ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กำเนิด "สุรา" มาจากคนชื่อ "สุระ" (จิงจิง)  (อ่าน 3744 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
กำเนิด "สุรา" มาจากคนชื่อ "สุระ" (จิงจิง)
« เมื่อ: กันยายน 22, 2011, 11:17:33 am »
0

กำเนิด "สุรา" มาจากคนชื่อ "สุระ" (จิงจิง)

              ลำดับนั้น นางวิสาขาถวายบังคมพระศาสดา แล้วกราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น้ำดื่มที่ชื่อว่าสุราอันเป็นเครื่องทำลายหิริโอตตัปปะนี้ เกิดแล้วแต่ครั้งไร พระเจ้าข้า.
               เมื่อพระศาสดาจะตรัสบอกแก่นาง จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้


               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพาราณสี มีนายพรานป่าผู้หนึ่งชื่อว่าสุระ เป็นชาวแคว้นกาสี ได้ไปสู่ป่าหิมพานต์เพื่อต้องการแสวงหาสิ่งของ

               ในป่าหิมพานต์นั้น มีต้นไม้ต้นหนึ่งลำต้นตั้งตรง ที่ฐานสูงประมาณชั่วบุรุษหนึ่งได้แตกออกเป็นสามค่าคบ ระหว่างค่าคบ ๓ แห่งของต้นไม้นั้นได้มีโพรงใหญ่ขนาดเท่าตุ่ม เมื่อฝนตกก็เต็มไปด้วยน้ำ ได้มีต้นสมอ มะขามป้อมและเถาพริกไทขึ้นล้อมรอบต้นไม้นั้น ผลแห่งต้นไม้นั้นๆ สุกแล้ว ก็หลุดออกจากขั้วตกลงไปในโพรงนั้น.

               ใกล้ๆ ต้นไม้นั้นมีข้าวสาลีเกิดขึ้นเอง และนกแขกเต้าทั้งหลายมาคาบเอารวงข้าวสาลีจากที่นั้น แล้วก็บินไปจับกินอยู่บนต้นไม้นั้น เมื่อนกแขกเต้าพากันจิกกินอยู่ เมล็ดข้าวเปลือกก็ดี เมล็ดข้าวสารก็ดี หลุดหล่นลงไปในโพรงนั้น น้ำในโพรงนั้นถูกแสงแดดแผดเผาก็เกิดมีรสมีสีแดงๆ ด้วยประการฉะนี้.

               ในฤดูร้อน ฝูงนกทั้งหลายที่ระหายน้ำ บินมากินน้ำนั้นก็มึนเมาพลัดตกลงไปที่โคนต้นไม้ ม่อยไปหน่อยหนึ่งแล้วส่งเสียงคูขันบินไป. ถึงสุนัขป่าและลิงเป็นต้น ก็มีนัยอย่างเดียวกันนี้.

               พรานป่าเห็นดังนั้นก็หลากใจคิดว่า ถ้าน้ำนี้เป็นพิษ สัตว์เหล่านี้คงตาย แต่นี่มันม่อยไปหน่อยหนึ่งแล้วก็บินไปได้ตามสบาย น้ำนี้คงไม่มีพิษ. เขาจึงลองดื่มเอง ก็เกิดมึนเมาและอยากจะกินเนื้อสัตว์ ลำดับนั้นเขาจึงก่อไฟให้โชนขึ้น แล้วฆ่านกที่พลัดตกไปที่โคนไม้ มีนกกระทาและไก่เป็นต้นตาย ย่างเนื้อที่ถ่านเพลิง มือหนึ่งฟ้อนรำมือหนึ่งถือเนื้อกัดกิน อยู่ในที่นั้นวันหนึ่งถึงสองวัน


               ก็ ณ ที่ใกล้บริเวณนั้น มีดาบสรูปหนึ่งชื่อวรุณะ นายพรานป่าเดินไปยังสำนักพระดาบสนั้นโดยธุระอย่างอื่น. เขาได้เกิดความคิดว่า เราจักดื่มน้ำนี้ร่วมกับพระดาบส เขาจึงตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่อันหนึ่งจนเต็ม หิ้วไปกับเนื้อย่าง ถึงบรรณศาลาแล้วกล่าวชวนว่า ท่านขอรับ จงลองดื่มน้ำนี้ดูเถิด แล้วทั้งสองก็บริโภคเนื้อดื่มน้ำด้วยกัน.

               ด้วยประการฉะนี้ น้ำดื่มนั้นเลยเกิดมีชื่อว่าสุราบ้าง วรุณีบ้าง เพราะนายพรานสุระและพระวรุณดาบสพบเห็นเข้า.

