ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิธีปฏิบัติ 'นั่งแค็บ-ท้ายกระบะ' ไม่กระทบโครงสร้างรถ  (อ่าน 1053 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


วิธีปฏิบัติ 'นั่งแค็บ-ท้ายกระบะ' ไม่กระทบโครงสร้างรถ

อธิบดีขนส่งฯ ยันผ่อนผันบรรทุกแค็บ-ซ้อนท้ายกระบะได้ แต่ต้องลดความเร็วรถลงเหลือไม่เกิน 80 กม.ต่อชม. ห้ามซิ่งเกิน 120 กม.ต่อชม. เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร ให้ตำรวจออกวิธีปฎิบัติไม่กระทบต่อโครงสร้างรถ ประชาชนไม่เดือดร้อนต้องดัดแปลงรถ

@@@@@

นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยถึงการเข้าร่วมประชุมอกับคณะกรรมการในการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้รถกระบะบรรทุกผู้โดยสารที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า

เบื้องต้นนโยบายเป็นไปในแนวทางเดียวกัน คือ อนุญาตให้นั่งในแค็บและท้ายกระบะได้ โดยมีการผ่อนผันจากที่กฎหมาย 2 ฉบับกำหนดไว้ คือ พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งกรมฯต้องการให้ตำรวจเป็นผู้ออกข้อบังคับผ่อนผัน ตามข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) 3 ข้อ คือ

@@@@@

1. ที่นั่งแค็บรุ่นที่กว้างเพียงพอให้ติดตั้งเข็มขัดนิรภัย 2 หรือ 3 จุด เพื่อให้ผู้โดยสารนั่งได้
2. ท้ายกระบะ หากจำเป็นต้องบรรทุกคนให้บรรทุกได้ไม่เกิน 6 คน และติดตั้งราวจับยึด หรือเข็มขัดนิรภัยเท่าที่ทำได้ และ
3. รถกระบะที่บรรทุกคนให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 80 กม. ต่อ ชม. จากที่กฎหมายเดิมคือ 90 กม.ต่อชม. แต่ประชาชนใช้ความเร็วสูงกว่า 120 กม.ต่อชม.

@@@@@

นายสนิท กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปร่วมกันว่าหน่วยงานใด จะเป็นผู้ออกข้อบังคับการผ่อนผัน อยู่ระหว่างหารือในรายละเอียดเพื่อนำเสนอที่ประชุมอีกครั้ง อย่างไรก็ตามสาเหตุที่กรมฯ ไม่ออกกฎกระทรวง เนื่องจากกรมฯ ดูแลเรื่องโครงสร้างของรถ หากออกเป็นกฎกระทรวงออกมาจะส่งผลต่อลักษณะและโครงสร้างของรถที่เปลี่ยนแปลงไป จะกระทบกับประชาชนที่ต้องมีการดัดแปลงรถจะสร้างความเดือดร้อนและเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม หรือมีการบังคับผู้ผลิตรถ

@@@@@

ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้ข้อกฎหมายเดิม ด้วยการออกข้อบังคับของตำรวจในการผ่อนผัน เช่น การให้รถบรรทุกผู้โดยสารในแค็บและท้ายกระบะได้ แต่เมื่อบรรทุกผู้โดยสารได้แล้ว ต้องใช้ความเร็วลดลง เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร ป้องกันปัญหาการเจกระจาด ซึ่งไม่กระทบต่อโครงสร้างของรถประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการขับรถ และต้องคุมเข้มความเร็วของรถให้ได้ ทำให้ไม่กระทบวิถีการดำรงชีวิตของประชาชนและมีความปลอดภัยมากขึ้น

ขอบคุณที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/569813
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