มณฑป "พระอจนะ" วัดศรีชุม สุโขทัย ก่อนการบูรณะ ภาพถ่ายในราวสมัยรัชกาลที่ 6 • สรุป
เรื่องราวประวัติศาสตร์ไทยสมัยก่อนการสร้างพระนครศรีอยุธยาขึ้นไปนั้น ควรศึกษากันใหม่โดยนำเอาหลักฐานต่างๆ ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดีและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบตีความกันใหม่ให้อยู่ในขอบเขตของหลักและกระบวนการวิจัยที่ถูกต้อง แนวความคิดในเรื่องเชื้อชาติ และเรื่องการที่ชนชาติหนึ่งขับไล่ทำลายล้างชนอีกชาติหนึ่งแล้วครอบครองดินแดนแทนนั้นควรได้พิจารณาศึกษากันใหม่
การเป็นคนไทยนั้นไม่ควรเน้นหนักในเรื่องเชื้อชาติ ดังเช่นที่อ้างว่าคนไทยในประเทศไทยเป็นผู้ที่สืบมาจากคนไทยที่อพยพมาจากดินแดนในประเทศจีน เพราะนอกจากพิสูจน์อะไรไม่ได้แล้วยังทำให้เราละเลยบรรพบุรุษผู้ที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยแต่เดิม ซึ่งพวกฝรั่งและนักประวัติศาสตร์ที่คอยตามฝรั่งไปตั้งชื่อให้เขาว่าเป็นชาติมอญบ้างขอมบ้าง
ผู้เขียนเห็นว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยนั้น ควรเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ของชาติบ้านเมืองมากกว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ของเชื้อชาติ ควรเนันหนักในเรื่องประชาชนที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยก่อน พวกเหล่านี้อาจจะประกอบด้วยเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่ผสมปนเปกันอยู่ มีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันและได้รับวัฒนธรรมอินเดียเหมือนกัน ประชาชนเหล่านี้ไม่มีความรู้สึกในเรื่องเชื้อชาติว่าตนเป็นคนไทย ขอม มอญ หรือเขมร ดังเช่นฝรั่งและนักประวัติศาสตร์ท่านเรียก หากอยู่แยกกันเป็นแคว้นๆ และเรียกตัวเองว่าเป็นชาวแคว้นนั้นแคว้นนี้ เช่น ชาวกัมพูชา ชาวสุโขทัย ชาวอยุธยา หรือคนเขตโน้นเขตนี้ เช่น ชาวเมืองเหนือ ชาวเมืองใต้ เป็นต้น หรือเรียกตามชื่อของเผ่าพันธุ์และความแตกต่างในทางวัฒนธรรม เช่น ในหนังสือยวนพ่าย และลิลิตพระลอ เรืยกชาวเมืองเหนือว่ายวนบ้าง ลาวบ้าง และยังมีกาว แกว อีกเป็นต้น
ในแคว้นหนึ่งหรือรัฐหนึ่งอาจจะมีคนหลายเผ่าพันธุ์อยู่รวมกัน มีการเกี่ยวข้องกับแคว้นอื่นๆ ในเรื่องวัฒนธรรมและในเรื่องการแต่งงาน เพราะฉะนั้นกษัตริย์แคว้นหนึ่งอาจจะไปเป็นกษัตริย์ปกครองอีกแคว้นหนึ่งได้ ความสัมพันธ์เช่นนี้อาจมีทั้งการแย่งชิงหรืออ้างสิทธิในราชสมบัติของบ้านเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้มีการรบพุ่งกัน หรือการช่วยเหลือเป็นไมตรีต่อกันได้
อนึ่งการรบพุ่งกันแต่ละครั้งก็มักจะมีการกวาดต้อนผู้คนจากเมืองหนึ่ง แคว้นหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งได้ บ้านเมืองแต่ละแห่งในดินแดนประเทศไทย หรือกัมพูชา หรือพม่า จึงมักประกอบด้วยประชาชนที่มีเผ่าพันธุ์ต่างๆ รวมกัน ซึ่งต่อมาก็รับวัฒธรรมของแคว้นนั้นบ้านเมืองนั้น เลยกลายเป็นประชาชนของแคว้นนั้นไป ยกตัวอย่างเช่น ประชาชนในภาคกลางของประเทศไทย ปัจจุบันถ้ามองกันจากเหตุการณ์และหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้ว จะเห็นว่ามีคนมอญจากประเทศพม่า คนลาวจากประเทศลาวที่อพยพเข้ามาและถูกกวาดต้อนเข้ามามากมาย คนเหล่านี้ได้ผสมปนเปกับประชาชนเดิม และรับวัฒนธรรมของดินแดนที่ตนเข้ามาอยู่ เลยกลายเป็นคนไทยไป
