ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สุโขทัย ‘ไม่ใช่’ ราชธานีแห่งแรก อโยธยาเก่าแก่กว่าสุโขทัย โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ  (อ่าน 896 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

มณฑป "พระอจนะ" วัดศรีชุม สุโขทัย ก่อนการบูรณะ ภาพถ่ายในราวสมัยรัชกาลที่ 6


สุโขทัย ‘ไม่ใช่’ ราชธานีแห่งแรก อโยธยาเก่าแก่กว่าสุโขทัย โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ

กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย เพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อมากกว่า 100 ปีมาแล้ว จากนั้นถูกสถาปนาเป็นประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยเพื่อใช้ครอบงำสังคมไทย ผ่านสถานศึกษาทุกระดับ และผ่านสื่อสารพัดทั้งของราชการและของเอกชน ยังมีอิทธิพลสืบเนื่องจนทุกวันนี้

ประวัติศาสตร์เพิ่งสร้างใหม่เรื่องกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย เสมือนเรื่องเล่าศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ หมายถึงคิดต่างไม่ได้ หรือคัดค้านไม่ได้ว่าสุโขทัย “ไม่ใช่” แห่งแรก หากละเมิดหรือคิดต่างจะถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าไม่รักชาติ ไม่รักสถาบัน เท่ากับต้องอยู่ยาก

หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 การเมืองแบบประชาธิปไตย มีนักค้นคว้าและนักวิชาการทั้งไทยและสากลศึกษาค้นคว้าวิจัย พบว่ากรุงสุโขทัย “ไม่ใช่” ราชธานีแห่งแรกของไทย โดยสรุปดังนี้

   (1) ไม่พบหลักฐานวิชาการสนับสนุนว่ากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย

   (2) ที่ว่ากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย ถูกสร้างขึ้นลอยๆ เพื่อหวังผลโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองชาตินิยม “คลั่งเชื้อชาติ” เรื่องคนไทย เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์

   (3) กรุงสุโขทัยราชธานีแห่งแรกของไทย ถูกสร้างทางการเมืองให้เป็น “รัฐในอุดมคติ” แต่วิชาการสากลไม่เชื่อถือ ในที่สุดกรุงสุโขทัยกลายเป็น “แดนเนรมิต” ที่ตลกขบขันของวงวิชาการสากล

   (4) หลักฐานวิชาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีและมานุษยวิทยา สนับสนุนหนักแน่นว่าอโยธยาเก่าแก่กว่าสุโขทัย ดังนั้นอโยธยาเป็นเมืองตั้งต้นคนไทย, ภาษาไทย, และประเทศไทย

   (5) ชนชั้นนำต้องการให้สุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย ถ้ายอมรับอโยธยาเป็นเมืองมีอายุเก่าแก่กว่าก็เท่ากับสุโขทัยไม่เป็นราชธานีแห่งแรก ย่อมกระทบเรื่องสำคัญอื่นๆ ที่เพิ่งสร้าง ได้แก่ พ่อขุนรามคำแหงประดิษฐ์อักษรไทย ฯลฯ ดังนั้นเมือง อโยธยาต้องถูกด้อยค่าและถูกบังคับสูญหายจากความทรงจำ ทำให้สังคมไม่รู้จัก หรือรู้จักน้อยเกี่ยวกับเมืองอโยธยา ด้วยการไม่กล่าวถึงเมืองอโยธยาในประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย

กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย มีเหตุจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหลักฐานวิชาการหลายอย่างเกี่ยวเนื่องกัน ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเหล่านั้น ศรีศักร วัลลิโภดม นักปราชญ์สยามประเทศ (บรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ และอดีตอาจารย์ประจำภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร) ประมวลข้อมูลทั้งหมดเป็นบทความวิชาการเมื่อ 42 ปีที่แล้ว หรือ พ.ศ. 2524 เรื่อง ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งหาอ่านไม่ง่าย จึงจะคัดทั้งหมดมาแบ่งปันเพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน

    @@@@@@@

    • ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย (-1)

เรื่องราวในประวัติศาสตร์ไทย สมัยก่อนการสร้างพระนครศรีอยุธยา ถ้ามองกันตามความก้าวหน้าของแนวคิด ทฤษฎี เทคนิค และวิธีค้นคว้าตามหลักวิจัยในวิชาสังคมศาสตร์แล้วเป็นเรื่องราวที่ล้าสมัย สร้างขึ้นจากหลักฐานที่มีไม่เพียงพอ แต่ว่าตีความหมายเกินเลยไปตามความลำเอียง และแนวการศึกษาที่แคบไม่เป็นวิทยาศาสตร์ของผู้ที่เรียกว่านักประวัติศาสตร์ในสมัยก่อน

เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะนักประวัติศาสตร์เหล่านั้นท่ านเอาแนวความคิดในเรื่องเชื้อชาติเข้าไปปะปนกับเรื่องวัฒนธรรม ปัจจุบันความเชื่อในเรื่องเชื้อชาตินั้น นักวิชาการ และนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เห็นพ้องกันแล้วว่าเป็นความเชื่อที่เหลวไหล พิสูจน์อะไรไม่ได้ แต่มีผลทำให้เกิดความขัดแย้งกีดกันและฆ่าฟันกันในสังคมของมนุษย์ ดังเช่นพวกเยอรมันสมัยนาซีทารุณและฆ่าฟันพวกยิว เป็นต้น

เพราะฉะนั้นผู้เขียนจึงใคร่เสนอว่าพวกเราซึ่งเป็นนักศึกษาที่ใฝ่หาข้อเท็จจริงควรจะหันมามองประวัติศาสตร์ไทยกันใหม่ และเริ่มทำการค้นคว้าวิจัยกันใหม่ หรือยัง.?

การนำเชื้อชาติเข้ามาปะปนกับเรื่องวัฒนธรรมในประวัติศาสตร์ไทยนั้นพอจะแยกปัญหาออกมาเป็น 4 เรื่องใหญ่ๆ ด้วยกัน และแต่ละเรื่องก็มีความเกี่ยวเนื่องกันดังต่อไปนี้

    1. เรื่องการอพยพของชนชาติไทยจากดินแดนประเทศจีนลงสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน
    2. เรื่องประชาชนที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยก่อนที่ชนชาติไทยจะอพยพลงมา เป็นชนชาติมอญและเขมร
    3. เรื่องการก่อตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของชนชาติไทยในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน
    4. เรื่องพระเจ้าอู่ทองหรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 อพยพผู้คนหนีโรคระบาดจากเมืองอู่ทองมาสร้างพระนครศรีอยุธยา

ปัญหาทั้ง 4 เรื่องนี้ สองเรื่องแรกเป็นสาเหตุที่นำเอาความเชื่อในเรื่องเชื้อชาติเข้ามาปนกับวัฒนธรรม ส่วนสองเรื่องหลังเป็นผลที่สืบเนื่องมาจาก 2 เรื่องแรก