               ฝ่ายสุรพราณกับวรุณดาบส ทั้งสองคนคิดได้ว่า มีอุบายทำมาหากินได้อยู่ จึงตักสุราใส่กระบอกไม้ไผ่จนเต็ม แล้วพากันหาบไปจนถึงปัจจันตนคร ให้คนกราบทูลพระราชาว่า มีคนทำน้ำดื่มมาเฝ้า
               พระราชาจึงตรัสสั่งให้คนทั้งสองเข้าเฝ้า เขาจึงนำน้ำดื่มเข้าไปถวาย พระราชาทรงเสวยได้ สอง-สามครั้งก็ทรงมึนเมา แต่น้ำเมานั้น พอเสวยได้เพียงวันสองวันเท่านั้น



    ต่อมาพระราชาตรัสถามคนทั้งสองว่า น้ำชนิดนี้ มีอยู่ที่อื่นบ้างไหม? เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะมีอยู่ พระเจ้าข้า พระราชาตรัสถามว่า มีอยู่ที่ไหน? เขาทูลว่า ที่ป่าหิมพานต์ พระเจ้าข้า พระราชาตรัสสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นท่านทั้งสองจงไปเอามา

    ชนทั้งสองไปนำเอามาคราวสองคราว แล้วปรึกษากันว่า พวกเราไม่อาจเอามาบ่อยๆ ได้ จึงกำหนดจดจำเครื่องปรุงทั้งปวงไว้ แล้วเอาเปลือกเป็นต้นของต้นไม้นั้น มาใส่ปนลงในเครื่องปรุงทุกอย่าง ปรุงสุราขึ้นในพระนคร



               ชาวพระนครพากันดื่มสุราจนถึงความประมาทมัวเมา เลยยากจนเข็ญใจไปตามๆ กัน พระนครก็ได้เป็นเหมือนเมืองร้าง ด้วยเหตุนั้น คนทำน้ำดื่มทั้งสองจึงหลบหนีออกจากพระนครนั้น ไปยังเมืองพาราณสี ให้กราบทูลพระราชาว่า คนทำน้ำดื่มมาเฝ้า

               พระเจ้าพาราณสีตรัสสั่งให้คนทั้งสองเข้าเฝ้าแล้วพระราชทานเสบียงแก่คนทั้งสอง เขาช่วยกันจัดการปรุงสุราขึ้น แม้ในพระนครพาราณสีนั้น ถึงพระนครนั้นก็พินาศไปเช่นนั้นอีก
               เขาทั้งสองจึงหนีออกจากเมืองนั้นไปเมืองสาเกต หนีออกจากเมืองสาเกตไปยังเมืองสาวัตถี


               ครั้งนั้น พระเจ้าสัพพมิตต์ได้เป็นกษัตริย์พระนครสาวัตถี ท้าวเธอทำการสงเคราะห์แก่คนทั้งสองนั้น แล้วตรัสถามว่า พวกเจ้าต้องการสิ่งใดบ้าง เมื่อเขากราบทูลว่า ต้องการรากไม้สำหรับปรุง แป้งข้าวสาลี และตุ่มห้าร้อยดังนี้ ก็ตรัสสั่งให้ประทานครบทุกอย่าง.

               พรานสุระและวรุณดาบสทั้งสองปรุงสุราใส่ตุ่ม ๕๐๐ ใบตั้งไว้แล้ว ประสงค์จะป้องกัน โดยเกรงว่าหนูจะรบกวน จึงผูกแมวไว้ข้างๆ ตุ่มใบละตัว แมวเหล่านั้นพากันดื่มสุราที่ไหลลงก้นตุ่ม ในเวลาที่ต้มแล้วตักใส่ตุ่ม จนมึนเมาหลับไป พวกหนูมาแทะหูจมูกหนวดและหางแมว แล้วพากันวิ่งหนีไป

               พวกอายุตตกบุรุษ(คนสอดแนม) คิดว่าแมวดื่มสุราพากันตายหมด จึงไปกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระเจ้าสัพพมิตต์ทรงเห็นว่า ชนทั้งสองนี้จักทำยาพิษ จึงตรัสสั่งให้ตัดศีรษะคนทั้งสองเสีย คนทั้งสองพร่ำทูลขอร้องว่า ขอเดชะ ดื่มสุรามีรสอร่อย พระเจ้าข้า ดังนี้ จนขาดใจตาย

     ครั้นพระราชาตรัสสั่งให้ประหารชีวิตคนทั้งสองแล้ว มีพระราชโองการให้ทำลายตุ่มเสีย ฝ่ายแมวทั้งหลาย เมื่อฤทธิ์สุราสร่างจางไปก็ลุกขึ้นวิ่งเล่นได้ พวกราชบุรุษเห็นดังนั้นจึงกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชาทรงพระดำริว่า
     ถ้าน้ำสุราเป็นพิษ แมวคงตาย ชะรอยจะมีรสอร่อย เราจะลองดื่มดู แล้วตรัสสั่งให้ประดับตกแต่งพระนคร ให้สร้างมณฑปขึ้นที่หน้าพระลาน เสร็จแล้วประทับนั่งบนราชบัลลังก์ ซึ่งยกเศวตฉัตรขึ้นไว้บนมณฑปที่ประดับตบแต่งแล้ว แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์มุขมนตรี เริ่มจะเสวยสุรา.


โปรดติดตามตอนต่อไป

ตอนที่แล้ว อยู่ที่นี้ครับ
"หญิงเมาเหล้า ตีกัน สร่างเมา บรรลุโสดาบัน"
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5177.0



อ้างอิง
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=2292,http://thaitwil.com
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=9232&Z=9308
ขอบคุณภาพจาก http://media.thaigov.go.th,http://statics.atcloud.com,
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