
สวัสดีเพื่อนสมาชิก ทุกท่านครับ วันนี้ผมมาด้วยเรื่อง ประสพการณ์ปัญหาชีวิตครับ
ผมก็เป็นปุถุชชนคนหนึ่ง ที่หาเช้ากินค่ำ ทำงานหาเงิน เพื่อเลี้ยงดูปากท้องของครอบครัว
และตนเอง
ผมมีลูกสาวอยู่ 1 คน อายุก็เริ่มจะเป็นรุ่นสาว ชีวิตผมได้หย่ากับแฟนแล้ว เพราะเขาไปแต่งงานใหม่ ด้วยเหตุผลว่าผมเป็นผู้ชายที่ไม่เก่งเรื่องเซ็กซ์ ไม่หล่อ ไม่รวย เอาใจไม่เก่ง เป็นคำพูดที่ผู้หญิงใช้เป็นเหตุผลหย่ากับผมทั้งที่อยู่กันมาถึง 13 ปีด้วยกัน แต่ผมก็ยอมรับว่าผมไม่เก่งเรื่องเซ็กซ์ ไม่หล่อ และไม่รวย แถมไม่ค่อยง้อ ผู้หญิงด้วย
เพราะผมถือคติว่า ชีวิตสร้างตัวมาไม่ไ้ด้ด้วยบนกองมรดก แต่สร้างจากน้ำพักน้ำแรงตนเอง บางครั้งก็จะติดหยิ่ง ๆ อยู่บ้าง
เพราะความที่ผมมีลูกคนเดียว จึงทำให้ผมรักลูกสาวมาก ค่อนข้างจะตามใจ
จนวันนี้เธอติดนิสัย ที่ไม่ดีอยู่หลายอย่างเช่น เป็นคนขาดความมีระเบียบ ถ้าไม่มีคนคอยบอกหรือบังคับ
ก็จะผันชีวิตไปตามที่ตนเองชอบ เช่นถ้าไม่บอกให้นอนก็จะนอนดึก ถ้าไม่บอกให้ตื่นก็จะไม่ตื่นเช้า
ถ้าไม่บอก......ก็ไม่ทำ
2 เดือนช่วงปิดเทอมผมพยายามอบรม บ่มนิสัยให้เธอเป็นคนรับผิดชอบต่อตนเองให้ได้ เพราะผมจะต้องย้าย
ไปทำงานที่จังหวัดอื่น ต้องปล่อยให้เธออยู่กับบ้าน กับย่า กันตามลำพัง
ปกติแม่ผม ( ย่า ) ก็เป็นคนที่มีอารมณ์หงุดหงิด ง่าย ผมจะได้ยินแม่ผมตะโกน ด่าว่าลูกสาวผมเป็นปกติ
เมื่อจะให้สงบผมก็ต้องลงไปทำด้วย แต่ผมก็ทำงานกับมาเหนื่อย ๆ ก็ต้องมาทำ และต้องพูดบ่นว่า เป็นประจำ
เหมือนลูกสาวเป็นเรื่องปกติ เพราะเห็นผมบ่น ผมก็ทำให้อยู่ดี
แต่ไม่มีใครรู้ หรือ จะใส่ใจ ในใจผมว่า ที่ผมต้องทำ ต้องบ่น ต้องเหนื่อย โดยไม่ใส่อารมณ์ออกไปนั้นเพื่อทุกคน
ผมก็มีชีิวิตอยู่อย่างนี้มานาน จนผมได้พบพระอาจารย์ได้สอนพระกรรมฐานให้ทำให้ใจผมสงบลง
ยกตัวอย่าง
เช่นผมจะสั่งลูกสาวเสมอว่า เป็นผู้หญิงนอนแล้วเก็บที่นอน ผ้าห่มก็พับให้เรียบร้อย แต่ทุกวันลูกสาวผมก็ไม่เคยทำ ผมก็โมโห ......คงเข้าใจคำว่า โมโห นะครับ
บ๊ะ เรื่องแค่นี้ ยังทำไม่ได้เลย เรียกมาคุยอบรม รับปากแล้วก็ทำไม่ได้อีก
สองเดือนในช่วงปิดเทอมนี้ ผมต้องทำแทนให้ และก็เรียกอบรมทุกครั้้ง รับปากทุกครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้
คุณจะหงุดหงิดกับบ้างไหม