     @@@@@@@

     • เรื่องการอพยพของชนชาติไทยจากเมืองจีน

เรื่องนี้ว่าด้วยแหล่งกำเนิดของชนชาติไทยพอสรุปย่อๆ ได้ว่า แต่เดิมชนชาติไทยมีหลักแหล่งอยู่แถบเขาอัลไตในตอนกลางของทวีปเอเชีย ต่อมาอพยพลงสู่ลุ่มน้ำฮวงโหและแยงซีเกียงตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้น เช่น เมืองลุง เมืองปา อาณาจักรไทยเมือง อาณาจักรอ้ายลาว เป็นต้น ต่อมาถูกชาวจีนรุกราน เลยถอยร่นลงมาทางใต้ ส่วนหนึ่งตั้งตนเป็นใหญ่ในยูนนานสร้างอาณาจักรน่านเจ้าขึ้น อีกส่วนหนึ่งแตกฉานซ่านกระเซ็นลงมาเป็นพวกไทยใหญ่ ไทยลื้อ และไทยอื่นๆ อีกหลายพวก พวกที่เข้ามาในดินแดนประเทศไทยก็กลายเป็นคนไทยปัจจุบัน ส่วนพวกที่อพยพเข้าไปในประเทศลาวก็กลายเป็นชาวลาวไป

เรื่องราวประวัติศาสตร์ตอนนี้เมื่อตรวจสอบจากหนังสือสำคัญๆ เช่น เรื่องแหลม อินโดจีนโบราณ เรื่องของชนชาติไทย หลักไทย แสดงบรรยายพระราชพงศาวดารสยาม เป็นต้น ก็พอจะสรุปได้ว่า มีที่มาดังต่อไปนี้

ประการแรก : ถือว่าปัจจุบันยังมีชาวไทยเผ่าต่างๆ อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน

ประการที่สอง : ศึกษาจากตำนาน พงศาวดารของชนชาติต่างๆ รวมทั้งของจีนด้วย เรื่องใดที่มีภาษาถ้อยคำคล้ายกันกับสำเนียงไทยก็เหมาเอาว่าเป็นชาวไทย ยกตัวอย่างเช่นคำว่าไต้หมงก็แปลว่าไทยเมือง และ

ประการที่สาม : เชื่อถือตามคำบอกเล่าหรือบันทึกของหมอสอนศาสนา หรือนักปราชญ์ชาวต่างประเทศที่บอกว่าชนชาติไทยน่าจะอยู่ที่โน่นที่นี่มาก่อน

เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ไทยที่กล่าวมานี้ แต่งขึ้นมาจากหลักฐานข้อเท็จจริงที่ไม่เพียงพอและรัดกุม โดยเหตุนี้จึงมีนักวิชาการสมัยหลังๆ คัดค้านเอาได้ ยกตัวอย่างเช่น มีผู้คัดค้านว่าอาณาจักรน่านเจ้าไม่ได้เป็นของชนชาติไทย เป็นต้น

ผู้เขียนยอมรับว่า ปัจจุบันมีคนไทยกระจายเป็นเผ่าต่างๆ ในดินแดนตอนใต้ของประเทศจีนจริง ผู้คนเหล่านี้แต่เดิมอาจจะมีการโยกย้ายอพยพเข้ามาในดินแดนทางตอนเหนือของประเทศไทย เพราะเหตุว่ามีนิทานนิยายเก่าๆ ในลักษณะที่เป็นนิยายศักดิ์สิทธิ์ (myth) เช่น ตำนานเรื่องขุนบรม เรื่องท้าวฮุ่งหรือเรื่องแถนลอ หลงเหลืออยู่ให้เห็น แต่ว่าไม่แน่ใจและไม่เห็นด้วยที่ว่าชาวไทยที่อพยพนั้นจะเป็นต้นตอหรือบรรพบุรุษ หรือว่าเกี่ยวข้องกับประชาชนคนไทยในประเทศไทยปัจจุบัน

@@@@@@@

จึงใคร่แย้งว่า การที่คนไทยในเมืองไทยปัจจุบันมีภาษาคล้ายคลึงกับคนไทยในประเทศจีนนั้นเป็นการแสดงหรือว่าเป็นเชื้อสายหรือเชื้อชาติเดียวกัน ภาษาเป็นวัฒนธรรม (culture) อย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดจากคนกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่งได้ ถ้าหากคนไทยในเมืองจีนที่อพยพเข้ามาในเมืองไทยเป็นบรรพบุรุษของชาวไทยจริง คนเหล่านี้จะมาตั้งตัวอยู่โดดๆ โดยไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชนชาติอื่นหรือ ถ้าหากเกี่ยวข้องคนไทยมิกลายเป็นลูกผสมไปหรือ และเมื่อกลายเป็นลูกผสมแล้วบรรพบุรุษที่มาผสมกับบรรพบุรุษไทยที่มาจากเมืองจีนไปอยู่ไหนเสีย ท่านเหล่านั้นควรถูกลืมเสียหรือ.?

ที่ตั้งปัญหาขึ้นเช่นนี้ ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติของคนไทยในเมืองไทยปัจจุบันกับพวกที่อพยพมาจากเมืองจีน หรือที่อยู่ในประเทศจีนปัจจุบัน เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ ถ้าจะมองให้แน่ชัดเข้าไปอีกก็ดูเพียงแค่ปัจจุบันนี้ ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นคนไทยนั้นเป็นไทยที่ตรงไหน ที่เชื้อชาติหรือที่วัฒนธรรม ถ้าหากเป็นที่เชื้อชาติแล้วเขามีเลือดไทยอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ มีเลือดทางจีนอยู่ที่เปอร์เซ็นต์ หรือในสมัยต่อไปมีเลือดชาวอเมริกันกี่เปอร์เซ็นต์.?

อันดินแดนประเทศไทยตลอดเลยไปจนถึงแหลมมลายูนั้น เป็นบริเวณที่มีชนหลายภาษาหลายเผ่าพันธุ์เคยอยู่อาศัยมีการผสมปนเปมาช้านานแล้ว และการผสมปนเปนี้เอง ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ที่ค้นคว้าในเรื่องกลุ่มเลือดมีความเห็นว่าคนไทยในเมืองไทย และพวกมลายู พวกฟิลิปปินส์ และพวกอินโดนีเชีย เป็นต้น มีกลุ่มเลือดคล้ายกัน จึงตั้งสมมุติฐานว่าคนไทยไม่ได้อพยพมาจากประเทศจีน แต่ว่ามีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในบริเวณเอเชียอาคเนย์นี้เอง

ปัญหาในเรื่องนี้จึงมีอยู่ว่าในการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ไทยปัจจุบัน เราจะยังคงเน้นหนักเรื่องราวของชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนประเทศไทย ซึ่งวัฒนธรรมของเขาได้ตกทอดมาเป็นวัฒนธรรมไทย ของผู้ที่เรียกตนว่าเป็นคนไทยในเมืองไทยปัจจุบัน



