« เมื่อ: เมษายน 24, 2017, 02:18:23 pm »
0
วิธีปฏิบัติ 'นั่งแค็บ-ท้ายกระบะ' ไม่กระทบโครงสร้างรถอธิบดีขนส่งฯ ยันผ่อนผันบรรทุกแค็บ-ซ้อนท้ายกระบะได้ แต่ต้องลดความเร็วรถลงเหลือไม่เกิน 80 กม.ต่อชม. ห้ามซิ่งเกิน 120 กม.ต่อชม. เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร ให้ตำรวจออกวิธีปฎิบัติไม่กระทบต่อโครงสร้างรถ ประชาชนไม่เดือดร้อนต้องดัดแปลงรถ
@@@@@
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยถึงการเข้าร่วมประชุมอกับคณะกรรมการในการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้รถกระบะบรรทุกผู้โดยสารที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า
เบื้องต้นนโยบายเป็นไปในแนวทางเดียวกัน คือ อนุญาตให้นั่งในแค็บและท้ายกระบะได้ โดยมีการผ่อนผันจากที่กฎหมาย 2 ฉบับกำหนดไว้ คือ พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งกรมฯต้องการให้ตำรวจเป็นผู้ออกข้อบังคับผ่อนผัน ตามข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) 3 ข้อ คือ
@@@@@
1. ที่นั่งแค็บรุ่นที่กว้างเพียงพอให้ติดตั้งเข็มขัดนิรภัย 2 หรือ 3 จุด เพื่อให้ผู้โดยสารนั่งได้
2. ท้ายกระบะ หากจำเป็นต้องบรรทุกคนให้บรรทุกได้ไม่เกิน 6 คน และติดตั้งราวจับยึด หรือเข็มขัดนิรภัยเท่าที่ทำได้ และ
3. รถกระบะที่บรรทุกคนให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 80 กม. ต่อ ชม. จากที่กฎหมายเดิมคือ 90 กม.ต่อชม. แต่ประชาชนใช้ความเร็วสูงกว่า 120 กม.ต่อชม.
@@@@@
นายสนิท กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปร่วมกันว่าหน่วยงานใด จะเป็นผู้ออกข้อบังคับการผ่อนผัน อยู่ระหว่างหารือในรายละเอียดเพื่อนำเสนอที่ประชุมอีกครั้ง อย่างไรก็ตามสาเหตุที่กรมฯ ไม่ออกกฎกระทรวง เนื่องจากกรมฯ ดูแลเรื่องโครงสร้างของรถ หากออกเป็นกฎกระทรวงออกมาจะส่งผลต่อลักษณะและโครงสร้างของรถที่เปลี่ยนแปลงไป จะกระทบกับประชาชนที่ต้องมีการดัดแปลงรถจะสร้างความเดือดร้อนและเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม หรือมีการบังคับผู้ผลิตรถ
@@@@@
ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้ข้อกฎหมายเดิม ด้วยการออกข้อบังคับของตำรวจในการผ่อนผัน เช่น การให้รถบรรทุกผู้โดยสารในแค็บและท้ายกระบะได้ แต่เมื่อบรรทุกผู้โดยสารได้แล้ว ต้องใช้ความเร็วลดลง เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร ป้องกันปัญหาการเจกระจาด ซึ่งไม่กระทบต่อโครงสร้างของรถประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการขับรถ และต้องคุมเข้มความเร็วของรถให้ได้ ทำให้ไม่กระทบวิถีการดำรงชีวิตของประชาชนและมีความปลอดภัยมากขึ้น
ขอบคุณที่มา :
https://www.dailynews.co.th/economic/569813