ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เขาคิชฌกูฏ (2)  (อ่าน 1787 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
เขาคิชฌกูฏ (2)
« เมื่อ: เมษายน 27, 2013, 08:23:03 am »
0

เขาคิชฌกูฏ (2)

สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์ กลับมาแล้วค่ะ กลับมาตามสัญญากับเรื่องราวของเขาคิชฌกูฏที่ยังคงติดค้างไว้ ว่าแล้วก็มาต่อกันเลยนะคะ ครั้งที่แล้วเล่าถึงความเป็นมาไปแล้ว คราวนี้เรามาดูในส่วนของตำนานกันบ้างดีกว่า

ในด้านตำนานเล่าขานนี้ คุณครูก็ได้ข้อมูลเจาะลึกถึง ตำนานรอยพระพุทธบาทที่เขาคิชฌกูฏได้ความมาว่า มีเรื่องเล่าบอกกล่าวจากการที่นายติ่งและกลุ่มเพื่อนได้ขึ้นไปบนเขาเพื่อไปหาพันธุ์ไม้กฤษณามาขาย ระหว่างทางได้พักเหนื่อยบนลานหินกว้าง ซึ่งที่นี่เองเพื่อนของนายติ่งคนหนึ่งได้ถอนหญ้าเพื่อนอนพักแล้วได้พบแหวนใหญ่ขนาดสวมหัวแม่เท้าได้ เห็นอย่างนั้นทั้งหมดจึงช่วยกันตรวจดูก็พบหินแผ่นหนึ่งมีพื้นที่เป็นรอยรูปก้นหอย

ต่อมาเมื่อนายติ่งและกลุ่มเพื่อนได้นำบุตรชายไปอุปสมบทที่วัดพลับ ซึ่งที่วัดนี้เองได้มีงานปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลอง นายติ่งก็ได้ซื้อทองไปปิดรอยพระพุทธบาทพร้อมกับพูดกล่าวออกมาว่า
    แถวบ้านตนก็มีรอยแบบนี้เช่นเดียวกัน เรื่องที่นายติ่งพูดออกมาไปเข้าหูพระรูปหนึ่ง
    จึงนำความไปเรียนให้เจ้าอาวาสวัดทราบ เจ้าอาวาสจึงเรียกนายติ่งเข้าไปสอบถาม พร้อมกับส่งคณะขึ้นไปพิสูจน์ดู

ก็พบว่าเป็นความจริง โดยรอยพระพุทธบาทนั้นทรงเหยียบจารึกไว้ที่ศิลาแผ่นใหญ่ สามารถบรรจุคนนั่งได้ร้อยกว่าคน ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงสุด
    ภายหลังจึงได้ชื่อเรียกว่า พระบาทพลวง หรือ พระพุทธบาทพลวง ประดิษฐานอยู่บน เขาคิชฌกูฎ
    โดยพระบาทพลวงนี้ เป็นรอยพระพุทธบาทขนาดใหญ่ กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร
    อยู่บนยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตร ของจังหวัดจันทบุรี
    และถือว่าเป็นรอยพระพุทธบาทที่สูงที่สุดของประเทศไทย และอยู่ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีประมาณ 40 กิโลเมตร


นอกจากนั้นทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรอยพระพุทธบาทมีหินกลมก้อนหนึ่งใหญ่มาก เรียกว่า หินลูกพระบาท ตั้งขึ้นมาอย่างน่าแปลกประหลาดมหัศจรรย์ มองดูคล้ายลอยอยู่เฉยๆ มีคนกล่าวว่าเคยเอาด้ายสายสิญจน์คล้องแล้วหลุดออกมาได้
     และยังมีหินอีกลูกอยู่ตรงข้ามกับหินลูกพระบาทนี้ ก็มีรอยพระหัตถ์ไปรับหินก้อนนี้
     จากรอยพระพุทธบาทกับรอยพระหัตถ์นั้นห่างกันประมาณ 5 เมตร
     และยิ่งแปลกไปกว่านั้น ในก้อนหินตรงกันข้ามกับรอยพระหัตถ์
     ยังมีรูปรอยเท้าใหญ่ ซึ่งเรียกกันว่า รอยเท้าพญามาร เพียงแหงนหน้าขึ้นไปจะมองเห็นได้ทันที
     โดยมีความสูงประมาณ 15 เมตร ต่อจากนั้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
     ห่างจากหินลูกนี้ไปเพียง 15 วา มีหินลูกข้างบนเป็นลานและมองเห็นรอยรถหรือรอยเกวียน