แต่เพราะพระธรรม ทำให้ผมมองเข้าไปในส่วนลึกข้างในของตัวที่เกรี้ยวกราดอยู่ภายใน ( ภายนอกสงบ )แล้วก็ตั้งคำถามกับตัวเองเป็นชุดเลยว่า
บ้านก็หลังใหญ่ เด็กไม่เก็บที่นอน ไม่พับผ้าห่มแล้วเป็นเด็กไม่ดีหรือ ? ( คิดได้อย่างไรก็ไม่รู้ )
แล้วตัวเราที่กำลังโกรธ กลุ้มอยู่ภายใน นี้เพราะอะไร
สรุปแล้ว คำตอบมันก็ไปจบตรงที่ว่า ลูกสาว ก็ไม่ได้เป็นเรา ไม่ได้เป็นของเรา ไม่ได้เป็นตัวเป็นตนของเรา
มีแต่เพียงสมมุติ หน้าที่ ๆ ต้องดูแลกันไปจนกว่าจะตาย
อนาคต ของลูกสาวเราจะดีไหม
ผมนั่งคิด แบบพ่อที่เป็นห่วงลูก
ใจก็จะเิริ่มโมโหอีก ว่าลูกสาว ไม่เป็นไปตามที่เราิคิดหรือวางแผนไว้ให้
พออารมณ์เริ่มกรุ่น ก็นึกถึงพระอาจารย์ และพระกรรมฐาน ว่าเรากำลังเดือดร้อนเพราะความคิิด
เสียงพระอาจารย์ เตือนในใจว่า
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าก็แสดงแค่เหตุ ผมกำลังใช้เหตุ ผล อันอนุมานด้วยใจแล้วให้ทำให้ผมทุกข์ใจ เป็นคนเดือดร้อนเพราะความคิดพะวงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง
แต่พอจับผลของความคิดแล้ว ใจมันก็สงบ....มองตามความเป็นจริงว่า
เราทำ และ พยายามทำเหตุให้ดีที่สุดในตอนนี้ ดีกว่า ส่วนเรื่องของอนาคตเป็นเรื่องของกรรมที่เขาพอกพูน
ทั้งในปัจจุบัน และ อดีต เลิกพะวงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง
เพราะความดิดเกิดขึ้นอย่างนี้
ลูกสาวผม จึงพ้นจากการลงโทษ เพราะเดิมทีผมว่าจะใช้ไม้แข็ง คือ ตี ( รักลูกต้องตี ) แต่ตอนที่ผมทำอย่างนั้น
ผมคงต้องใส่อารมณ์ฉุนเฉียวลงไปด้วยแน่ สุดท้ายผมก็ถูกกิเลสเผาก่อน
ลูกสาวผม จึงพ้นจากการโดนบ่น หรือ ว่า เหลือแต่เพียง พ่อ ที่พูดกับลูกสาว แบบซังกะตาย ว่าพ่อจะทำให้ดีที่สุดในหน้าที่ของพ่อ หนูจงหน้าที่ให้สมบูรณ์ในหน้าที่ของลูก
ลูกสาวผม จึงพ้นจากการทำงานที่เขาต้องทำ เพราะกลายเป็นผมทำแทนโดยที่ผมไม่ได้บ่น อะไร
ท่านสมาชิกทุกท่าน อ่านแล้วคงเห็น หัวอกพ่อ และ หัวใจธรรม ที่ต้องคุ่กันไป
ผมไม่รู้ว่าการกระทำของผมนั้น ถูกหรือ ผิด
ถ้าท่านสมาชิก มีความเห็นว่าผมควรจะทำอย่างไรเพิ่มเติม ก็ช่วยแสดงความเห็นให้กับผมด้วยนะครับ
อย่างน้อย ตอนนี้ผมก็ได้รับคำตอบว่า
ทุกข์ใจเพราะลูก หรือ ทุกข์ใจเพราะเรา
จากพ่อที่เลิกบ่น
:'(