ประวัติศาสตร์ไทยควรเป็นเรื่องของแคว้นต่างๆ ที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยเหล่านี้ ซึ่งค่อยๆ วิวัฒนาการรวมกันจนกลายป็นประเทศชาติ ซึ่งเรียกว่าประเทศไทยในปัจจุบัน ผู้เขียนถือว่าคำว่าไทยในที่นี้หมายถึงประเทศชาติ หรือถ้าเป็นคนก็หมายถึงสัญชาติ และสิ่งที่ทำให้เป็นคนไทยได้นั้นก็คือการอยู่ในดินแดนเดียวกันประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งมีวัฒนธรรมเหมือนกัน อันแสดงให้เห็นว่าแตกต่างไปจากประชาชนในดินแดนอื่นประเทศอื่น
@@@@@@@
ดังนั้น เมื่อเน้นหนักในเรื่องดินแดนและวัฒนธรรมแล้ว ประชาชนที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยแต่โบราณซึ่งนักประวัติศาสตร์ท่านเรียกว่าเป็นมอญและขอมนั้นก็คือคนไทยนั่นเอง เป็นบรรพบุรุษในทางวัฒนธรรมแก่คนไทยในประเทศไทย หรือถ้าจะพูดถึงการเป็นบรรพบุรุษในทางสายเลือดแล้ว ท่านเหล่านั้นก็น่าจะเป็นมากกว่าคนไทยที่อยู่ในดินแดนประเทศจีนที่อพยพเข้ามา
คำว่า ไทย นั้นเป็นคำที่เกิดขึ้นใหม่เมื่อไม่นานมานี้เอง เมื่อพวกฝรั่งนักหาเมืองขึ้นมาแบ่งแยกดินแดนในแหลมทองให้เป็นประเทศ และกระตุ้นให้ประชาชนที่อยู่ในแคว้นต่างๆ ในดินแดนนี้มีความรู้สึกในเรื่องชาติในลักษณะที่เป็นเชื้อชาติขึ้นมา จึงเกิดมีชาวไทย ชาวลาว ชาวมอญ ชาวเขมรขึ้น ถ้าเมื่อสอบสวนให้ดีแล้วการเป็นคนไทยก็ดี เขมรก็ดี ขอมก็ดี มอญก็ดี เป็นกันด้วยเรื่องของวัฒนธรรมทั้งนั้น พิสูจน์ไม่ได้เลยว่าเป็นสายเลือดหรือเป็นด้วยลักษณะส่วนสัดในร่างกายแตกต่างกัน
การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยก่อนการสร้างพระนครศรีอยุธยานั้น ควรเลิกแนวความคิดในเรื่องมอญครองดินแดนเมืองไทยอยู่ก่อน ต่อมาขอมจากประเทศเขมรเข้ามาแทนที่แล้วจึงคนไทยเข้ามาไล่ขอม การทำเช่นนี้นั้นนอกจากจะเอาความรู้สึกในเรื่องเชื้อชาติไปใส่ให้กับคนในสมัยนั้นแล้ว ยังเป็นการแบ่งแยกเขตแดนทางการเมือง เช่น นี่เป็นประเทศไทย นั่นเป็นประเทศขอม ประเทศมอญ ให้กับคนในสมัยนั้นอีกด้วย หลักฐานที่มีอยู่ขณะนี้นั้นมีแต่เรื่องของแคว้นต่างๆ และความสัมพันธ์ของแคว้นเหล่านั้นทั้งในทำนองที่เป็นไมตรีและรบพุ่งกันเท่านั้น หาได้บ่งแสดงว่าประชาชนจากประเทศหนึ่งมามีอำนาจปกครองอีกประเทศหนึ่งไม่
ยกตัวอย่างเช่น ที่ว่าขอมจากประเทศกัมพูชาได้ดินแดนในประเทศไทยทั้งหมดเป็นเมืองขึ้นเป็นต้น อันที่จริงก็มีการเกี่ยวข้องกันระหว่างอาณาจักรกัมพูชากับเมืองลพบุรีเท่านั้น แต่ว่าลพบุรีก็ไม่ได้เป็นทั้งหมดของดินแดนประเทศไทย แคว้นอื่นๆ เขาก็เป็นอิสระอยู่
อีกเรื่องหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ไม่ควรหลงก็คือ การใช้ศิลปกรรมมาเป็นเครื่องแสดงถึงอำนาจทางการเมืองของแคว้นหนึ่งมายังอีกแคว้นหนึ่ง และเรื่องการหลงจารึกอย่างงมงาย
เรื่องศิลปกรรมนั้น ถ้าหากไม่มีหลักฐานในทางเอกสารบ่งถึงอำนาจทางการเมืองแล้ว ก็แปลความได้แต่เพียงอย่างเดียวว่าเป็นการเกี่ยวข้องในทางวัฒนธรรมระหว่างดินแดนหนึ่งกับดินแดนหนึ่งเท่านั้น
@@@@@@@
ส่วนเรื่องจารึกนั้นถ้าเกี่ยวกับอำนาจทางการเมืองของแคว้นหนึ่งไปยังอีกแคว้นหนึ่งนั้น ควรมีการตรวจสอบวัดหาความแน่นอน และความน่าเชื่อถือได้จากหลักฐานและเหตุผลในด้านอื่นๆ เสียก่อน เพราะจารึกนั้นก็เหมือนกับการโฆษณาชวนเชื่อ มักจะกล่าวเยินยอหรือสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ และบ้านเมืองที่เป็นเจ้าของจารึกนั้นจนเกินเลยไป ยกตัวอย่างเช่นที่ว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ถือว่าเป็นมหาราชแห่งกรุงกัมพูชานั้น เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มีบ้านเมืองขึ้นมากมายเพราะมีจารึกกล่าวถึงเรื่องราวไว้ นักประวัติศาสตร์ท่านเลยเหมาไปว่าดินแดนประเทศไทยก็เป็นเมืองขึ้นของกรุงกัมพูชาด้วย แต่เมื่อตรวจสอบดูให้ดีแล้วปรากฏว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงรบพุ่งได้ชัยชนะแต่เพียงกับพวกจามและได้อาณาจักรจามปาเป็นเมืองขึ้นเท่านั้น หาได้ระบุถึงการรบพุ่งปราบปรามเมืองอื่นๆ แคว้นอื่นๆ ไว้ในอำนาจเลย