     เมื่อยืนบนหินลูกนั้นมองลงไปทางทิศเหนือจะเห็นถ้ำเต่า
     หันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของรอยพระพุทธบาทจะเห็นถ้ำช้าง
     และถ้ามองจากรอยพระพุทธบาทขึ้นไป จะเห็นหินก้อนหนึ่งมีรูปลักษณะคล้ายช้างจริง
     เลยจากช้างไปสูงสุดนั้นเรียกกันว่าห้างฝรั่ง ว่ากันว่าที่เรียกว่าห้างฝรั่งเพราะฝรั่งได้ขึ้นไปตั้งห้างส่องกล้องเพื่อทำแผนที่

     (อดใจอธิบายความหมายของคำว่า “ห้าง” ไม่ได้ตามเคย คำว่า ห้างที่หมายถึงสถานที่ในการดูสัตว์ในป่านั้นแตกต่างจากห้างสรรพสินค้านะคะคุณๆ ห้างในที่นี้หมายถึงสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนยอดไม้เพื่อใช้ในการส่องสัตว์ ล่าสัตว์ อาจจะทำเป็นลักษณะของแคร่ที่ลอยฟ้าอยู่บนต้นไม้ก็ได้ โดยตัดไม้ไปทำแคร่ให้นั่งนอนได้สบาย แล้วเอาใบไม้กรุให้รอบ การนั่งห้างในป่าเป็นการล่าสัตว์อีกวิธีหนึ่งที่พรานนิยมใช้ เป็นวิธีการดักยิงสัตว์ป่า โดยผู้ยิงจะอยู่บนห้างที่ทำไว้บนต้นไม้ ใกล้กับบริเวณที่สัตว์ป่าออกมาหากิน ส่วนมากการนั่งห้างส่องสัตว์จะนิยมยิงสัตว์ป่าในตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวันค่ะ)

หลังจากนั้นถ้าเรามองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ยังมีถ้ำอีกถ้ำหนึ่งเรียกว่าถ้ำสำเภา เพราะมีหินก้อนหนึ่งข้างบนถ้ำมีลักษณะคล้ายๆ เรือสำเภา และยังมีอีกถ้ำหนึ่งใต้พระบาทนี้เรียกว่าถ้ำตาฤาษี เรียกว่ารายรอบเขาล้วนแล้วแต่มีสิ่งประหลาดมหัศจรรย์อยู่มากมายไปหมด จึงไม่น่าแปลกใจว่ามีบรรดาประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธา หลั่งไหลเข้ามาสักการะกันอย่างไม่ขาดสาย

มาถึงตรงนี้ขอเล่าประสบการณ์ตรงของคุณครูเองเสียหน่อย คุณครูออกจากกรุงเทพฯ ในช่วงค่ำเพื่อไปถึงจันทบุรีในตอนดึก จากนั้นก็ตัดสินใจขึ้นเขากันเลย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทนเปลวแดดที่แผดเผาในเวลากลางวัน กว่าจะเสร็จสิ้นกิจกรรมการสักการะทั้งหมดก็เป็นเวลาย่ำรุ่งของวันใหม่ ก็ต้องบอกกับทุกๆ ท่านไว้เลยว่า การไปเขาคิชฌกูฏต้องเตรียมตัวให้พร้อม ร่างกายต้องพร้อม ใจก็ต้องพร้อม เพราะถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งไม่พร้อม รับรองว่าไปไม่ถึงแน่นอนค่ะ

    คุณผู้อ่านคะ จะว่าไปการเดินขึ้นเขาคิชฌกูฏก็คือปริศนาธรรมอย่างหนึ่งนะคะ
    “เป็นการสอนให้เราก้าวเดินตามรอยพระพุทธเจ้า ฝ่าความลำบาก ตรากตรำเพื่อให้พบกับแสงแห่งธรรม”
    มีข้อแนะนำให้อีกนิดว่า “ถ้าไม่อยากเหนื่อย ไม่อยากท้อ และไม่อยากได้ชื่อว่าไปต่อไม่ไหว”
    ให้เดินทุกก้าวอย่างมีสติ ให้สติอยู่ที่เท้า อยู่ที่แต่ละก้าวที่เดินไป เราจะไม่เหนื่อย
    อย่านึกถึงความชัน อย่านึกถึงความไกล ให้ใจอยู่กับเท้า อยู่ก้าวย่างซ้ายและขวา
    เราจะเกิดปัญญา และมีสติ พิชิตเขาแห่งธรรมลูกนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น สาธุ และ สวัสดีค่ะ


instagram : krulilly
facebook : ครูลิลลี่


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/339523
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 27, 2013, 08:33:35 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

saiphone

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 134
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เขาคิชฌกูฏ (2)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 27, 2013, 11:07:48 am »
0
 st11 st12 thk56
บันทึกการเข้า
พระธรรม นำให้ ส่วางไสว ในดวงจิต