ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ภูฏาน "พอเพียง" ไม่สนใจจีดีพี  (อ่าน 1968 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ภูฏาน "พอเพียง" ไม่สนใจจีดีพี
« เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2013, 09:44:29 am »
0

ดร.ชัยพฤกษ์ - นายดาโช

สานปรัชญา"พอเพียง"

สอศ.จับมือ “ภูฏาน” เปิดปฏิบัติการพัฒนากำลังคนยกระดับอาชีวศึกษา

ภูฏาน ประเทศที่ประกาศไม่สนใจจีดีพี (Gross Domestic Product) หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ แต่หันมาให้ความสำคัญกับ จีดีเอช (Gross Domestic Happiness) หรือ ความสุขมวลรวมภายในประเทศ มากกว่า

แต่แม้จะไม่สนใจจีดีพี ประเทศเล็กๆอย่าง ราชอาณาจักรภูฏาน ซึ่งกำลังเปิดประเทศ ก็จำเป็นต้องสร้างรากฐานที่มั่นคงด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

โดยล่าสุดภูฏานแสดงความสนใจที่จะ ทำความตกลงเขตการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ กับประเทศไทย แต่เนื่องจากภูฏานกำลังอยู่ระหว่างการเลือกตั้ง ดังนั้นระหว่างรอเวลาในการทำเอ็มโอยูด้านการค้าและการลงทุน ทางภูฏานได้เจรจาขอทำเอ็มโอยูด้านการอาชีวศึกษากับไทย เพื่อเตรียมพัฒนากำลังคนของประเทศ



“ทีมการศึกษา” ได้มีโอกาสร่วมคณะของ ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ไปภูฏาน เพื่อสังเกตการณ์การลงนามบันทึกความเข้าใจ ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ของไทย และ กระทรวงแรงงานและทรัพยากรมนุษย์ ภูฏาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลวิทยาลัยอาชีวศึกษา

ข้อมูลพื้นฐานของภูฏาน สะท้อนชัดเจนถึงเหตุและความจำเป็นที่นำมาสู่ปฏิบัติการพัฒนากำลังคนของประเทศ ราชอาณาจักรภูฏานมีประชากรประมาณ 700,000 คน มีวิทยาลัยอาชีวศึกษาของรัฐ 8 แห่ง เป็นวิทยาลัยประเภทอุตสาหกรรม 6 แห่ง และวิทยาลัยศิลปหัตถกรรม 2 แห่ง และมีวิทยาลัยเอกชนอีกประมาณ 70 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิทยาลัยเอกชนขนาดเล็กที่จัดการเรียนการสอนด้านบริหารธุรกิจ พาณิชยการ และคอมพิวเตอร์

รัฐบาลภูฏานคาดการณ์ว่าภายใน 5 ปีนับตั้งแต่ปี 2556-2560 จะมีคนจบการศึกษาและเข้าสู่ตลาดแรงงาน ประมาณ 140,000 คน ซึ่งนโยบายของรัฐบาลคือต้องการที่จะรักษาอัตราการมีงานทำไว้ที่ ร้อยละ 97.5 ดังนั้น จึงต้องเร่งสร้างตำแหน่งงานใหม่เพื่อรองรับถึง 93,000 ตำแหน่ง

แต่การที่ประเทศเล็กๆอย่างภูฏานจะสร้างตำแหน่งงานรองรับจำนวนมากเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมองหาเส้นทางในการเพิ่มตลาดแรงงาน ด้วยการส่งนักศึกษาที่จบไปทำงานนอกประเทศ พร้อมๆกับหันมาให้ความสำคัญกับการจัดการด้านอาชีวศึกษา ซึ่งมองว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและช่วยแก้ปัญหาการว่างงาน



นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดบันทึกความเข้าใจในการพัฒนาอาชีวศึกษาร่วมกัน เพราะนอกจากความสัมพันธภาพที่ดีต่อกันแล้ว ทางภูฏานเล็งเห็นว่า สอศ.ของไทยจัดการอาชีวศึกษาได้มาตรฐาน โดยบันทึกความเข้าใจนี้ลงนามโดย ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการ กอศ. และ นายดาโช เปรมา วังดา ปลัดกระทรวงแรงงานและทรัพยากรมนุษย์ อันจะนำไปสู่ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนครูและนักศึกษาอาชีวศึกษา การแลกเปลี่ยนหลักสูตรด้านวิชาการ

พร้อมขอให้ สอศ.ฝึกอบรมครูผู้สอนในเรื่อง ของเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านอุตสาหกรรม อาทิ การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมในโรงงาน และการพัฒนาช่างฝีมือด้านศิลปหัตถกรรม รวมถึงการทำแพ็กเกจจิ้งและการออกแบบแฟชั่น รวมทั้งให้ สอศ.จ้างผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากภูฐานมาสอนภาษาอังกฤษให้กับสถานศึกษา ซึ่งปีที่แล้วภูฏานส่งคนมา 19 คน และมาในปี 2556 จะขอส่งเพิ่มอีก 48 คน

