« เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2013, 06:13:36 am »
0
พุทธวิธีระงับความโกรธ'เมื่อถูกด่า'
พุทธวิธีระงับความโกรธ'เมื่อถูกด่า' : บทความโดยพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส หัวหน้าโครงการปริญญาโทหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)
ในขณะที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก" ถึงกระนั้น "คนที่ไม่เคยถูกด่าก็ไม่มีในโลกเช่นเดียวกัน" กฏข้อนี้ พระพุทธเจ้าก็มิได้รับการยกเว้น คำถามมีว่า พระองค์ทรงวางท่าทีอย่างไร? เมื่อใครสักคนหาญกล้าไปยืนด่าท่านแบบตรงๆ เพื่อมุ่งหวังให้ท่านเกิดความอับอายและเจ็บปวดรวดร้าว
๑. การน้อมรับคำด่า ประดุจช้างที่ตัดสินใจเข้าสู้สมรภูมิรบย่อมต้องพบกับลูกศรที่มาจากทิศทั้ง ๔ นางมาคันทิยา ทั้งด่าเอง และจ้างคนอื่นมาด่าพระพุทธเจ้าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย และรุนแรงว่า “เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นบ้า เจ้าเป็นอูฐ เจ้าเป็นวัว เจ้าเป็นลา เจ้าเป็นสัตว์นรก เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เจ้าไม่มีวันได้ไปสวรรค์ และเจ้าไปนรกได้อย่างเดียว...ฯลฯ”
พระพุทธองค์นำเสนอแนวทางเพื่อเตือนและเตรียมใจรองรับการด่าจากคนอื่นว่า "เราจะอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่น เหมือนช้างศึกก้าวลงสู่สงคราม ต้องทนต่อลูกศรซึ่งมาจากทิศทั้ง ๔ เพราะคนในโลกนี้ส่วนมากเป็นคนชั่ว คอยแส่หาแต่โทษของผู้อื่น... ผู้ใดฝึกตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้ จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด ม้าอัสดร ม้าสินธพ พญาช้างตระกูลมหานาคที่ได้รับฝึกแล้ว จัดเป็นสัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ แต่คนที่ฝึกตนดีแล้วยังประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้น"
๒. การไม่ด่าโต้ตอบ เพราะการโต้ตอบมีค่าเท่ากับการเกลือกกลั่วให้มอมแมมทั้งสองคน ในขณะที่อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้า พระองค์ได้วางท่าทีต่อคำด่าว่า เป็นธรรมเนียมทั่วไป เมื่อญาติสนิทมิตรสหาย และผู้หลักผู้ใหญ่เดินทางมาที่เรือนชาน จำเป็นที่เราในฐานะเจ้าของบ้านจะต้องเตรียมอาหาร และเครื่องดื่มเอาไว้ต้อนรับ สิ่งที่พระพุทธเจ้าพยายามจะตั้งข้อสังเกตคือ ในกรณีที่คนเหล่านั้นไม่ดื่ม รับประทาน หรือนำกลับไปด้วย สิ่งของที่เตรียมเอาไว้จะเป็นของใคร หากมิใช่เป็นของเจ้าของบ้านเช่นเดิม
ประเด็นนี้ พระพุทธเจ้าได้ให้สติแก่พราหมณ์ "ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าอยู่... เราไม่น้อมรับการด่าของท่าน การด่าก็ย่อมเป็นของท่านแต่เพียงผู้เดียว ผู้ใดด่าตอบบุคคลผู้ด่าอยู่... ผู้นี้เรากล่าวว่าย่อมบริโภคด้วยกัน เรานั้นไม่บริโภคร่วม ไม่กระทำตอบด้วยท่านเป็นอันขาด... คำด่าจึงตกเป็นของท่านแต่เพียงผู้เดียว..." หลังจากนั้น พระองค์จึงสรุปในประเด็นนี้ว่า "...บุคคลไม่โกรธ (ด่า) ตอบบุคคล ผู้โกรธ (ด่า) แล้ว ชื่อว่า ย่อมชนะสงครามอันบุคคลชนะได้โดยยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธ (ด่า) แล้ว เป็นผู้มีสติสงบเสียได้ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือ แก่ตนและแก่บุคคลอื่น..."
สรุปคือ เมื่อเราเผชิญหน้ากับคำด่า ทั้งรุนแรงและไม่รุนแรงนั้น พระพุทธเจ้าย้ำเตือนให้ตั้งสติ วางใจให้สงบนิ่ง และไม่เข้าไปเติมเชื้อไฟแห่งความรุนแรงทางวาจาอันเนื่องมาจากโกรธ เกลียด เคียดแค้น และชิงชังให้ขยายตัวลุกลามออกไป
เมื่อช้างก้าวสู่สงครามย่อมไม่เกรงกลัวต่อลูกศรที่มาจากทิศทั้ง ๔ ฉันใด
เมื่อเราตัดสินใจทำงานใหญ่เพื่อรับใช้สังคมหรือคนอื่นๆ ย่อมไม่ควรที่จะเกรงกลัวต่อคำด่า ฉันนั้น
พระพุทธเจ้าไม่สามารถทำให้คนทั้งชมพูทวีปชื่นชม และยอมรับพระองค์ได้ ฉันใด
ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะทำให้ทุกคนในชุมชน องค์กร หรือสังคมนิยมชมชอบเราได้ทั้งหมด
ประเด็นคือ ในขณะที่เราไม่สามารถทำให้ทุกคนในชุมชน และสังคมนิยมชมชอบเราได้
เราจะทำอย่างไรให้คนเหล่านั้นเกลียด และกลัวเราน้อยที่สุด
เพราะเพียง "แค่คนเดียวเกลียดเรา" อาจจะหมายถึงความสิ้นชีพของเราเอง
ดังเช่น มหาตมะ คานธี อับราฮัม ลินคอล์น และจอห์น เอฟ เคนเนดี้ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20130508/157936/พุทธวิธีระงับความโกรธเมื่อถูกด่า.html#.UYo_60rSi84