ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: รู้ไหมว่า..สามเณรไม่ได้ถือศีลแค่ ๑๐ ข้อ..ซ้ำยัง 'รับเงินไม่ได้'  (อ่าน 9768 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

การบรรพชาสามเณร

    คำว่า บวช มาจากภาษาเขมรว่า บัวส ซึ่งมาจากคำในภาษาบาลีว่า "ปวชฺชติ" หรือ ป + วช แปลว่า ทิ้งไป เว้นทั่ว คือ การละทิ้งบ้านเรือน ทรัพย์สมบัติ เว้นจากกาม เป็นการเว้นจากพฤติกรรมต่างๆ ที่เคยกระทำอยู่ในชีวิตของฆราวาสเพื่อไปปฏิบัติธรรม ประพฤติกายใจตามกฎเกณฑ์ทางศาสนา คำว่าบวชเป็นคำที่ใช้เรียกกันทั่วไป แต่ความหมายของการบวชนั้นแยกออกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือการบวชเพื่อเป็น สามเณร เรียกว่า "การบรรพชา" ส่วนการบวชเพื่อเป็น พระภิกษุ เรียกว่า "การอุปสมบท"

       บรรพชา (อ่านว่า บันพะชา, บับพะชา) แปลว่า การงดเว้นจากความชั่ว หมายถึงการบวชเป็น "นักบวช" เดิมคำว่า "บรรพชา" หมายถึง การบวชของนักบวชชายที่มีอายุยังไม่ถึงที่จะอุปสมบท เช่น เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชา สาวกบรรพชา และเรียกนักบวชเช่นนั้นว่า บรรพชิต แต่ในสมัยปัจจุบัน คำว่าบรรพชานี้ใช้เรียกเฉพาะ การบวชเป็นสามเณรเท่านั้น

       สามเณรองค์แรกของพระพุทธศาสนา คือ "พระราหุล" ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสารีบุตรเป็นผู้บวชให้ และพระองค์ทรงกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะบรรพชาเป็นสามเณรไว้ คือ จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๕ ปี และได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครองแล้ว ดังข้อความตาม พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ ตอนที่ ๑ (พระวินัยปิฎก  เล่ม ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ) ความว่า...




ปฐมเหตุการกำหนดอายุผู้บวชเป็นสามเณร

        [๑๑๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ตระกูลหนึ่งได้ตายลง เพราะอหิวาตกโรค. ตระกูลนั้นเหลืออยู่แต่พ่อกับลูก. คนทั้งสองนั้นบวชในสำนักภิกษุแล้ว เที่ยวบิณฑบาตด้วยกัน. ครั้นเมื่อเขาถวายภิกษาแก่ภิกษุผู้เป็นบิดา สามเณรน้อยก็ได้วิ่งเข้าไปพูดว่าพ่อจ๋า ขอจงให้แก่หนูบ้าง  พ่อจ๋า ขอจงให้แก่หนูบ้าง.

         ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้  มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สามเณรน้อยรูปนี้ชะรอยเกิดแต่ภิกษุณี. ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

        พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เด็กชายมีอายุหย่อน ๑๕ ปี  ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.



พระราหุลกุมารทรงผนวชเป็นสามเณร

      [๑๑๘]………............
             ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการบวชกุลบุตร  เป็นสามเณรด้วยไตรสรณคมน์. 
 
                     


วิธีให้บรรพชา

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงให้กุลบุตรบวชอย่างนี้:-
           ชั้นต้น พึงให้โกนผมและหนวด แล้วให้ครองผ้าย้อมฝาด ให้ห่มผ้าเฉวียงบ่า ให้กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย ให้นั่งกระหย่ง ให้ประคองอัญชลี แล้วสั่งว่า จงว่าอย่างนี้ แล้วสอนให้ว่าสรณคมน์ดังนี้:-   
                       


ไตรสรณคมน์
                                                   
                               พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ         ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง
                               ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ          ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง
                               สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ          ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง

                               ทุติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ        แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง
                               ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ         แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง
                               ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ         แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง

                               ตติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ         แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง
                               ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ          แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง
                               ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ          แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการบวชกุลบุตรเป็นสามเณรด้วยไตรสรณคมน์นี้.