แต่ในขณะเดียวกันนั้น ศิลาจารึกสะท้อนให้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในลักษณะที่เป็นธรรมราชา ทรงเป็นไมตรีกับบ้านเมืองและแคว้นต่างๆ เช่น ทรงประทานราชธิดาให้กับกษัตริย์ของบ้านเมืองอื่นๆ ทรงสร้างที่พักคนเดินทาง สร้างโรงพยาบาลในดินแดนอื่นๆ การกระทำเช่นนี้เป็นการเลียนแบบพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย
ผู้เขียนเชื่อความยิ่งใหญ่ในการเป็นธรรมราชาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และความยิ่งใหญ่อันนี้กษัตริย์ของแคว้นอื่นๆ ก็ยกย่องกรุงกัมพูชาในระยะนั้น จึงอาจจะเป็นศูนย์กลางในทางวัฒนธรรม วิชาการ และศิลปกรรมของบ้านเมืองแคว้นต่างๆ ในแหลมทองก็ได้ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่บ่งว่ามีอำนาจทางการเมืองเหนือดินแดนอื่นๆ โดยเฉพาะในประเทศไทย
ผู้เขียนใคร่เสนอว่าแนวความคิดในเรื่องธรรมราชานี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะศึกษาเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในดินแดนประเทศไทย หรือดินแดนในแหลมทองทั้งหมด
อันความยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ในสมัยโบราณของดินแดนในภาคนี้นั้น มักจะเกี่ยวกับการเป็นธรรมราชาอยู่มาก พระมหากษัตริย์องค์ใดที่ประพฤติกรรมส่งเสริมบำรุงพระศาสนาก็มักจะได้รับยกย่องว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเดชานุภาพ เป็นที่ยกย่องนับถือของบ้านเมืองอื่นๆ ทำให้บ้านเมืองมีการเกี่ยวข้องทั้งในเรื่องการค้า เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศิลปกรรมกับเมืองอื่นๆ
ยกตัวอย่างเช่นในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงออกผนวช พระเจ้าติโลกราชซึ่งเป็นมหาราชทางลานนาไทย และเป็นคู่ปรปักษ์ที่สำคัญ ยังกลับมาเป็นไมตรียกย่อง และส่งทูตมาร่วมในพระราชพิธีผนวชด้วย กษัตริย์ทางหงสาวดีก็ทรงยกย่องและติดต่อด้วย พระเจ้าบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยาก็เป็นอีกพระองค์หนึ่งในเรื่องการเป็นธรรมราชาที่ทั้งเมืองมอญ พม่า และลังกายกย่องเชิงอรรถ :-
(-1) ศรีศักร วัลลิโภดม "ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย" , พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2524 ในหนังสือ นภศูล (ฉบับที่ 1) ชุมนุมศึกษาวัฒนธรรม-โบราณคดี สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร , พิมพ์ครั้งที่สอง (สำนักพิมพ์เมืองโบราณ) พ.ศ. 2524 ในหนังสือ ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย หน้า 5-14
(-2) ศาสตราจารย์สุด แสงวิเชียร, มอญในอดีต และปัจจุบัน, สมัยทวารวดี, (พระนคร : โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์ พิมพ์เป็นบรรณาการในงานฌาปนกิจศพ ณ วัดธาตุทองฯ)
(-3) ศรีศักร วัลลิโภดม, “อำนาจทางการเมืองของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7” นิตยสาร ช่อฟ้า ฉบับที่ 6 ปีที่ 1, พฤษภาคม พ.ศ. 2509
(-4) ศรีศักร วัลลิโภดม, “กรุงอโยธยาในประวัติศาสตร์,” สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับพิเศษ 3 ว่าด้วยประวัติศาสตร์ไทยตามทัศนคติสมัยปัจจุบัน, เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2509
ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : สุจิตต์ วงษ์เทศ | วันที่ 11 กันยายน 2566 - 16:51 น.
URL :
https://www.matichon.co.th/columnists/news_4175215