ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ท่องแดนพุทธภูมิ....บวชพุทธสาวิกา 2 แผ่นดิน  (อ่าน 1770 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29307
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ท่องแดนพุทธภูมิ....บวชพุทธสาวิกา 2 แผ่นดิน

“ดินแดนชมพูทวีป” หรือ อินเดียในปัจจุบันนั้น  กล่าวกันว่า เป็นดินแดนที่พุทธศาสนิกชนควรเดินทางไปอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต ด้วยว่าที่นั่นมีสถานที่สำคัญ เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรม และปรินิพพาน..

ซึ่งการไปอินเดียของแต่ละคนย่อมได้รับประสบการณ์และความประทับใจที่แตกต่างกันไป แต่เชื่อได้ว่าการไปครั้งไหน ๆ คงไม่อาจสร้างความประทับใจ ปลาบปลื้ม ยินดี ได้เท่ากับการได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับกลุ่มแม่ชีน้อย 28 ชีวิตในโครงการพุทธสาวิกาสองแผ่นดิน ณ แดนพุทธภูมิ ซึ่งจัดโดยเสถียรธรรมสถาน ระหว่างวันที่ 31 มี.ค. ถึง 11 เม.ย.2556 ที่ผ่านมา

ภาพเด็กหญิงตัวเล็กๆ หน้าตาสดใส ศีรษะที่โล้นเลี่ยนดูผุดผ่อง สวมใส่ชุดแม่ชีสีขาวบริสุทธิ์ กับอิริยาบทในทุกก้าวเดินธรรมยาตรา ณ  สถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาที่มีอดีตยาวนานกว่า 2,600 ปี ช่างดูงดงามและน่าเลื่อมใส เกินกว่าจะบรรยาย...

“เสถียรธรรมสถานมีหลักของการทำงานเชิงรุกกับเด็ก คือ เราจะต้องนำธรรมะไปสู่หัวใจเด็ก ยิ่งเล็กมากเท่าใดจะง่ายมากเท่านั้น” แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถาน กล่าวถึงจุดเริ่มต้นสำคัญของการมีพุทธสาวิกาน้อยในโครงการบวชพุทธสาวิกาภาคฤดูร้อน โดยนับย้อนหลังไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน 
     จนกระทั่งในปี 2555 เสถียรธรรมสถานจึงได้ริเริ่มโครงการพุทธสาวิกาสองแผ่นดิน ณ แดนพุทธภูมิ เป็นครั้งแรก นัยหนึ่งก็เพื่อมอบเป็นรางวัลแก่เด็กผู้หญิง ให้ได้รับโอกาสในการบวชที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในอินเดีย



“ยายจ๋า” คือ คำเรียกที่ถูกใช้แทนตัวแม่ชีศันสนีย์... ยายจ๋า บอกว่า หลังจากปีที่แล้วได้นำคณะพุทธสาวิกามาบวชครั้งแรกที่อินเดีย ผลปรากฎว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง กลุ่มเด็กที่บวชจากอินเดียแล้วเดินทางกลับไปเมืองไทย พวกเขาได้รวมตัวกันขอเปิดโรงเรียนอริยะ ที่เสถียรธรรสถาน เพื่อเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต   

     แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ก็คือเด็กสามารถมีชีวิตอยู่ เมื่อโลกมากระทบที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เด็กสามารถรู้ทันไหวใจตื่น และเขาสามารถบรรลุธรรมได้ เหล่านี้ถือเป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นแล้วด้วยระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่าวันในอินเดีย และนั่นเองทำให้ต้องมีโครงการบวชพุทธสาวิกาสองแผ่นดิน ครั้งที่ 2 เกิดขึ้น

“การให้เด็กได้เรียนรู้สังเวชนียสถานในสถานที่จริง สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือ เด็กจะรู้ว่าแท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นเทพหรือเทวดา จากนั้นเมื่อเด็กได้เห็นสถานที่ประสูติ บ่อน้ำที่พระองค์ทรงสรงสนานครั้งแรก และได้เห็นว่ากรุงกบิลพัสดุ์มีอยู่จริง ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงหมดไม่ใช่นิยาย
     ดังนั้นเวลาเพียง 10-12 วันที่นี่ จึงสามารถเปลี่ยนรหัสในตัวเด็กได้ เพราะเมื่อเด็กได้เจอของจริงก็จะรู้ว่าอะไรปลอม ดังนั้นตนเชื่อว่าการบวชพุทธสาวิกาสองแผ่นดิน เป็นการลงทุนครั้งสำคัญให้แก่โลก เพื่อดับอวิชชาและทำให้โลกเปลี่ยนแปลงในทางที่ควรจะเป็น”