สิกขาบทของสามเณร

          [๑๒๐] ครั้งนั้น สามเณรทั้งหลาย ได้มีความดำริว่า สิกขาบทของพวกเรามีเท่าไรหนอแล และพวกเราจะต้องศึกษาในอะไร. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
           พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสิกขาบท ๑๐  แก่สามเณรทั้งหลาย และให้สามเณรทั้งหลายศึกษาในสิกขาบท ๑๐ นั้น คือ


                       ๑. เว้นจากการทำสัตว์ที่มีชีวิตให้ตกล่วงไป
                       ๒. เว้นจากถือเอาพัสดุอันเจ้าของมิได้ให้
                       ๓. เว้นจากกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์
                       ๔. เว้นจากการกล่าวเท็จ
                       ๕. เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
                       ๖. เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
                       ๗. เว้นจากฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่นที่เป็นข้าศึก
                       ๘. เว้นจากการทัดทรงตกแต่งด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้อันเป็นฐานแห่ง การแต่งตัว
                       ๙. เว้นจากที่นั่งและที่นอนอันสูงและใหญ่
                       ๑๐. เว้นจากการรับทองและเงิน


         ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสิกขาบท ๑๐ นี้ แก่สามเณรทั้งหลาย และให้สามเณรทั้งหลายศึกษาในสิกขาบท ๑๐ นี้.



               นอกจากนี้ยังต้องศึกษาข้อปฏิบัติอันเกี่ยวด้วยมารยาท คือ เสขิยวัตร อีก ๗๕ ข้อด้วย


อานิสงส์ของการบรรพชา

          ถึงแม้การบวชเป็นสามเณรจะมีพิธีการไม่ยุ่งยาก เพราะมีเพียงการเข้าถึง ไตรสรณคมน์ และถือศีลตามที่พระผู้มีพระภาค ได้ทรงบัญญัติไว้เพียง ๑๐ ข้อดังกล่าวแล้ว แต่ "สามเณร" ก็ได้ชื่อว่าเป็นเชื้อสายแห่งสมณะ เป็นนักบวชชายในพระพุทธศาสนา ซึ่งนับได้ว่ามี "อานิสงส์" มาก ดังคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ท่านได้เมตตาสั่งสอนลูกหลานไว้


สถานที่ทำพิธีบรรพชา

เป็นกุฎีของพระอุปัชฌาย์ผู้ให้บวชก็ได้ หรือจะเป็นในอุโบสถก็ได้ จะมีพระอันดับตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปก็ได้ หรือไม่มีก็ได้

                   
ที่มา : ภาพโดย คุณสุคนธวิชญ์ นิภานนท์, ฝ่ายรณรงค์เผยแพร่ สถาบันสวัสดิการและพัฒนาเด็ก, มูลนิธิเด็ก (www.ffc.or.th)

(สิ้นสุดการบรรพชาเป็นสามเณรเพียงแค่นี้)


ที่มา http://vimuttisuk.com/main/monk/samanen.html
ขอบคุณภาพจาก http://vimuttisuk.com,http://www.bloggang.com/,http://www.kammatthana.com/


สามเณร
    [สามมะเนน] น. ผู้ดํารงเพศอย่างภิกษุ แต่สมาทานศีล ๑๐, เรียกสั้น ๆ ว่า เณร. (ป.).


ที่มา พจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 13, 2012, 01:13:02 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

เสขิยวัตร

     เสขิยวัตร หมายถึง วัตรที่ภิกษุจะต้องศึกษาธรรมเนียมเกี่ยวกับมารยาทที่ภิกษุพึงสำเหนียก หรือพึงฝึกฝนปฏิบัติ เป็นพุทธบัญญัติที่ได้เตือนสติให้ภิกษุสงฆ์พึงสำรวมกาย วาจา ใจ เมื่อเข้าไป อยู่ในที่ชุมชนหรือในละแวกบ้านของผู้อื่น เพื่อยังให้เกิดความเลื่อมใสของบุคคลในชุมชนนั้นๆ จะได้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา

         เสขิยวัตรนั้น จัดเป็น ๔ หมวด  หมวดที่ ๑ เรียกว่า สารูป, หมวดที่ ๒ เรียกว่า โภชนปฏิสังยุต, หมวดที่ ๓ เรียกว่า ธัมมเทสนาปฏิสังยุต,  หมวดที่ ๔ เรียกว่า ปกิณณกะ.