“ภูฏานเก่งภาษาอังกฤษ เพราะใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารมานานถึง 50 ปี สอศ.จึงจ้างภูฏานมาสอน ค่าจ้างเดือนละ 600 เหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทย 18,000 บาท ซึ่งเป็นค่าจ้างที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับครูสอนภาษาต่างประเทศจากชาติอื่นๆ และถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ทั้งจากการประเมินปีที่แล้วพบว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะครูที่มาสอนเข้ากับเด็กได้และเด็กกล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ สอศ.จะส่งครูไปยังวิทยาลัยที่ทำเรื่องขอมา โดยวิทยาลัยเป็นผู้จ่ายค่าจ้างเอง ไม่ได้ใช้งบประมาณจากส่วนกลาง” เลขาธิการกอศ. ให้เหตุผลที่จ้างครูภูฏานมาสอนภาษาอังกฤษ

นอกจากนี้ ดร.ชัยพฤกษ์ ยังบอกด้วยว่ามีแนวคิดที่จะนำเรื่องของความสุขมวลรวมภายในประเทศของภูฏานมาประยุกต์ โดยไม่เน้นให้เด็กเรียนจบมีงานทำอย่างเดียว แต่ต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย โดยจะตั้งคณะทำงานศึกษาว่าคุณภาพชีวิตของผู้ที่เรียนจบอาชีวศึกษาที่นอกเหนือจากทักษะการทำงานแล้วควรมีอะไรบ้าง จากนั้นจะกำหนดเป็นแนวปฏิบัติและผลักดันให้เกิดขึ้นในสถานศึกษา



“ทีมการศึกษา” เห็นด้วยกับการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้สิ่งดีๆ ที่มิตรประเทศจะมีต่อกัน เช่น เรื่องภาษาอังกฤษที่ต้องยอมรับว่าราชอาณาจักรภูฐานประสบความสำเร็จในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ จนสามารถนำมาเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ซึ่งประเทศไทยควรจะศึกษาเป็นตัวอย่าง

และเราก็เห็นด้วยกับ เลขาธิการ กอศ. ที่ไม่มองข้ามสิ่งดีๆ ของราชอาณาจักรภูฏาน โดยเฉพาะการประสบความสำเร็จในการยึดความสุขมวลรวมภายในประเทศแทนจีดีพีอย่างที่ประกาศไว้ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์และชื่นชมของสังคมโลก

การที่ราชอาณาจักรภูฏานมี จีดีเอช สูงได้เพราะคนภูฏานมีเป้าหมายในชีวิตที่ ยึดความสุขและความพอเพียง โดยมุ่งเน้นในเรื่องของมาตรฐานในการดำรงชีวิต ผู้คนมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีโอกาสทางการศึกษา มีธรรมาภิบาล สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัวและชุมชน แทนการเห็นเงินเป็นพระเจ้า

หากเราสามารถปลูกฝังค่านิยมให้เด็กไทยมีความ “พอเพียง” และ “เพียงพอ” ได้จริง ประเทศไทยคงมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/358717
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ภูฏาน "พอเพียง" ไม่สนใจจีดีพี
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2013, 11:27:18 am »
0


ภูฏาน เป็นอาณาจักรที่หลบเร้นในหุบเขาใหญ่ยากที่โลกภายนอกจะย่างกราย รัฐปกครองโดยพิจารณาถึงค่า จีดีเอช (Gross Domestic Happiness) หรือ ความสุขมวลรวมภายในประเทศมากกว่า โดยไม่สนใจค่า จีดีพี (Gross Domestic Product) หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งนับว่าเหมาะสมในขนาดรัฐและราษฎร 700,000 คน ดังนั้นหลักการทฤษฏี พอเพียง จึงนับเป็นเป้าหมายแห่งรัฐภูฏานที่ใส่ใจนำไปใช้พัฒนาคนพัฒนาชาติ ผมเองนั้นชื่นชอบดินแดนที่ถูกกล่าวขานว่าเป็น มังกรหลบเมฆ แห่งนี้มาก ซึ่งน่าจะมีความสุขผมเคยคิดที่อยากไปเกิดเป็นชาวภูฏานเสียด้วยซ้ำไป ประเทศไทยหากจะคิดเรียนรู้เอาเยื่องอย่างภูฏานคงยาก เพราะเราเป็นทุนนิยมเปิดรับทำให้ไทยกลายเป็นแกงต้มบูดหม้อใหญ่ลูกหลานถูกปลูกฝังพัฒนาด้วยไอทีสุขเสพยาไอซ์ ยาอี ยาเค ยาเลิฟ ทำให้ขาดทุนปัจจัยกำลังคนในการพัฒนาไปแล้ว เรามองกลับกันคนละด้านกับภูฏาน และขนาดรัฐ ราษฎรกว่า 60 ล้านคน ปัญหาการขาดความปรองดองภายในแบ่งแยกวัฒนธรรมทางศาสนา พอเพียง จึงเป็นเพียงทฤษฏีบุคคลที่ล่มแล้วจมแล้วในสนามทุน และกลุ่มสังคมรากหญ้าที่ใช้แรงงานในทุกภาคการผลิต แต่ถึงอย่างไรหลักการทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียงไม่มีวันตายสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทุกสถานการณ์ไม่ว่าวันนั้นจะมีรัฐไทยอยู่หรือไม่ก็ตาม "พอเพียง อุ้มชู ก็อยู่ได้เพียงพอ" สวัสดีครับ.!



http://www.linethaitravel.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=341453&Ntype=27
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 28, 2013, 02:24:34 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา