


คนไทยสมัยรัชกาลที่ 5 (ภาพจาก www.wikimedia.org)


โดยสรุปแล้ว ดีเอ็นเอคนไทยภาคกลางสะท้อนการผสมผสานทางพันธุกรรมที่หลากหลายมาก เกิดจากการผสมผสานของประชากรกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได กลุ่มมอญ กลุ่มเขมร ซึ่งเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก โดยคนไทยภาคกกลางมากกว่าครึ่งหนึ่งได้รับพันธุกรรมจากชาวมอญ ส่วนที่เหลือก็ได้รับผสมผสานมากน้อยแตกต่างกันไปแล้วแต่พื้นที่

ทั้งนี้ เชื้อสายฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางจะสืบย้อนใกล้ชิดกับกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได ส่วนเชื้อสายฝ่ายชายของคนไทยภาคกลางจะสืบย้อนใกล้ชิดกับชาวมอญ ส่วนการผสมผสานของเชื้อสายอินเดียในคนไทยภาคกลางเกิดขึ้นราว 700-500 ปีมาแล้ว

ดีเอ็นเอของชาวอินเดียยังพบในหลายกลุ่มชน ในประเทศไทยพบในคนไทยภาคกลาง คนไทยภาคใต้ ชาวมอญ ชาวญัฮกุร และส่วย ในประเทศเวียดนามพบในชาวจาม ชาวจราย และชาวระแด ในประเทศกัมพูชา และประเทศเมียนมาก็พบดีเอ็นเอของชาวอินเดียเช่นกัน

แม้ข้อมูลของดีเอ็นเอคนไทยภาคกลางเหล่านี้จะสำรวจศึกษาจากคนในยุคปัจจุบัน แต่สิ่งที่ได้ก็สอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดี หลายอย่างที่ค้นพบในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะการเข้ามาของอารยธรรมจากอินเดีย ทั้งด้านการค้า ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม ที่ช่วยก่อร่างบ้านเมืองในแถบนี้ขึ้นเป็นรัฐโบราณที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ ทวารวดี

อ่านเพิ่มเติม :-

    • สุโขทัยทิ้ง “มหายาน” ยกย่องเถรวาท มูลเหตุสงครามกับขอมสบาดโขลญลำพง?
    • “คาถา เย ธัมมา” เขียนด้วยอักษรปัลลวะ พบที่สุพรรณบุรี รากฐานอักษรไทย



ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 28 สิงหาคม 2568
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_157399
อ้างอิง : วิภู กุตะนันท์. ดีเอ็นเอไม่ไทย บรรพชนไทยไม่แท้. มติชน, 2567.

 19 
 เมื่อ: กันยายน 01, 2025, 08:52:14 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



พระจันทร์สีเลือด : สาเหตุ วันที่ และความสำคัญทางจิตวิญญาณ

พระจันทร์สีเลือดเกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์ของโลกเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์นี้ถูกเรียกว่าพระจันทร์สีเลือด เนื่องจากมีเฉดสีที่สวยงาม เมื่อเกิดปรากฏการณ์นี้ ดวงจันทร์จะปรากฏเป็นสีแดงหรือสีน้ำตาลแดง จึงเป็นที่มาของชื่อ "พระจันทร์สีเลือด" แสงสว่างสีแดงของดวงจันทร์นี้จึงได้ชื่อว่า " พระจันทร์สีแดง "

@@@@@@@

เมื่อไหร่จะมีพระจันทร์สีเลือดครั้งต่อไป

ดวงจันทร์สีเลือดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 7 กันยายนพ.ศ.  2568แต่จะไม่ปรากฏในทวีปอเมริกา

ในปี 2026จะมีอีกครั้งในวันที่ 3 มีนาคมและครั้งต่อไปจะเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ( 31 ธันวาคม )  ปี 2028รับรองว่าจะเป็นวันที่น่าจดจำแน่นอน

พระจันทร์สีเลือดครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2568

2025  : 14 มีนาคม, 7 กันยายน
2026  : วันที่ 3 มีนาคม
2027  : ไม่มีพระจันทร์สีเลือด
2028  : วันที่ 31 ธันวาคม

@@@@@@@

อธิบายเรื่องพระจันทร์สีเลือด

ดวงจันทร์ไม่มีแหล่งกำเนิดแสงเป็นของตัวเอง ส่องสว่างกว่าเนื่องจากแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์จะถูกบดบังจากดวงอาทิตย์ และแสงเดียวที่ดวงจันทร์สะท้อนกลับคือแสงที่มาจากขอบโลก