หมวดที่ 1 : สารูป มี ๒๖ ข้อ
(ว่าด้วยความเหมาะสมแก่สมณเพศในการประพฤติปฏิบัติต่อชุมชน)
           
            ๑. พึงทำศึกษาว่า  "เราจักนุ่งเป็นปริมณฑล."
            ๒. พึงทำศึกษาว่า  "เราจักห่มเป็นปริมณฑล".                                             
            ๓. พึงทำศึกษาว่า  "เราจักปกปิดกายดีไปในละแวกบ้าน".
            ๔. พึงทำศึกษาว่า  "เราจักปกปิดกายดีนั่งในละแวกบ้าน”.
            ๕. พึงทำศึกษาว่า  "เราจักสำรวมดีไปในละแวกบ้าน".
            ๖. พึงทำศึกษาว่า  "เราจักสำรวมดี  นั่งในละแวกบ้าน."                                         
            ๗. พึงทำศึกษาว่า  "เราจักมีตาทอดลงไปในละแวกบ้าน."
            ๘. พึงทำศึกษาว่า  "เราจักมีตาทอดลงนั่งในละแวกบ้าน."
            ๙. พึงทำศึกษาว่า  "เราจักไม่ไปในละแวกบ้านด้วยทั้งเวิกผ้า."
          ๑๐. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่นั่งในละแวกบ้าน  ด้วยทั้งเวิกผ้า."   
          ๑๑. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ไปในละแวกบ้าน ด้วยทั้งความ หัวเราะลั่น."
          ๑๒. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่นั่งในละแวกบ้าน ด้วยทั้งความหัวเราะลั่น."
          ๑๓. พึงทำศึกษาว่า "เราจักมีเสียงน้อยไปในละแวกบ้าน."
          ๑๔. พึงทำศึกษาว่า "เราจักมีเสียงน้อยนั่งในละแวกบ้าน."
          ๑๕. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่โยกกายไปในละแวกบ้าน."
          ๑๖. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่โยกกายนั่งในละแวกบ้าน."
          ๑๗. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ไกวแขนไปในละแวกบ้าน."
          ๑๘. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ไกวแขนนั่งในละแวกบ้าน"
          ๑๙. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่โคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน."
          ๒๐. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่โคลงศีรษะนั่งในละแวกบ้าน."
          ๒๑. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ทำความค้ำไปในละแวกบ้าน."
          ๒๒. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ทำความค้ำนั่งในละแวกบ้าน."
          ๒๓. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่คลุม (ศีรษะ) ไปในละแวกบ้าน."
          ๒๔. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่คลุม (ศีรษะ) นั่งในละแวกบ้าน."
          ๒๕. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ไปในในละแวกบ้าน ด้วยทั้งความกระโหย่ง."
          ๒๖. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่นั่งในในละแวกบ้าน ด้วยทั้งความรัดเข่า."



หมวดที่ ๒ : โภชนปฏิสังยุต มี ๓๐ ข้อ
(ว่าด้วยการฉันอาหาร)
           