มณฑป "พระอจนะ" วัดศรีชุม สุโขทัย ก่อนการบูรณะ ภาพถ่ายในราวสมัยรัชกาลที่ 6

    • เรื่องประชาชนในเมืองไทย แต่เดิมเป็นชนชาติมอญและขอม

เรื่องราวประวัติศาสตร์ตอนนี้ พอย่อได้ว่าก่อนที่ชาวไทยอพยพลงมาจากประเทศจีนนั้น มีชนสองชาติใหญ่ๆ ปกครองดินแดนอยู่ก่อนคือพวกมอญและขอม ในขั้นแรกพวกมอญเป็นใหญ่อยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มีอาณาจักรทวารวดีเป็นสำคัญ อำนาจของทวารวดีได้แผ่ไปทั่วประเทศ ต่อมาอำนาจมอญเสื่อมลง พวกขอมหรือเขมรจากประเทศกัมพูชาได้แผ่อำนาจเข้ามา ตีได้อาณาจักรทวารวดีแล้วตั้งลพบุรีหรือละโว้เป็นเมืองสำคัญ ในการปกครองของขอมอำนาจขอมก็ครอบคลุมไปทั่วดินแดนประเทศไทย

ระยะที่ขอมเรืองอำนาจอยู่นั้น พวกคนไทยได้ค่อยๆ อพยพเข้ามาแล้วเป็นกลุ่มชนเล็กๆ ภายใต้การปกครองของขอม ต่อมาเมื่อสิ้นรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งเป็นมหาราชองค์สุดท้ายของกัมพูชา อำนาจขอมเสื่อมลง ชาวไทยที่อยู่ใต้การปกครองก็มีกำลังเข้มแข็งขึ้นและในพุทธศตวรรษที่ 19 ก็ตั้งตนเป็นอิสระ ตั้งกรุงสุโขทัยขึ้นเป็นอาณาจักรเป็นแห่งแรก

เรื่องราวของประวัติศาสตร์ตามที่ย่อมานี้ นักประวัติศาสตร์ท่านสร้างขึ้นจากหลักฐานซึ่งพอจะสรุปได้เป็น 3 ประการ คือ

    1. ศิลาจารึก จดหมายเหตุของชาวต่างประเทศ และลักษณะศิลปกรรมของโบราณสถานและโบราณวัตถุ หลักฐานพวกนี้ท่านถือว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญ มีความเชื่อถือได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
    2. ตำนาน พงศาวดาร นิทานและคำเล่าสืบกันมา หลักฐานพวกนี้จะเชื่อถือได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานประเภทที่หนึ่งสนับสนุน
    3. คำวินิจฉัย บทความ ข้อเขียนของบรรดานักปราชญ์ หลักฐานพวกนี้ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของนักปราชญ์ ใครมีชื่อเสียงดีก็เชื่อถือได้มาก

ในการนำเอาหลักฐานทั้ง 3 ประเภทมาสร้างเป็นประวัติศาสตร์นั้น นักประวัติศาสตร์ท่านนำเอาแนวความคิดหรือทฤษฎีในเรื่องเชื้อชาติ และเรื่องความเชื่อที่ว่าชนชาติหนึ่งรุกรานชนอีกกลุ่มหนึ่งยึดได้ดินแดนของผู้ที่ถูกรุกราน แล้วเข้าครอบครองแทน ส่วนผู้ที่ถูกรุกรานนั้นก็สูญหายกลายชาติไป แนวความคิดเช่นนี้เหมือนกันกับที่พวกฝรั่งเรียกว่า "ทฤษฎีแห่งชัยชนะ"

การที่นักประวัติศาสตร์ผู้สร้างประวัติศาสตร์ไทยตอนที่กล่าวถึงนี้โดยใช้หลักฐานและแนวความคิดตลอดจนทฤษฎีที่กล่าวมาแล้วนั้น ทำให้นักวิชาการและนักศึกษาปัจจุบันเกิดความสงสัยและขัดแย้งเอาได้

เรื่องแรก : คือ เรื่องที่ว่าประชาชนชาวทวารวดีเป็นมอญ นักประวัติศาสตร์ท่านอ้างว่าเพราะพบจารึกภาษามอญในสมัยทวารวดีประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งเพราะลักษณะศิลปกรรมในสมัยทวารวดี โดยเฉพาะพระพุทธรูปมีลักษณะเป็นมอญ เรื่องนี้จะเห็นได้ว่านักประวัติศาสตร์ท่านนำเรื่องวัฒนธรรม (culture) มาเป็นเรื่องของเชื้อชาติ (race) เรื่องภาษาก็ดี ลักษณะศิลปกรรมก็ดีเป็นเรื่องของวัฒนธรรม (culture) การที่นักประวัติศาสตร์ท่านนำมาพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องของชนชาตินั้น นับว่าเป็นเรื่องที่น่าที่งมาก

ความคิดของผู้เขียนเห็นว่าหลักฐานจารึกที่เป็นภาษามอญที่พบในจารึกสมัยทวารวดีนี้ อย่าว่าแต่จะพิสูจน์คนทวารวดีเป็นมอญเลย เพียงแต่จะเรียกว่าเป็นผู้ที่พูดภาษามอญก็ยังไม่เพียงพอ ส่วนเรื่องการใช้ลักษณะศิลปกรรมมาบ่งแสดงถึงลักษณะของเชื้อชาตินั้นพิสูจน์ไม่ใด้ แม้แต่วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ เรื่องนี้ศาสตราจารย์สุด แสงวิเชียร ได้ทำการค้นคว้าและเขียนอธิบายไว้ในเรื่องมอญในอดีตและมอญปัจจุบันของท่านแล้ว (-2)

เรื่องที่สอง : คือ เรื่องพวกขอมรบชนะพวกมอญ แล้วปกครองดินแดนประเทศไทยแทนพวกมอญ เรื่องนี้นักประวัติศาสตร์ท่านอ้างการพบศิลปวัตถุและโบราณสถานแบบขอมในเมืองไทย ตลอดจนจารึกและตำนานที่คิดว่าเกี่ยวกับดินแดนในประเทศไทยเป็นหลักฐาน เรื่องนี้เห็นได้ว่านักประวัติศาสตร์ท่านให้แนวคิดในเรื่องทฤษฎีแห่งชัยชนะจนเกินไป เลยมองไปว่าการที่มีศิลปกรรมแบบขอมในกรุงกัมพูชาในดินแดนประเทศไทยนั้นแสดงว่าขอมมีชัยชนะ มีอำนาจทางการเมืองในดินแดนนี้

ผู้เขียนก็เพิ่งจะเรียนรู้ว่าศิลปกรรมนั้นเป็นเครื่องแสดงถึงอำนาจทางการเมืองได้เหมือนกัน บางทีนักประวัติศาสตร์รุ่นหลังๆ อาจจะใช้ความคิดนี้มาอ้างได้ว่าการที่เมืองไทยมีศิลปกรรมมีตึกรามบ้านช่องตลอดจนเครื่องแต่งกายเป็นแบบตะวันตกนั้นก็เพราะฝรั่งทางตะวันตกมาปกครองเมืองไทย

