การบรรพชาสามเณร
คำว่า บวช มาจากภาษาเขมรว่า บัวส ซึ่งมาจากคำในภาษาบาลีว่า "ปวชฺชติ" หรือ ป + วช แปลว่า ทิ้งไป เว้นทั่ว คือ การละทิ้งบ้านเรือน ทรัพย์สมบัติ เว้นจากกาม เป็นการเว้นจากพฤติกรรมต่างๆ ที่เคยกระทำอยู่ในชีวิตของฆราวาสเพื่อไปปฏิบัติธรรม ประพฤติกายใจตามกฎเกณฑ์ทางศาสนา คำว่าบวชเป็นคำที่ใช้เรียกกันทั่วไป แต่ความหมายของการบวชนั้นแยกออกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือการบวชเพื่อเป็น สามเณร เรียกว่า "การบรรพชา" ส่วนการบวชเพื่อเป็น พระภิกษุ เรียกว่า "การอุปสมบท"
บรรพชา (อ่านว่า บันพะชา, บับพะชา) แปลว่า การงดเว้นจากความชั่ว หมายถึงการบวชเป็น "นักบวช" เดิมคำว่า "บรรพชา" หมายถึง การบวชของนักบวชชายที่มีอายุยังไม่ถึงที่จะอุปสมบท เช่น เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชา สาวกบรรพชา และเรียกนักบวชเช่นนั้นว่า บรรพชิต แต่ในสมัยปัจจุบัน คำว่าบรรพชานี้ใช้เรียกเฉพาะ การบวชเป็นสามเณรเท่านั้น
สามเณรองค์แรกของพระพุทธศาสนา คือ "พระราหุล" ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสารีบุตรเป็นผู้บวชให้ และพระองค์ทรงกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะบรรพชาเป็นสามเณรไว้ คือ จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๕ ปี และได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครองแล้ว ดังข้อความตาม พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ ตอนที่ ๑ (พระวินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ) ความว่า...
ปฐมเหตุการกำหนดอายุผู้บวชเป็นสามเณร
[๑๑๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ตระกูลหนึ่งได้ตายลง เพราะอหิวาตกโรค. ตระกูลนั้นเหลืออยู่แต่พ่อกับลูก. คนทั้งสองนั้นบวชในสำนักภิกษุแล้ว เที่ยวบิณฑบาตด้วยกัน. ครั้นเมื่อเขาถวายภิกษาแก่ภิกษุผู้เป็นบิดา สามเณรน้อยก็ได้วิ่งเข้าไปพูดว่าพ่อจ๋า ขอจงให้แก่หนูบ้าง พ่อจ๋า ขอจงให้แก่หนูบ้าง.
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สามเณรน้อยรูปนี้ชะรอยเกิดแต่ภิกษุณี. ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เด็กชายมีอายุหย่อน ๑๕ ปี ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.พระราหุลกุมารทรงผนวชเป็นสามเณร
[๑๑๘]………............
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการบวชกุลบุตร เป็นสามเณรด้วยไตรสรณคมน์. วิธีให้บรรพชา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงให้กุลบุตรบวชอย่างนี้:-
ชั้นต้น พึงให้โกนผมและหนวด แล้วให้ครองผ้าย้อมฝาด ให้ห่มผ้าเฉวียงบ่า ให้กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย ให้นั่งกระหย่ง ให้ประคองอัญชลี แล้วสั่งว่า จงว่าอย่างนี้ แล้วสอนให้ว่าสรณคมน์ดังนี้:- ไตรสรณคมน์
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ทุติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง
ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง
ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ตติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง
ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง
ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการบวชกุลบุตรเป็นสามเณรด้วยไตรสรณคมน์นี้.สิกขาบทของสามเณร
[๑๒๐] ครั้งนั้น สามเณรทั้งหลาย ได้มีความดำริว่า สิกขาบทของพวกเรามีเท่าไรหนอแล และพวกเราจะต้องศึกษาในอะไร. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสิกขาบท ๑๐ แก่สามเณรทั้งหลาย และให้สามเณรทั้งหลายศึกษาในสิกขาบท ๑๐ นั้น คือ
๑. เว้นจากการทำสัตว์ที่มีชีวิตให้ตกล่วงไป
๒. เว้นจากถือเอาพัสดุอันเจ้าของมิได้ให้
๓. เว้นจากกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์
๔. เว้นจากการกล่าวเท็จ
๕. เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
๖. เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
๗. เว้นจากฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่นที่เป็นข้าศึก
๘. เว้นจากการทัดทรงตกแต่งด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้อันเป็นฐานแห่ง การแต่งตัว
๙. เว้นจากที่นั่งและที่นอนอันสูงและใหญ่
๑๐. เว้นจากการรับทองและเงิน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสิกขาบท ๑๐ นี้ แก่สามเณรทั้งหลาย และให้สามเณรทั้งหลายศึกษาในสิกขาบท ๑๐ นี้. นอกจากนี้ยังต้องศึกษาข้อปฏิบัติอันเกี่ยวด้วยมารยาท คือ เสขิยวัตร อีก ๗๕ ข้อด้วยอานิสงส์ของการบรรพชา
ถึงแม้การบวชเป็นสามเณรจะมีพิธีการไม่ยุ่งยาก เพราะมีเพียงการเข้าถึง ไตรสรณคมน์ และถือศีลตามที่พระผู้มีพระภาค ได้ทรงบัญญัติไว้เพียง ๑๐ ข้อดังกล่าวแล้ว แต่ "สามเณร" ก็ได้ชื่อว่าเป็นเชื้อสายแห่งสมณะ เป็นนักบวชชายในพระพุทธศาสนา ซึ่งนับได้ว่ามี "อานิสงส์" มาก ดังคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ท่านได้เมตตาสั่งสอนลูกหลานไว้สถานที่ทำพิธีบรรพชา
เป็นกุฎีของพระอุปัชฌาย์ผู้ให้บวชก็ได้ หรือจะเป็นในอุโบสถก็ได้ จะมีพระอันดับตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปก็ได้ หรือไม่มีก็ได้ ที่มา : ภาพโดย คุณสุคนธวิชญ์ นิภานนท์, ฝ่ายรณรงค์เผยแพร่ สถาบันสวัสดิการและพัฒนาเด็ก, มูลนิธิเด็ก (
www.ffc.or.th)
(สิ้นสุดการบรรพชาเป็นสามเณรเพียงแค่นี้)
ที่มา
http://vimuttisuk.com/main/monk/samanen.htmlขอบคุณภาพจาก
http://vimuttisuk.com,http://www.bloggang.com/,http://www.kammatthana.com/
สามเณร
[สามมะเนน] น. ผู้ดํารงเพศอย่างภิกษุ แต่สมาทานศีล ๑๐, เรียกสั้น ๆ ว่า เณร. (ป.).ที่มา พจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