โมเลกุลของอากาศในชั้นบรรยากาศของโลกจะสลายแสงสีน้ำเงินออกไป อีกวิธีหนึ่งคืออธิบายได้ว่าคลื่นแสงถูกยืดออกและกลายเป็นสีแดง โมเลกุลของแสงที่เหลือจะสะท้อนไปยังพื้นผิวของดวงจันทร์ ทำให้เกิดแสงเรืองรองสีแดง และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ดวงจันทร์ปรากฏเป็นสีแดงหรือแดงอมแดงในช่วงที่เกิดจันทรุปราคา

บางครั้งดวงจันทร์อาจดูมีสีแดงมากขึ้นหากมีหมอก ฝุ่น หรือควันในความหนาแน่นสูงบนท้องฟ้า

แม้ว่าจะไม่มีความสำคัญทางดาราศาสตร์ของดวงจันทร์สีเลือดแต่เฉดสีของดวงจันทร์ตามที่มนุษย์รับรู้จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น :-

    - ระดับมลพิษในสถานที่ที่กำหนด
    - การครอบคลุมของเมฆ
    - เศษซาก


@@@@@@@

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับดวงจันทร์สีเลือด

    - แม้ว่าปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงจะเกิดขึ้นปีละสองครั้งหรือสามครั้ง แต่การเห็นดวงจันทร์สีเลือดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากขึ้นอยู่กับสภาพทางภูมิศาสตร์ต่างๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น รวมถึงสถานที่ด้วย

    - พระจันทร์สีเลือดที่เกิดขึ้นในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เรียกอีกอย่างว่า "ซูเปอร์มูน" ซึ่งเป็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ที่ยาวนานที่สุด และประชากรครึ่งหนึ่งของโลกสามารถเห็นปรากฏการณ์นี้ได้

    - ปี 2022 มีปรากฏการณ์จันทรุปราคาคู่ที่แปลกประหลาดที่สุดในรอบ 430 ปี

    - การศึกษาวิจัยระบุว่าปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2572 จะสามารถเกิดขึ้นได้เร็วกว่าปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงในปีนี้มาก โดยมีระยะเวลาเพียง 102 นาทีเท่านั้น





ความสำคัญทางจิตวิญญาณของพระจันทร์สีเลือด

ตามความเชื่อของชาวเมโสโปเตเมียและอินคา ดวงจันทร์สีเลือดเป็นสัญลักษณ์ของความตายและการล่มสลายของกษัตริย์ อย่างไรก็ตาม ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันบางเผ่าเชื่อว่าดวงจันทร์จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อปราศจากความรักและความห่วงใย ดังนั้น ดวงจันทร์สีเลือดจึงหมายความว่าดวงจันทร์ต้องการความรักใคร่

บางวัฒนธรรมเชื่อว่าเมื่อดวงจันทร์สีเลือดเกิดขึ้น หมายความว่าถึงเวลาที่จะสำรวจด้านมืดของตนเองและดำดิ่งลงสู่อารมณ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา เช่น ความโกรธและความโศกเศร้า ดวงจันทร์สีเลือดเป็นสัญลักษณ์ว่าถึงเวลาที่จะปล่อยวางและเยียวยา

พระคัมภีร์ยังมีข้อพระคัมภีร์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับดวงจันทร์สีเลือด ซึ่งผู้เผยพระวจนะทำนายว่าดวงจันทร์จะ "กลายเป็นสีเลือด"

    โยเอล 2:31 ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นความมืด และดวงจันทร์จะกลายเป็นเลือด ก่อน  ที่วันใหญ่และน่ากลัวของพระเจ้าจะมาถึง

    มัทธิว 24:29- พอสิ้นความทุกข์ยากในวันเหล่านั้นแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวจะร่วงหล่นจากฟ้า และพลังอำนาจบนฟ้าจะสั่นสะเทือน

    โยเอล 3:15 ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดไป และดวงดาวก็เลิกส่องแสง


@@@@@@@

เรามี "Twin Blood Moons" ในปี 2022

ในปี พ.ศ. 2565 มีคนเห็นดวงจันทร์สีเลือดสองครั้ง ครั้งแรกในวันที่ 16 พฤษภาคม และอีกครั้งในวันที่ 8 พฤศจิกายน สุริยุปราคาเต็มดวงในปี พ.ศ. 2565 เรียกว่า สุริยุปราคาแฝด เนื่องจากเป็นสุริยุปราคาคู่ที่มีความสมดุลมากที่สุดในรอบสี่ศตวรรษ




Thank to : https://www-calendarr-com.translate.goog/united-states/bloodmoon-causes-date-spiritual-significances/?_x_tr_sl=en&_x_tr_tl=th&_x_tr_hl=th&_x_tr_pto=tc

 20 
 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2025, 10:56:59 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10