     @@@@@@@

จากหลักฐานที่มีอยู่ขณะนี้ ผู้เขียนมีความเห็นว่าการที่มีอิทธิพลของศิลปกรรมแบบขอมในเมืองไทยนั้น แสดงได้เพียงว่ามีการติดต่อเกี่ยวข้องในทางวัฒนธรรมระหว่างประชาชนในเมืองไทยกับประชาชนในดินแดนกัมพูชา และเมื่อพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าศิลปกรรมแบบขอมในเมืองไทย โดยเฉพาะในลุ่มน้ำเจ้าพระยานั้นไม่ใช่เป็นฝีมือช่างขอมเลย หากเป็นฝีมือของคนไทยในลุ่มเจ้าพระยาเลียนแบบขอมขึ้น โดยเหตุนี้บรรดานักประวัติศาสตร์ศิลปะจึงเรียกศิลปะแบบนี้ว่าศิลปะแบบลพบุรี

หลักฐานในด้านเอกสาร เช่นจากศิลาจารึกก็ดี จดหมายเหตุ ตำนาน พงศาวดารก็ดี ไม่เพียงพอที่จะยืนยันว่าขอมในดินแดนกัมพูชามีอำนาจทางการเมืองเหนือดินแดนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ยกตัวอย่างเช่น การที่อ้างข้อความในศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ว่ามีเอ่ยถึงชื่อเมืองขึ้นของขอมในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เมื่อสอบสวนหาหลักฐานมายืนยันเข้าจริงๆ แล้ว นักประวัติศาสตร์ท่านก็หาหลักฐานมาอ้างไม่ได้ แต่หันมาพูดไปในทำนองเรื่องสมมุติหรือสันนิษฐานเป็นการหลีกเลี่ยงแทน

อันหลักฐานในศิลาจารึก จดหมายเหตุ ตำนาน พงศาวดารนั้น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา กับดินแดนในประเทศกัมพูชา ในลักษณะที่มีการเกี่ยวข้องกันในทางวัฒนธรรมประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือการเกี่ยวข้องกันในเรื่องการแต่งงานปนเปกันระหว่างกษัตริย์ในดินแดนกัมพูชากับดินแดนในประเทศไทย การแต่งงานเกี่ยวข้องกันเช่นนี้อาจเป็นเหตุให้กษัตริย์อีกดินแดนหนึ่งเข้ามาเป็นเจ้าเข้าครอบครองบ้านเมืองหรือแคว้นหนึ่งในอีกดินแดนหนึ่งได้

ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งพระเจ้าชัยเชษฐาแห่งกรุงล้านช้าง เคยเข้ามาเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นลานนาไทย เป็นต้น ความสัมพันธ์ในด้านการแต่งงานเช่นนี้ก็อาจเป็นเหตุให้กษัตริย์อีกดินแดนหนึ่ง อ้างสิทธิในเรื่องราชสมบัติจากอีกดินแดนหนึ่งได้ การที่ในศิลาจารึกบอกว่าโอรสของพระชัยวรมันที่ 7 องค์หนึ่งเคยมาครองอยู่ที่ลพบุรีก็ดี ในตำนานพงศาวดารที่บอกถึงพระเจ้าสุริยวรมันมีอำนาจเหนือเมืองลพบุรีก็ดี เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการอ้างสิทธิ หรือสิทธิในทางราชสมบัติของบ้านเมืองในดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสิ้น

เรื่องการเกี่ยวข้องระหว่างเมืองลพบุรีกับกรุงกัมพูชานั้น นักประวัติศาสตร์ท่านยังตีความเลยเถิดไปในทำนองที่ว่าลพบุรีเป็นทั้งหมดของดินแดนสมัยนั้น การที่มีกษัตริย์ขอมมาเกี่ยวข้องกับลพบุรีนั้นหมายความว่ามีอำนาจเหนือดินแดนประเทศไทยทั้งหมด การตีความจากหลักฐานในลักษณะนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการหลงในเรื่องทฤษฎีของชัยชนะจนเกินไป เลยเป็นเหตุให้มองหลักฐานแต่เพียงที่เห็นว่าเข้ากันได้ดีกับความคิดเห็นที่ตั้งไว้ก่อนในเรื่องที่ว่ามอญครองอยู่ก่อน ต่อมาขอมปราบมอญแล้วในที่สุดไทยปราบขอมไป

อันหลักฐานในศิลาจารึก ตำนาน และพงศาวดารนั้น ถ้าหากพิจารณาศึกษาให้ดีโดยไม่มีความลำเอียงในเรื่องเชื้อชาติและทฤษฎีแห่งชัยชนะแล้ว จะเห็นได้ว่าดินแดนในประเทศไทยก็ดี ในประเทศกัมพูชาก็ดี หรือในประเทศพม่าก็ดี ไม่มีการแบ่งเขตแดนกันออกเป็นประเทศไทย ประเทศพม่า มอญ และเขมรดังเช่นทุกวันนี้ ประชาชนผู้คนในสมัยโบราณนั้นไม่มีความรู้สึกแบ่งกันในเรื่องเชื้อชาติ แต่มีความรู้สึกในเรื่องว่าตนเป็นชาวแคว้นนั้นแคว้นนี้แทน ผู้คนเหล่านี้มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน คือได้รับอารยธรรมมาจากอินเดียเหมือนกันจึงเข้ากันได้ มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและแต่งงานปนเปกัน

อันดินแดนในประเทศไทยนั้นก็หาได้มีแคว้นทวารวดีหรือแคว้นลพบุรีอยู่แต่เพียงแคว้นเดียวไม่ แคว้นทวารวดีก็ดี ลพบุรีก็ดีเป็นแต่เพียงแคว้นหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ามีกษัตริย์ขอมมาปกครองเมืองลพบุรีก็ไม่ควรไปคิดว่าปกครองดินแดนในประเทศไทยทั้งหมด แคว้นอื่นๆ ที่เขาไม่เกี่ยวข้องก็มี การจะศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ไทยตอนนี้กันใหม่นั้นจึงควรมองดูว่าบ้านเมืองในดินแดนประเทศไทยตอนนั้นไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากประกอบด้วยหลายๆ รัฐหรือแคว้นซึ่งเกี่ยวข้องกันในทางเป็นไมตรี เป็นเมืองพี่เมืองน้องกัน แต่ในบางครั้งก็มีการขัดแยังรบพุ่งกันซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นเรื่องธรรมดาของบ้านเมืองอยู่ใกล้ชิดกัน

    @@@@@@@

    • เรื่องการตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของชนชาติไทย

เนื้อความในประวัติศาสตร์ตอนนี้ มีอย่างย่อๆ ว่าชนชาติไทยอพยพเข้ามาในดินแดนประเทศไทยแล้วแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 18 มาอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของพวกขอม ต่อมาเมื่อขอมเสื่อมอำนาจลงชาวไทยที่อยู่ทางตอนเหนือของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอันมีพ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราด และพ่อขุนบางกลางหาวเจ้าเมืองบางยาง ได้ขับไล่ขุนนางขอมที่ปกครองเมืองสุโขทัยได้สำเร็จ แล้วตั้งตัวเป็นอิสระ มีพ่อขุนบางกลางหาวปกครองกรุงสุโขทัย ทรงพระนามว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แต่นั้นมาอำนาจของสุโขทัยก็แผ่ไปทั่วดินแดนในประเทศไทย จึงถือกันว่ากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของเมืองไทย

เรื่องราวประวัติศาสตร์ตอนนี้ นักประวัติศาสตร์ท่านสร้างขึ้นจากข้อมูล 2 อย่างด้วยกัน

