.
ปูนปั้นรูปนักดนตรีสตรี ศิลปะทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือประมาณ 1200-1300 ปีมาแล้ว สูง 63 เซนติเมตร พบที่เมืองโบราณคูบัว อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี (ภาพจาก กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร)ดีเอ็นเอคนไทยภาคกลาง พบเชื่อมโยง 4 กลุ่ม ไท-กะได อินเดีย มอญ เขมร“คนไทยมาจากไหน?” ยังคงเป็นคำถามคลาสสิกที่ยังหาคำตอบไม่ได้ชัดเจน และคงต้องถกเถียงศึกษากันต่อไปไม่รู้จบสิ้น ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษา วัฒนธรรม แต่ในด้านวิทยาศาสตร์ ที่ “ดีเอ็นเอ” สามารถให้ข้อมูลสืบย้อนกลับไปได้หลายชั่วคนเป็นเวลาน้อยร้อย ๆ ปี จะบอกอะไรได้บ้าง?
รัฐไทยของคนไทยถือกำเนิดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19 ในแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา (รัฐสุโขทัย, รัฐอยุธยา) พื้นที่ตรงนี้เดิมปรากฏการรับวัฒนธรรมจากมอญ และเขมร ซึ่งเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก ขณะที่คนไทยเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได
แผนที่สยาม ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1764 (Author: Bellin, Jacques Nicolas, 1703-1772)
เมื่อรัฐของคนไทยเข็มแข็ง จากอยุธยาสืบต่อมาถึงรัตนโกสินทร์ ทำให้แกนกลางประวัติศาสตร์ของคนไทยจึงครอบคลุมอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสำคัญ ในขณะที่ภาคส่วนอื่น ๆ ยังไม่ถูกมองว่าเป็นคนไทย กว่าที่จะถูกรวมให้เป็นคนไทยเหมือนกันก็หลังจากรัฐไทยสมัยรัชกาลที่ 5 สถาปนาขึ้นเป็นรัฐชาติสมัยใหม่อย่างตะวันตก
ฉะนั้น หากจะพูดถึงดีเอ็นเอของ “คนไทย” ก็ต้องเจาะจงมาที่ “คนไทยภาคกลาง” ซึ่งพูดภาษาตระกูลไท-กะได (ภาษาในกลุ่มเดียวกับ คนเมือง ไทยวน ไทลื้อ ไทเขิน ไทใหญ่ ไทยอง ฯลฯ ในภาคเหนือ, ลาว ลาวอีสาน ผู้ไท แสก ญ้อ กะเลิง ฯลฯ ในภาคอีสาน)
สมมติฐานที่อธิบายต้นกำเนิดของคนไทย มี 2 รูปแบบ คือ 1. การแพร่ของผู้คน (Demic Diffusion) และ 2. การแพร่ของวัฒนธรรม (Cultural Diffusion)
การแพร่ของผู้คน คือ บรรพบุรุษของคนไทยพร้อมกับบรรพบุรุษของกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได อพยพมาจากดินแดนจีนทางตอนใต้ แล้วนำภาษา วัฒนธรรม และพันธุกรรมเหล่านั้นมาด้วย
การแพร่ของวัฒนธรรม คือ บรรพบุรุษของคนไทยเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก (มอญ, เขมร) หรือกลุ่มคนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบนี้มาก่อนที่กลุ่มคนไทจะอพยพลงมา จนต่อมามีการผสมผสานแต่งงานระหว่างกัน ทำให้กลุ่มคนดั้งเดิมหันมาพูดภาษาตระกูลไท-กะได
กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ บริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขง (ลายเส้นฝีมือชาวยุโรป พิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1873)จากการศึกษาดีเอ็นเอไมโทคอนเดรียของคนไทยภาคกลางในประชากรใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสิงห์บุรี ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก และพิจิตร โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 ส่วนคือ ภาคกลางตอนบน ภาคกลางตอนล่าง ภาคกลางตะวันตก และภาคกลางตะวันออก (ทั้งนี้ ได้ตัดกลุ่มคนที่มีเชื้อสายจีนออกไปจากการศึกษา เพราะเป็นกลุ่มที่ทราบประวัติค่อนข้างแน่ชัดอยู่แล้ว) ซึ่งทำให้พบข้อมูลว่า มีเชื้อสายดีเอ็นเอไมโทคอนเดรียชนิด M พื้นฐาน ซึ่งจะพบมากในกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาดีเอ็นเอฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางกลับไม่สอดรับกับ 2 สมมติฐานที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ โดยพบว่า คนไทยภาคกลางมีรูปแบบการสืบเชื้อสายฝ่ายหญิงตรงกับโมเดลการผสมผสานทางพันธุกรรม กล่าวคือ บรรพบุรุษฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางสืบเชื้อสายร่วมกับกลุ่มคนไทจากสิบสองปันนา และกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะไดอื่น ๆ กระทั่งหลังจากที่อพยพมาปักหลักตั้งถิ่นฐานแล้วได้มีการผสมผสานกับชาวมอญ