คำบอกเล่าของคุณยายจ๋า ถูกทำให้ปรากฎเห็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะตลอดระยะเวลาการเดินทางที่แสนเหน็ดเหนื่อย ทั้งอากาศที่ร้อนจัด รวมถึงสภาพแวดล้อมในความเป็นอินเดีย แบบที่เด็กๆ ไม่คุ้นชิน กลับไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเดินทางแสวงบุญครั้งนี้



แม่ชีโอ๊ะ หรือ “โมลี เขียวสะอาด” ผู้รับหน้าที่แม่ชีพี่เลี้ยง บอกว่า การดูแลอบรมแม่ชีน้อย นับตั้งแต่วัยน้อยที่สุด 5 ขวบ ไปจนถึงพี่ใหญ่ 12 ขวบนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะการเรียนรู้ในทางธรรม จะไม่คาดหวังสิ่งใดจากตัวเด็ก ดังนั้นเด็กทุกคนที่มาบวชเป็นพุทธสาวิกาน้อยไม่ได้ผ่านการคัดเลือกเข้ามา เนื่องจากเสถียรธรรมสถานมีความเชื่อว่าเด็กทุกคนมีเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา และอริยะสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้จริง
 
“เราไม่คาดหวังว่าเด็กจะต้องได้เรียนรู้ธรรมเป็นขั้นตอน 1 2 3 4 แต่หน้าที่เรา คือ การรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อรดน้ำดีเมล็ดพันธุ์จะงอกออกมาดี หากแต่จะเรียนรู้มากน้อยแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมและกรรมเก่าของแต่ละบุคคล

     อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทุกคนจะได้เหมือนกันจากการศึกษาเรียนรู้แดนพุทธภูมิ คือ การได้ภาพจำที่เป็นภาพจริง เช่น เวลาเดินทาง มันมีความยากลำบากยังไง ร้อนแค่ไหน ซึ่งเด็กๆ ก็จะได้สัมผัสของจริงผ่านประสบการณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ได้รู้สึกด้วยเหมือนกัน 

     ดังนั้นเด็กๆ ก็จะเห็นว่าคำสอนหรือคำบอกเล่าจากพุทธประวัตินั้นของจริงนะ ไม่ใช่นามธรรม ถึงจะไม่เห็นพระพุทธองค์ก็ตาม ส่วนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแก่ตัวเด็กเอง คือการเติบโตทั้งร่างกายและจิตใจ แน่นอนว่า เด็กมีวินัยและอดทนมากขึ้น”

 

อย่างที่บอกแล้วว่า เส้นทางจาริกบุญในดินแดนพุทธภูมินั้น ไม่ใช่ว่าไปกันแบบสบายๆ และใครๆ ก็ไปกันได้ง่ายๆ สำหรับผู้ใหญ่บางคนยังยอมรับว่า สิบวันรู้สึกเหมือนสิบเดือนก็มี ส่วนเหล่าพุทธสาวิกาน้อยจะรู้สึกอย่างไรกันบ้าง

เริ่มจาก ด.ญ.นฤชล นิลสุวรรณ หรือ พุทธสาวิกาไอเดีย อายุ 11 ปี บอกว่า นี่เป็นการบวชครั้งแรก และ ได้มาอินเดีย รู้สึกชอบ เพราะเหมือนกับได้ผจญภัย และได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าทำอะไรถึงเป็นพระพุทธเจ้า แต่ถ้าถามว่าให้ไปอินเดียอีกจะไปหรือไม่ แม่ชีน้อยไอเดีย ตอบว่า ไม่ไป เหตุผลเพราะตนได้มาอินเดียด้วยทุนฟรีจากเสถียรธรรมสถาน เนื่องจากเป็นเด็กด้อยโอกาสในศูนย์การเรียนรู้บ้านลูกรัก ดังนั้นหากมีโอกาสอีกจึงอยากแบ่งที่นั่งให้เพื่อนๆ ได้มาเห็นบ้าง