อย่างแรก : เป็นเรื่องสมมุติขึ้นตามความเชื่อในเรื่องเชื้อชาติ และทฤษฎีในเรื่อง ชัยชนะ คือเรื่องที่ว่าคนไทยอพยพเข้ามาในดินแดนประเทศไทย แต่ราวพุทธศตวรรษที่ 18 แล้วเข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจขอม เรื่องดังกล่าวนี้ไม่มีอยู่ในหลักฐานทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีเลย

ข้อมูลอย่างที่สอง : คือเรื่องเกี่ยวกับพ่อขุนผาเมือง พ่อขุนบางกลางหาว และการก่อตั้งกรุงสุโขทัยนั้นมีอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ 2 ของกรุงสุโขทัย

แต่ในเรื่องราวที่มีอยู่ในศิลาจารึกนั้นไม่มีอะไรเพียงพอเลยที่จะระบุว่าพ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนบางกลางหาวรบพุ่งชิงเมืองสุโขทัยจากขุนนางขอมที่กรุงกัมพูชาส่งมาปกครองดินแดนในประเทศไทย หรืออีกนัยหนึ่งจารึกไม่ใด้กล่าวเลยว่าการรบพุ่งชิงเมืองสุโขทัยและการขึ้นครองราชย์ของพ่อขุนบางกลางหาวนั้นเป็นการที่คนไทยตั้งตัวเป็นอิสระจากพวกขอม นักประวัติศาสตร์ท่านมีความลำเอียงและเชื่อในเรื่องเชื้อชาติและทฤษฎีแห่งชัยชนะอยู่แล้ว พอพบอะไรในจารึกที่เกี่ยวกับขอมหน่อยก็เลยลากเอาไปเข้าเป็นเรื่องเป็นราวปะติดปะต่อกับสิ่งที่ตนคิดไว้ก่อนแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงละเลยข้อมูลอื่นๆ ที่มีอยู่ในจารึกที่เห็นว่าไม่เกี่ยวข้องเสีย

อันที่จริงถ้านักประวัติศาสตร์ท่านไม่หลงในเรื่องเชื้อชาติและทฤษฎีแห่งชัยนะแล้ว และพิจารณาข้อมูลในศิลาจารึกกรุงสุโขทัยหลักที่ 2 และหลักอื่นๆ ตลอดจนเอกสารในด้านตำนานและพงศาวดารให้ดีแล้วก็น่าจะพบเรื่องราวการรบพุ่งชิงเมืองสุโขทัยของพ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนบางกลางหาวนั้น ตีความได้แต่เพียงว่าเป็นการรบพุ่งชิงบ้านเมืองกันเองในระหว่างบ้านเมืองในแคว้นสุโขทัยในดินแดนประเทศไทยเท่านั้น หาได้เกี่ยวข้องในเรื่องการที่กรุงกัมพูชามีอำนาจปกครองดินแดนในประเทศไทยไม่ การเกี่ยวข้องกับกรุงกัมพูชานั้นเป็นในด้านไมตรีและการแต่งงานระหว่างกษัตริย์ในดินแดนประเทศไทยกับกัมพูชาเท่านั้น ข้อขัดแย้งในเรื่องการแปลความเรื่องราวในศิลาจารึกกรุงสุโขทัยไปในทำนองที่มีอำนาจทางการเมืองของขอมในดินแดนประเทศไทยนี้ ผู้เขียนได้เคยเขียนบทความโต้แยังคัดค้านไว้แล้วในวารสารช่อฟ้า (-3)

ความหลงเชื่อในแนวความคิดเรื่องเชื้อชาติ และทฤษฎีแห่งชัยชนะของนักประวัติศาสตร์นั้นทำให้บานปลายใหญ่ จะเห็นว่าท่านเชื่อไปว่าพอคนไทยตั้งตัวเป็นอิสระจากพวกขอมแล้ว พอถึงรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงก็ปรากฏว่ากรุงสุโขทัยมีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือดินแดนประเทศไทยทั้งหมด นอกจากนั้นยังกินเลยเข้าไปในเมืองเมาะตะมะหงสาวดี และเวียงจันทน์เวียงคำในดินแดนประเทศลาวอีกด้วย ท่านมองไปในลักษณะที่ว่าคนไทยขับไล่ขอม ขอมหมดไป ดินแดนประเทศไทยจึงเป็นของกรุงสุโขทัยแต่ผู้เดียว ทั้งๆ ที่เรื่องราวในจารึกก็ดี ตำนานพงศาวดารในสมัยนั้นก็ดี ระบุอยู่ว่าสุโขทัยไม่ใช่เป็นทั้งหมดของดินแดนประเทศไทย ไมใช่ราชธานีแห่งแรกของชนชาติไทย

สมัยนั้นบ้านเมืองในดินแดนประเทศไทย แบ่งออกเป็นแคว้นๆ เช่น แคว้นอยุธยา แคว้นนครศรีธรรมราช แคว้นล้านช้าง และแคว้นลานนาไทย เป็นต้น โดยเฉพาะแคว้นลานนาไทยนั้นประชาชนมีความเป็นคนไทยมากกว่าทางสุโขทัยเสียอีก ถ้าหากเชื่อในเรื่องที่ว่าคนไทยมาจากประเทศจีนแต่นับว่าแปลกประหลาดที่นักประวัติศาสตร์ท่านกลับถือว่าลานนาไทยเป็นลาวไป โดยเหตุนี้สุโขทัยจึงเป็นราชธานีแห่งแรกของชนชาติไทย นักเรียนเรียนกันแต่ประวัติศาสตร์สุโขทัย ส่วนลานนาไทยไม่ปรากฏว่าเรียกกัน

ผู้เขียนคิดว่านักประวัติศาสตร์ผู้สร้างประวัติศาสตร์ไทยตอนที่กล่าวมานี้ นอกจากงมงายในเรื่องเชื้อชาติและเรื่องทฤษฎีแห่งชัยชนะแล้ว ยังไม่มีการวัดค่าของข้อมูล โดยเฉพาะศิลาจารึกว่ามีความแน่นอนเพียงใด ความผันแปรเพียงใด ตามหลักของวิชาวิจัยอีกด้วย จึงคิดว่าอะไรๆ ที่มีอยู่ในศิลาจารึกเป็นเชื่อได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งนั้น

    @@@@@@@

    • เรื่องพระเจ้าอู่ทองหนีโรคระบาดมาสร้างพระนครศรีอยุธยา

เรื่องราวประวัติศาสตร์ตอนนี้ ต่อเนื่องมาจากประวัติศาสตร์กรุงสุโขทัย พอสรุปได้โดยย่อว่าในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ของชาวทางใต้กรุงสุโขทัยที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอันมีพระเจ้าอู่ทองทรงครองอยู่ ณ เมืองอู่ทอง ได้รวบรวมผู้คนไว้มีกำลังกล้าแข็ง ตั้งตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นกับกรุงสุโขทัย ต่อมาเมื่อเมืองอู่ทองเกิดกันดารน้ำมีโรคระบาดผู้คนล้มตาย พระเจ้าอู่ทองต้องทรงอพยพผู้คนมาสร้างเมืองใหม่ในเขตเมืองอโยธยาร้าง ซึ่งเคยเป็นเมืองหน้าด่านของขอมอยู่ก่อน ทรงสร้างเมืองอยู่ 3 ปี ก็แล้วเสร็จใน พ.ศ. 1893 ขนานนามราชธานีว่ากรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยามีอำนาจแผ่ขยายอาณาเขตกว้างขวางในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) นั้น ปรากฏมีหัวเมืองขึ้นมากมาย สามารยกกองทัพไปปราบปรามอาณาจักรกัมพูชาไว้ได้ แม้ทางกรุงสุโขทัยเองสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยยังต้องทรงขอเป็นไมตรีด้วย