นอกจากนี้ ยังพบดีเอ็นเอเชื้อสายชนิด R และ U ซึ่งเชื่อมโยงกับชาวอินเดียอีกด้วย นับว่าเชื้อสายฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางมีความหลากหลายมาก
ชาวสยาม จากจดหมายเหตุลาลูแบร์
ขณะที่ผลการศึกษาดีเอ็นเอฝ่ายชายของคนไทยภาคกลาง กลับให้ข้อมูลที่ต่างจากฝ่ายหญิง โดยพบว่า ชายไทยภาคกลางมีพันธุกรรมที่ใกล้ชิดกับชาวมอญมากกว่าประชากรกลุ่มอื่น ๆ อีกทั้ง ชายไทย และชายมอญก็มีพันธุกรรมส่วนหนึ่งที่คล้ายกับชาวเอเชียใต้หรืออินเดีย โดยเฉพาะชายไทยในจังหวัดกาญจนบุรี และพิจิตร ที่มีพันธุกรรมใกล้ชิดกับชาวอินเดียมากที่สุด
โดยเชื้อสายโครโมโซมวายชนิด H J Q และ R ซึ่งจำเพาะต่อชาวอินเดีย พบในคนไทยภาคกลาง และชาวมอญ ซึ่งพบน้อยในชายไทยจังหวัดราชบุรี และนครนายก, พบร้อยละ 20 ในชายไทยจังหวัดกาญจบุรี สิงห์บุรี และฉะเชิงเทรา, พบร้อยละ 30 ในชายไทยจังหวัดนครปฐม, พบร้อยละ 45 (ซึ่งมากที่สุด) ในชายไทยจังหวัดพิจิตร
และยังพบว่า ชายไทยภาคกลางได้รับสัดส่วนดีเอ็นเอจากชาวอินเดียมากกว่าผู้หญิงร้อยละ 5-15
ในผลการศึกษาดีเอ็นเองานนิติวิทยาศาสตร์ (ไมโครแซทเทลไลต์บนออโทโซมจำนวน 15 ตำแหน่ง) พบว่า คนไทยภาคกลางที่จังหวัดสิงห์บุรี ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก พิจิตร และสุพรรณบุรี มีโครงสร้างพันธุกรรมที่คล้ายกับชาวมอญในจังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี
โดยคนไทยภาคกลาง และชาวมอญ ยังมีสัดส่วนทางพันธุกรรมที่คล้ายกับชาวเขมร และชาวญัฮกุรจากภาคอีสาน (ชาวญัฮกุรมีความเชื่อมโยงย้อนไปถึงสมัยทวารวดี) ประมาณร้อยละ 10-20 ที่เหลือมีพันธุกรรมที่พบมากในกลุ่มคนไทจากภาคเหนือ
คนไทยสมัยรัชกาลที่ 5 (ภาพจาก www.wikimedia.org)โดยสรุปแล้ว ดีเอ็นเอคนไทยภาคกลางสะท้อนการผสมผสานทางพันธุกรรมที่หลากหลายมาก เกิดจากการผสมผสานของประชากรกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได กลุ่มมอญ กลุ่มเขมร ซึ่งเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก โดยคนไทยภาคกกลางมากกว่าครึ่งหนึ่งได้รับพันธุกรรมจากชาวมอญ ส่วนที่เหลือก็ได้รับผสมผสานมากน้อยแตกต่างกันไปแล้วแต่พื้นที่
ทั้งนี้ เชื้อสายฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางจะสืบย้อนใกล้ชิดกับกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได ส่วนเชื้อสายฝ่ายชายของคนไทยภาคกลางจะสืบย้อนใกล้ชิดกับชาวมอญ ส่วนการผสมผสานของเชื้อสายอินเดียในคนไทยภาคกลางเกิดขึ้นราว 700-500 ปีมาแล้ว
ดีเอ็นเอของชาวอินเดียยังพบในหลายกลุ่มชน ในประเทศไทยพบในคนไทยภาคกลาง คนไทยภาคใต้ ชาวมอญ ชาวญัฮกุร และส่วย ในประเทศเวียดนามพบในชาวจาม ชาวจราย และชาวระแด ในประเทศกัมพูชา และประเทศเมียนมาก็พบดีเอ็นเอของชาวอินเดียเช่นกัน
แม้ข้อมูลของดีเอ็นเอคนไทยภาคกลางเหล่านี้จะสำรวจศึกษาจากคนในยุคปัจจุบัน แต่สิ่งที่ได้ก็สอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดี หลายอย่างที่ค้นพบในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะการเข้ามาของอารยธรรมจากอินเดีย ทั้งด้านการค้า ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม ที่ช่วยก่อร่างบ้านเมืองในแถบนี้ขึ้นเป็นรัฐโบราณที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ ทวารวดี
อ่านเพิ่มเติม :-
• สุโขทัยทิ้ง “มหายาน” ยกย่องเถรวาท มูลเหตุสงครามกับขอมสบาดโขลญลำพง?
• “คาถา เย ธัมมา” เขียนด้วยอักษรปัลลวะ พบที่สุพรรณบุรี รากฐานอักษรไทย
ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 28 สิงหาคม 2568
website :
https://www.silpa-mag.com/history/article_157399อ้างอิง : วิภู กุตะนันท์. ดีเอ็นเอไม่ไทย บรรพชนไทยไม่แท้. มติชน, 2567.