ด.ญ.ปาย พิมพ์วิริยะกุล หรือ พุทธสาวิกาปาย อายุ 8 ปี บอกว่า เธอได้บวชครั้งแรกที่เมืองไทยเมื่อปีที่แล้ว ครั้งที่สองคือครั้งนี้ที่ได้มาอินเดีย ช่วงวันแรกๆ จะรู้สึกไม่ค่อยชอบ แต่ในที่สุดความคิดก็เปลี่ยนไปและพร้อมจะเดินทางมาพำนักที่อินเดียเสมอ พร้อมกับเป้าหมายสุดท้ายของชีวิตตอนนี้คือ อยากเป็นแม่ชีเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา
    “ที่อินเดีย มีคนพิการเยอะ ทีแรกเห็นแล้วก็ อึ๋ย.. รู้สึกเหมือนไม่ค่อยชอบ แต่พอหลายวันเข้าก็คิดว่าเอาน่า.. เขาก็เป็นคนเหมือนกัน แล้วเขาลำบากกว่าเราตั้งเยอะ ก็ไม่ต้องอะไรมากหรอก แล้วก็ชอบมาอินเดีย เพราะว่าอินเดียแดดร้อน ได้ฝึกความอดทน”

 

ขณะที่ ด.ญ.กัญญาภัค เปี่ยมสาขา หรือ พุทธสาวิกาซาซ่า อายุ 11 ปี บอกว่า บวชครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง และมาอินเดียเป็นครั้งที่สองแล้วเช่นกัน ถามว่าอินเดียให้อะไรแก่ตน คำตอบคือ การเติบโต ต้องช่วยเหลือตัวเอง เลิกติดพ่อแม่ และพร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่น เพราะประสบการณ์จากที่เคยมาอินเดียแล้ว ก็ทำให้ตนต้องเป็นพี่คอยดูแลน้องๆ แม่ชีในคณะครั้งนี้ด้วย

ส่วน ด.ญ.ฐัสมนต์ สถิตกุลชัย หรือ พุทธสาวิกาหยก อายุ 11 ปี บอกว่า เธอบวชครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แต่เป็นครั้งแรกของการเดินทางมาอินเดีย สิ่งที่ได้จากอินเดียคือ การได้ให้ เพราะตนให้ความเมตตาแก่คนอินเดีย เห็นคนอินเดียเป็นอยู่ลำบากต้องขอทานเขากิน ตนอยากช่วยเหลือเขาจึงภาวนาขอให้ชาติหน้า คนขอทานที่อินเดียได้เกิดในวรรณะที่ดีขึ้น

 

ในสถานที่เดียวกันคือ อินเดีย ในสภาวะความเป็นแม่ชีน้อยเหมือนกัน แต่การรับรู้และความรู้สึกนึกคิดของเด็กๆ ล้วนแตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกับชาวพุทธทั้งหลายที่อาจกำลังมีความคิดอยู่ว่าอยากลองมาอินเดียดูสักครั้ง เมื่อโอกาสนั้นมาถึงก็อย่าลืมที่จะบอกต่อความรู้สึกที่ว่า ทำไมครั้งหนึ่งในชีวิตถึงต้องไปอินเดีย.

จินดาวัฒน์ ลาภเลี้ยงตระกูล


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.dailynews.co.th/education/201534
วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2556 เวลา 00:00 น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 12, 2013, 08:21:15 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ท่องแดนพุทธภูมิ....บวชพุทธสาวิกา 2 แผ่นดิน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2013, 09:49:11 am »
0


 โอ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ มีแต่ผู้ชาย บวชสามเณร ภาคฤดูร้อนเท่านั้น ยังมีเด็กผู้หญิง ที่บวชเป็นแม่ชีน้อย ด้วย อนุโมทนา คะ  ยิ่งเป็นเด็กผู้หญิง ผม นี้สำคัญมาก อุตส่าห์ สละเวลา มาบวชด้วย แสดงว่าผู้ปกครอง และ ผู้ที่มีจิตศรัทธา ต้องเต็มเปี่ยม และ การดูแล นั้นต้องมีระบบมากกว่า ผู้ชาย เพราะผู้หญิง เป็นเพศที่ต้องระวังมากกว่าผู้่ชาย มีเรื่องเยอะ กว่าผู้ชาย เคยไปบางวัดเห็น สามเณรแก้ผ้าอาบน้ากัน มีเพียงผ้าใบปิด เท่านั้น แต่ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงแล้ว ต้องมีที่มิดชิดกว่า


    อนุโมทนา คะ

   thk56 st12
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