            ๑. พึงทำศึกษาว่า "เราจักรับบิณฑบาตโดยเอื้อเฟื้อ."
            ๒. พึงทำศึกษาว่า "เราจักจ้องดูอยู่ในบาตรรับบิณฑบาต."
            ๓. พึงทำศึกษาว่า "เราจักรับบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน.”
            ๔. พึงทำศึกษาว่า "เราจักรับบิณฑบาตเสมอขอบ."
            ๕. พึงทำศึกษาว่า "เราจักฉันบิณฑบาตโดยเอื้อเฟื้อ."
            ๖. พึงทำศึกษาว่า "เราจักจ้องดูอยู่ในบาตรฉันบิณฑบาต."
            ๗. พึงทำศึกษาว่า "เราจักฉันบิณฑบาตไม่แหว่ง."
            ๘. พึงทำศึกษาว่า "เราจักฉันบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน."
            ๙. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ขยุมลงแต่ยอดฉันบิณฑบาต."
          ๑๐. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่กลบแกงก็ดี กับข้าวก็ดี ด้วยข้าวสุก อาศัยความอยากได้มาก."
          ๑๑. พึงทำศึกษาว่า "เราไม่อาพาธ จักไม่ขอสูปะก็ดี ข้าวสุกก็ดี เพื่อประโยชน์แก่ตนฉัน."
          ๑๒. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่เพ่งโพนทะนาแลดูบาตรของผู้อื่น."
          ๑๓. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่นัก."
          ๑๔. พึงทำศึกษาว่า "เราจักทำคำข้าวให้กลมกล่อม."
          ๑๕. พึงทำศึกษาว่า "เมื่อคำข้าวยังไม่นำมาถึง เราจักไม่อ้าช่องปาก."
          ๑๖. พึงทำศึกษาว่า "เราฉันอยู่ จักไม่สอดมือทั้งนั้นเข้าในปาก.”
          ๑๗. พึงทำศึกษาว่า "ปากยังมีคำข้าวเราจักไม่พูด."
          ๑๘. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันเดาะ คำข้าว.”
          ๑๙. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันกัดคำข้าว."
          ๒๐. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันทำให้ตุ่ย.”
          ๒๑. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันสลัดมือ."
          ๒๒. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันทำเมล็ดข้าวตก."
          ๒๓. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันแลบลิ้น.”
          ๒๔. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันทำเสียงจับๆ.”
          ๒๕. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันทำเสียงซูดๆ
          ๒๖. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันเลียมือ."
          ๒๗. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันขอดบาตร."
          ๒๘. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันเลียริมฝีปาก."
          ๒๙. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่รับโอน้ำด้วยมือเปื้อนอามิส."
          ๓๐. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่เทน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวในละแวกบ้าน."



หมวดที่ ๓ : ธัมมเทสนาปฏิสังยุต มี ๑๖ ข้อ
(ว่าด้วยการแสดงธรรม)

            ๑. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ มีร่มในมือ."
            ๒. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้มีไม้พลองในมือ."
            ๓. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้มีศัสตราในมือ."
            ๔. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บ ไข้มีอาวุธในมือ."
            ๕. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้สวมเขียงเท้า."
            ๖. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้สวมรองเท้า."
            ๗. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ไปในยาน."
            ๘. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้อยู่บนที่นอน."
            ๙. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้นั่งรัดเข่า."
          ๑๐. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้พันศีรษะ."
          ๑๑. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้คลุมศีรษะ."
          ๑๒. พึงทำศึกษาว่า "เรานั่งอยู่ที่แผ่นดินจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผู้นั่งบนอาสนะ."
          ๑๓. พึงทำศึกษาว่า "เรานั่งบนอาสนะต่ำจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผู้นั่งบนอาสนะสูง."
          ๑๔. พึงทำศึกษาว่า "เรายืนอยู่ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผู้นั่งอยู่."
          ๑๕. พึงทำศึกษาว่า "เราเดินไปข้างหลังจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผู้เดินไปข้างหน้า."
          ๑๖. พึงทำศึกษาว่า "เราเดินไปนอกทางจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผู้ไปอยู่ในทาง."


หมวดที่ ๔ : ปกิณณกะ  มี ๓ ข้อ
(เป็นหมวดเบ็ดเตล็ด)
           
            ๑. พึงทำศึกษาว่า "เราไม่อาพาธ จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ."
            ๒. พึงทำศึกษาว่า "เราไม่อาพาธ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะ บนของสดเขียว."
            ๓. พึงทำศึกษาว่า "เราไม่อาพาธ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะในน้ำ.”


ที่มา http://vimuttisuk.com/main/monk/sekhiya.html
ขอบคุณภาพจาก http://topicstock.pantip.com/,http://www.watstockton.com/,http://image.ohozaa.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 13, 2012, 01:13:24 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อนุโมทนา สาธุ คะ
สามเณร เก่ง ๆ มีมากหรือไม่คะ ที่สำเร็จพระอรหันต์ ในครั้งพุทธกาล หรือในปัจจุบัน อย่างนี้ คะ

  :25: :c017:
บันทึกการเข้า