เมื่อพิจารณาเนื้อความในประวัติศาสตร์ตอนนี้ให้ดีแล้ว จะเห็นว่าตามหลักเหตุผลแล้วมีความขัดแย้งกันอยู่ในตัว ซึ่งอาจวิเคราะห์ออกได้เป็น 2 ตอน

ตอนแรก : คือเรื่องการตั้งตัวเป็นใหญ่จากอำนาจกรุงสุโขทัย และการอพยพมาสร้างเมืองใหม่ที่อยุธยา ตอนนี้เป็นระยะเวลาที่ผู้คนล้มตายมาก กำลังผู้คนมีน้อยและประสบกับความลำบาก

แต่ตอนหลัง : เมื่อสร้างกรุงศรีอยุธยาเสร็จ กลับปรากฏว่าอยุธยามีอำนาจยิ่งใหญ่ทันที ตีได้หัวเมืองขึ้นมากมาย และยังสามารถปราบปรามอาณาจักรที่เคยใหญ่โตห่างไกลออกไปได้ เช่น สุโขทัย และกัมพูชา ความยิ่งใหญ่ของกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) นี้จึงดูเป็นเหลือเชื่อที่ว่าบ้านเมืองที่เคยมีกำลังผู้คนน้อย อีกทั้งประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผู้คนเสียชีวิตมาก จะตั้งตัวได้รวดเร็วถึงอย่างนี้

    @@@@@@@

จากข้อขัดแย้งดังกล่าวนี้ ผู้เขียนได้สอบค้นหลักฐานที่นักประวัติศาสตร์ท่านนำมาสร้างเป็นประวัติศาสตร์ แล้วนำมาเขียนโต้แยังไว้ ในบทความเรื่องกรุงอโยธยาในประวัติศาสตร์ไทย ในวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ (-4) ซึ่งพอจะนำมาสรุปในที่นี้เป็น 3 ตอนคือ

ตอนแรก : ที่บอกว่าในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 19 นั้น ชาวไทยทางใต้กรุงสุโขทัยตั้งตัวเป็นใหญ่ และแข็งข้อไม่ขึ้นกับกรุงสุโขทัยนั้นไม่มีหลักฐานทั้งในทางตำนานและจารึก นักประวัติศาสตร์ท่านสร้างขึ้นตามความเชื่อในเรื่องทฤษฎีแห่งชัยชนะ ในลักษณะที่ว่าไทยมีอำนาจยิ่งใหญ่เข้าครอบครองดินแดนแทนขอมและขจัดขอมหมดไป และต่อมาไทยทางใต้ก็แข็งข้อกับสุโขทัยเพื่อให้รับกันกับเรื่องพระเจ้าอู่ทอง

ตอนที่สอง : คือเรื่องพระเจ้าอู่ทองครองเมืองอู่ทองหรือสุพรรณภูมิ ต่อมาเกิดโรคระบาดผู้คนล้มตาย ต้องย้ายมาสร้างเมืองใหม่ถึงกรุงศรีอยุธยานั้น เป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์ท่านดึงเอาเรื่องจากตำนาน พงศาวดาร คำบอกเล่าของชาวบ้านมาตีความให้เข้ากับเมืองโบราณร้างในเขตอำเภออู่ทองที่ท่านคิดว่าพระเจ้าอู่ทองทรงครองอยู่ บัดนี้เรื่องราวตอนนี้ไม่เป็นความจริงแล้ว เพราะหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่พบใหม่ๆ ในสมัยนี้แสดงว่าพระเจ้าอู่ทองไม่เคยครองอยู่ที่เมืองอู่ทองเลย

ตอนที่สาม : คือเรื่องที่ว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ขึ้นครองราชย์ที่อยุธยาใหม่ๆ แล้วมีอำนาจใหญ่โต มีเมืองขึ้นและสามารถปราบบ้านเมืองใหญ่ๆ ใกล้เคียงเช่นกัมพูชาและสุโขทัยนั้น เรื่องนี้มีมูลเพราะมีหลักฐานในตำนานและพงศาวดารสนับสนุน

ผู้เขียนเห็นว่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ไทยตอนนี้ ถ้าหากนักประวัติศาสตร์ท่านไม่ งมงายในเรื่องทฤษฎีแห่งชัยชนะจนเกินไปแล้ว และหันมาศึกษาแปลความกันตามหลักฐานที่ศิลาจารึก ตำนาน พงศาวคาร ตลอดจนลักษณะตำแหน่งที่ตั้งของโบราณสถานวัตถุและเมืองโบราณแล้ว ท่านก็น่าจะพบว่ากรุงศรีอยุธยานั้นเข้าเป็นแคว้นหนึ่งในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามานานแล้ว ก่อนการสร้างเมืองอยุธยาเสียอีก เป็นแคว้นที่มีวัฒนธรรมศิลปกรรมในทางพุทธศาสนาคติหินยานสืบเนื่องเรื่อยมาแต่สมัยทวารวดีและลพบุรี

ไม่มีหลักฐานอะไรที่บ่งเลยว่าพระเจ้าอู่ทองตลอดจนผู้คนของพระองค์ที่เป็นชาวอยุธยานั้น เป็นชาวไทยที่อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนขอมทางตอนใต้ของกรุงสุโขทัยแล้วขับไล่ขอมออกไป และต่อมาก็ประกาศเป็นอิสระไม่ขึ้นกับกรุงสุโขทัย ถ้าหากเราเชื่อว่าแต่เดิมมีพวกมอญและขอมครอบครองดินแดนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามาก่อนแล้ว พระเจ้าอู่ทองและประชาชนของท่านก็น่าจะเป็นลูกหลานของพวกมอญและขอมนั้น คงไม่ใช่คนไทยที่อพยพมาจากดินแดนในเมืองจีนอย่างแน่นอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 13, 2023, 08:01:24 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


มณฑป "พระอจนะ" วัดศรีชุม สุโขทัย ก่อนการบูรณะ ภาพถ่ายในราวสมัยรัชกาลที่ 6

   • สรุป

เรื่องราวประวัติศาสตร์ไทยสมัยก่อนการสร้างพระนครศรีอยุธยาขึ้นไปนั้น ควรศึกษากันใหม่โดยนำเอาหลักฐานต่างๆ ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดีและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบตีความกันใหม่ให้อยู่ในขอบเขตของหลักและกระบวนการวิจัยที่ถูกต้อง แนวความคิดในเรื่องเชื้อชาติ และเรื่องการที่ชนชาติหนึ่งขับไล่ทำลายล้างชนอีกชาติหนึ่งแล้วครอบครองดินแดนแทนนั้นควรได้พิจารณาศึกษากันใหม่

การเป็นคนไทยนั้นไม่ควรเน้นหนักในเรื่องเชื้อชาติ ดังเช่นที่อ้างว่าคนไทยในประเทศไทยเป็นผู้ที่สืบมาจากคนไทยที่อพยพมาจากดินแดนในประเทศจีน เพราะนอกจากพิสูจน์อะไรไม่ได้แล้วยังทำให้เราละเลยบรรพบุรุษผู้ที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยแต่เดิม ซึ่งพวกฝรั่งและนักประวัติศาสตร์ที่คอยตามฝรั่งไปตั้งชื่อให้เขาว่าเป็นชาติมอญบ้างขอมบ้าง

ผู้เขียนเห็นว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยนั้น ควรเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ของชาติบ้านเมืองมากกว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ของเชื้อชาติ ควรเนันหนักในเรื่องประชาชนที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยก่อน พวกเหล่านี้อาจจะประกอบด้วยเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่ผสมปนเปกันอยู่ มีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันและได้รับวัฒนธรรมอินเดียเหมือนกัน ประชาชนเหล่านี้ไม่มีความรู้สึกในเรื่องเชื้อชาติว่าตนเป็นคนไทย ขอม มอญ หรือเขมร ดังเช่นฝรั่งและนักประวัติศาสตร์ท่านเรียก หากอยู่แยกกันเป็นแคว้นๆ และเรียกตัวเองว่าเป็นชาวแคว้นนั้นแคว้นนี้ เช่น ชาวกัมพูชา ชาวสุโขทัย ชาวอยุธยา หรือคนเขตโน้นเขตนี้ เช่น ชาวเมืองเหนือ ชาวเมืองใต้ เป็นต้น หรือเรียกตามชื่อของเผ่าพันธุ์และความแตกต่างในทางวัฒนธรรม เช่น ในหนังสือยวนพ่าย และลิลิตพระลอ เรืยกชาวเมืองเหนือว่ายวนบ้าง ลาวบ้าง และยังมีกาว แกว อีกเป็นต้น

ในแคว้นหนึ่งหรือรัฐหนึ่งอาจจะมีคนหลายเผ่าพันธุ์อยู่รวมกัน มีการเกี่ยวข้องกับแคว้นอื่นๆ ในเรื่องวัฒนธรรมและในเรื่องการแต่งงาน เพราะฉะนั้นกษัตริย์แคว้นหนึ่งอาจจะไปเป็นกษัตริย์ปกครองอีกแคว้นหนึ่งได้ ความสัมพันธ์เช่นนี้อาจมีทั้งการแย่งชิงหรืออ้างสิทธิในราชสมบัติของบ้านเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้มีการรบพุ่งกัน หรือการช่วยเหลือเป็นไมตรีต่อกันได้

อนึ่งการรบพุ่งกันแต่ละครั้งก็มักจะมีการกวาดต้อนผู้คนจากเมืองหนึ่ง แคว้นหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งได้ บ้านเมืองแต่ละแห่งในดินแดนประเทศไทย หรือกัมพูชา หรือพม่า จึงมักประกอบด้วยประชาชนที่มีเผ่าพันธุ์ต่างๆ รวมกัน ซึ่งต่อมาก็รับวัฒธรรมของแคว้นนั้นบ้านเมืองนั้น เลยกลายเป็นประชาชนของแคว้นนั้นไป ยกตัวอย่างเช่น ประชาชนในภาคกลางของประเทศไทย ปัจจุบันถ้ามองกันจากเหตุการณ์และหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้ว จะเห็นว่ามีคนมอญจากประเทศพม่า คนลาวจากประเทศลาวที่อพยพเข้ามาและถูกกวาดต้อนเข้ามามากมาย คนเหล่านี้ได้ผสมปนเปกับประชาชนเดิม และรับวัฒนธรรมของดินแดนที่ตนเข้ามาอยู่ เลยกลายเป็นคนไทยไป

ประวัติศาสตร์ไทยควรเป็นเรื่องของแคว้นต่างๆ ที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยเหล่านี้ ซึ่งค่อยๆ วิวัฒนาการรวมกันจนกลายป็นประเทศชาติ ซึ่งเรียกว่าประเทศไทยในปัจจุบัน ผู้เขียนถือว่าคำว่าไทยในที่นี้หมายถึงประเทศชาติ หรือถ้าเป็นคนก็หมายถึงสัญชาติ และสิ่งที่ทำให้เป็นคนไทยได้นั้นก็คือการอยู่ในดินแดนเดียวกันประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งมีวัฒนธรรมเหมือนกัน อันแสดงให้เห็นว่าแตกต่างไปจากประชาชนในดินแดนอื่นประเทศอื่น

@@@@@@@

ดังนั้น เมื่อเน้นหนักในเรื่องดินแดนและวัฒนธรรมแล้ว ประชาชนที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยแต่โบราณซึ่งนักประวัติศาสตร์ท่านเรียกว่าเป็นมอญและขอมนั้นก็คือคนไทยนั่นเอง เป็นบรรพบุรุษในทางวัฒนธรรมแก่คนไทยในประเทศไทย หรือถ้าจะพูดถึงการเป็นบรรพบุรุษในทางสายเลือดแล้ว ท่านเหล่านั้นก็น่าจะเป็นมากกว่าคนไทยที่อยู่ในดินแดนประเทศจีนที่อพยพเข้ามา

คำว่า ไทย นั้นเป็นคำที่เกิดขึ้นใหม่เมื่อไม่นานมานี้เอง เมื่อพวกฝรั่งนักหาเมืองขึ้นมาแบ่งแยกดินแดนในแหลมทองให้เป็นประเทศ และกระตุ้นให้ประชาชนที่อยู่ในแคว้นต่างๆ ในดินแดนนี้มีความรู้สึกในเรื่องชาติในลักษณะที่เป็นเชื้อชาติขึ้นมา จึงเกิดมีชาวไทย ชาวลาว ชาวมอญ ชาวเขมรขึ้น ถ้าเมื่อสอบสวนให้ดีแล้วการเป็นคนไทยก็ดี เขมรก็ดี ขอมก็ดี มอญก็ดี เป็นกันด้วยเรื่องของวัฒนธรรมทั้งนั้น พิสูจน์ไม่ได้เลยว่าเป็นสายเลือดหรือเป็นด้วยลักษณะส่วนสัดในร่างกายแตกต่างกัน

การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยก่อนการสร้างพระนครศรีอยุธยานั้น ควรเลิกแนวความคิดในเรื่องมอญครองดินแดนเมืองไทยอยู่ก่อน ต่อมาขอมจากประเทศเขมรเข้ามาแทนที่แล้วจึงคนไทยเข้ามาไล่ขอม การทำเช่นนี้นั้นนอกจากจะเอาความรู้สึกในเรื่องเชื้อชาติไปใส่ให้กับคนในสมัยนั้นแล้ว ยังเป็นการแบ่งแยกเขตแดนทางการเมือง เช่น นี่เป็นประเทศไทย นั่นเป็นประเทศขอม ประเทศมอญ ให้กับคนในสมัยนั้นอีกด้วย หลักฐานที่มีอยู่ขณะนี้นั้นมีแต่เรื่องของแคว้นต่างๆ และความสัมพันธ์ของแคว้นเหล่านั้นทั้งในทำนองที่เป็นไมตรีและรบพุ่งกันเท่านั้น หาได้บ่งแสดงว่าประชาชนจากประเทศหนึ่งมามีอำนาจปกครองอีกประเทศหนึ่งไม่

ยกตัวอย่างเช่น ที่ว่าขอมจากประเทศกัมพูชาได้ดินแดนในประเทศไทยทั้งหมดเป็นเมืองขึ้นเป็นต้น อันที่จริงก็มีการเกี่ยวข้องกันระหว่างอาณาจักรกัมพูชากับเมืองลพบุรีเท่านั้น แต่ว่าลพบุรีก็ไม่ได้เป็นทั้งหมดของดินแดนประเทศไทย แคว้นอื่นๆ เขาก็เป็นอิสระอยู่

อีกเรื่องหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ไม่ควรหลงก็คือ การใช้ศิลปกรรมมาเป็นเครื่องแสดงถึงอำนาจทางการเมืองของแคว้นหนึ่งมายังอีกแคว้นหนึ่ง และเรื่องการหลงจารึกอย่างงมงาย

เรื่องศิลปกรรมนั้น ถ้าหากไม่มีหลักฐานในทางเอกสารบ่งถึงอำนาจทางการเมืองแล้ว ก็แปลความได้แต่เพียงอย่างเดียวว่าเป็นการเกี่ยวข้องในทางวัฒนธรรมระหว่างดินแดนหนึ่งกับดินแดนหนึ่งเท่านั้น

@@@@@@@

ส่วนเรื่องจารึกนั้นถ้าเกี่ยวกับอำนาจทางการเมืองของแคว้นหนึ่งไปยังอีกแคว้นหนึ่งนั้น ควรมีการตรวจสอบวัดหาความแน่นอน และความน่าเชื่อถือได้จากหลักฐานและเหตุผลในด้านอื่นๆ เสียก่อน เพราะจารึกนั้นก็เหมือนกับการโฆษณาชวนเชื่อ มักจะกล่าวเยินยอหรือสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ และบ้านเมืองที่เป็นเจ้าของจารึกนั้นจนเกินเลยไป ยกตัวอย่างเช่นที่ว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ถือว่าเป็นมหาราชแห่งกรุงกัมพูชานั้น เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มีบ้านเมืองขึ้นมากมายเพราะมีจารึกกล่าวถึงเรื่องราวไว้ นักประวัติศาสตร์ท่านเลยเหมาไปว่าดินแดนประเทศไทยก็เป็นเมืองขึ้นของกรุงกัมพูชาด้วย แต่เมื่อตรวจสอบดูให้ดีแล้วปรากฏว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงรบพุ่งได้ชัยชนะแต่เพียงกับพวกจามและได้อาณาจักรจามปาเป็นเมืองขึ้นเท่านั้น หาได้ระบุถึงการรบพุ่งปราบปรามเมืองอื่นๆ แคว้นอื่นๆ ไว้ในอำนาจเลย

แต่ในขณะเดียวกันนั้น ศิลาจารึกสะท้อนให้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในลักษณะที่เป็นธรรมราชา ทรงเป็นไมตรีกับบ้านเมืองและแคว้นต่างๆ เช่น ทรงประทานราชธิดาให้กับกษัตริย์ของบ้านเมืองอื่นๆ ทรงสร้างที่พักคนเดินทาง สร้างโรงพยาบาลในดินแดนอื่นๆ การกระทำเช่นนี้เป็นการเลียนแบบพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย

ผู้เขียนเชื่อความยิ่งใหญ่ในการเป็นธรรมราชาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และความยิ่งใหญ่อันนี้กษัตริย์ของแคว้นอื่นๆ ก็ยกย่องกรุงกัมพูชาในระยะนั้น จึงอาจจะเป็นศูนย์กลางในทางวัฒนธรรม วิชาการ และศิลปกรรมของบ้านเมืองแคว้นต่างๆ ในแหลมทองก็ได้ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่บ่งว่ามีอำนาจทางการเมืองเหนือดินแดนอื่นๆ โดยเฉพาะในประเทศไทย

ผู้เขียนใคร่เสนอว่าแนวความคิดในเรื่องธรรมราชานี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะศึกษาเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในดินแดนประเทศไทย หรือดินแดนในแหลมทองทั้งหมด

อันความยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ในสมัยโบราณของดินแดนในภาคนี้นั้น มักจะเกี่ยวกับการเป็นธรรมราชาอยู่มาก พระมหากษัตริย์องค์ใดที่ประพฤติกรรมส่งเสริมบำรุงพระศาสนาก็มักจะได้รับยกย่องว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเดชานุภาพ เป็นที่ยกย่องนับถือของบ้านเมืองอื่นๆ ทำให้บ้านเมืองมีการเกี่ยวข้องทั้งในเรื่องการค้า เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศิลปกรรมกับเมืองอื่นๆ

ยกตัวอย่างเช่นในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงออกผนวช พระเจ้าติโลกราชซึ่งเป็นมหาราชทางลานนาไทย และเป็นคู่ปรปักษ์ที่สำคัญ ยังกลับมาเป็นไมตรียกย่อง และส่งทูตมาร่วมในพระราชพิธีผนวชด้วย กษัตริย์ทางหงสาวดีก็ทรงยกย่องและติดต่อด้วย พระเจ้าบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยาก็เป็นอีกพระองค์หนึ่งในเรื่องการเป็นธรรมราชาที่ทั้งเมืองมอญ พม่า และลังกายกย่อง






เชิงอรรถ :-
(-1) ศรีศักร วัลลิโภดม "ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย" , พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2524 ในหนังสือ นภศูล (ฉบับที่ 1) ชุมนุมศึกษาวัฒนธรรม-โบราณคดี สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร , พิมพ์ครั้งที่สอง (สำนักพิมพ์เมืองโบราณ) พ.ศ. 2524 ในหนังสือ ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย หน้า 5-14
(-2) ศาสตราจารย์สุด แสงวิเชียร, มอญในอดีต และปัจจุบัน, สมัยทวารวดี, (พระนคร : โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์ พิมพ์เป็นบรรณาการในงานฌาปนกิจศพ ณ วัดธาตุทองฯ)
(-3) ศรีศักร วัลลิโภดม, “อำนาจทางการเมืองของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7” นิตยสาร ช่อฟ้า ฉบับที่ 6 ปีที่ 1, พฤษภาคม พ.ศ. 2509
(-4) ศรีศักร วัลลิโภดม, “กรุงอโยธยาในประวัติศาสตร์,” สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับพิเศษ 3 ว่าด้วยประวัติศาสตร์ไทยตามทัศนคติสมัยปัจจุบัน, เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2509

ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน   : สุจิตต์ วงษ์เทศ | วันที่ 11 กันยายน 2566 - 16:51 น.   
URL : https://www.matichon.co.th/columnists/news_4175215
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