ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ผ่าวงการสงฆ์ พ.ศ.2556 ยุคผ้าเหลืองเสื่อมสุดขีด…?  (อ่าน 3725 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29447
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ผ่าวงการสงฆ์ พ.ศ.2556 ยุคผ้าเหลืองเสื่อมสุดขีด…?

กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ให้ถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น ภายหลังวงการพระสงฆ์มีเรื่องราวฉาวโฉ่ ไม่เหมาะสมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์บุกจับ! พระเสพค้ายาบ้าคากุฏิพร้อมยึดของกลาง, เสื่อม! พระบอกชาวบ้านให้ใส่บาตร สุราและเบียร์เท่านั้น, แฉคลิปพระเล่นไพ่ในกุฏิ, จับพระสงฆ์วัย 79 ปีหื่น ซื้อบริการสาว 21 หลับนอน, สลด! พระด่าสีกาสนั่นรถไฟฟ้า, พระมั่วสีกา, พระตุ๋ยเณร

ล่าสุดก็เรื่อง พระชื่อดังยอมรับว่าครอบครองรถหรู โดยลูกศิษย์มอบให้ คลิปพระนั่งเครื่องบินเจ็ตใช้ของแบรนด์เนม ใช้ไอแพด-ไอโฟน และภาพพระสงฆ์มอบกุญแจรถยนต์ให้กับพระผู้ใหญ่

นี่แค่ครึ่งปีแรก เรื่องราวกระอักกระอ่วนในวงการผ้าเหลืองเหล่านี้ ไม่มีทีท่าว่าจะหมดลง นับวันยิ่งทวีคูณความเสื่อมถอยมากขึ้นเรื่อยๆ จนหลายคนตั้งคำถามกับสิ่งที่ถาโถมระยะหลังมานี้ว่า พวกเรากำลังเข้าสู่ยุคที่พระสงฆ์เสื่อมที่สุดอยู่ใช่ไหม

แล้วเราจะไหว้พระสงฆ์ ซึ่งเป็นที่มั่น ที่พึ่งสุดท้ายกันอย่างสนิทใจได้อย่างไร และสิ่งสำคัญที่ต้องค้นหาคำตอบก็คือ อะไรคือต้นธารสาเหตุ พระ ศาสนา ญาติโยม หรือสังคม? พร้อมกับหาทางออกด้วยว่าในยุคที่วงการผ้าเหลืองเสื่อมสุดขีด เราจะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไร ไทยรัฐออนไลน์อาสาพาไปหาคำตอบ



พระไพศาล วิเคราะห์ 2556 ยุคพระเสื่อมสุดขีด เพราะอะไร...?

พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต พระนักวิชาการนักคิดนักเขียนพระพุทธศาสนารุ่นใหม่ เป็นนักปฏิบัติธรรมชื่อดัง เห็นว่าเหตุการณ์วงการสงฆ์เสื่อมนั้นมันเกิดขึ้นทุกยุค-สมัย โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ถึงกันอย่างรวดเร็ว

“อาตมายอมรับว่ายุคนี้เป็นอีกยุคหนึ่งที่พระสงฆ์เสื่อมมากที่สุดยุคหนึ่ง เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเราอยู่ในยุควัตถุนิยม บริโภคนิยม ทุนนิยมมันแพร่หลายไปกว้างขวาง ทำให้พระลุ่มหลงไปกับสิ่งเหล่านี้มากๆ และยิ่งสมัยนี้พระสงฆ์นั้นแยกขาดจากชุมชนไปไกลมาก สมัยก่อนชุมชนจะเป็นตัวควบคุม แต่ตอนนี้พระไม่ค่อยแคร์สังคมหรือชุมชนรอบข้างแล้ว และที่สำคัญชุมชนรอบๆ ข้างก็ไม่ได้สนใจพระ ฉะนั้นพระท่านก็มีอิสระว่าจะทำอะไร ถ้าทำไม่ดี หรือประพฤติตัวย่อหย่อน ก็ทำได้ง่ายขึ้น”

พระไพศาลชี้ว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้วงการสงฆ์มาถึงยุคเสื่อมแบบนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาใหญ่ระดับโครงสร้างมาจากคณะสงฆ์มหาเถรสมาคม ผู้ทำหน้าที่ดูแลกติกาอ่อนแอ ขาดประสิทธิภาพไม่ได้เน้นการพัฒนาจิตใจ เน้นแต่การปฏิบัติทำสมาธิ ภาวนา จึงไม่มีแรงที่จะต่อต้าน ไม่มีภูมิคุ้มกันบริโภคนิยมในจิตใจ

“วิธีการเดียวที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ก็คือ การปฏิรูปการปกครองของคณะสงฆ์ เนื่องจากกติกา และการปกครองของคณะสงฆ์ในยุคนี้ ถดถอย ขาดประสิทธิภาพ จึงต้องปรับปรุงระบบของคณะสงฆ์ให้ดีขึ้น คณะสงฆ์ต้องเท่าทันกับสังคมที่เน้นบริโภคนิยม ตอนนี้ มันเป็นปัญหาทั้งระบบ ทั้งโครงสร้างของคณะสงฆ์

     รูปแบบของคณะสงฆ์ทุกวันนี้ มีต้นแบบตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 คือ 100 กว่าปีมาแล้ว
     ขณะที่การปกครองบ้านเมืองในรอบ 100 ปีนั้น มีการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ของโครงสร้างของคณะสงฆ์เรามาจากยุครัชกาลที่ 5 ทำให้ไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
      เรื่องทั้งหมดไปกระจุกที่มหาเถรสมาคม ซึ่งท่านก็ไม่มีกำลังที่จะดูแลทั่วถึง
      ฉะนั้นจึงต้องมีการปฏิรูปให้มีการกระจายอำนาจมากขึ้น เป็นการปฏิรูปแบบปกครอง แบบส่งเสริมเรื่องการศึกษาของคณะสงฆ์ ไม่มุ่งใช้อำนาจ เพราะใช้อำนาจก็ไม่ได้ผล”


ทั้งนี้ พระไพศาล ยังยกตัวอย่างจากข่าวกรณีพระสะสมรถโบราณว่า ถ้าเป็นสมัยก่อนทำได้ยาก เพราะผู้ปกครองสงฆ์ครูบาอาจารย์จะไม่ให้ทำ ตักเตือนหรือลงโทษซะด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้การปกครองของคณะสงฆ์อ่อนแอ บางทีผู้ปกครองคณะสงฆ์ก็อาจจะเกรงใจพระรูปนั้นด้วยว่ามีเส้นสายกับผู้มีอำนาจในทางโลกหรือวงการของคณะสงฆ์ ทำให้ไม่กล้าดำเนินการอะไร สมัยก่อนทำเรื่องแบบนี้ได้ยาก เพราะมีการควบคุมกวดขันมาก

  “หรืออย่างกรณีพระนั่งเครื่องบินเจ็ตใช้ของแบรนด์เนม จริงๆ เรื่องของแบรนด์เนมนั้นเป็นเรื่องเล็กมากเมื่อเทียบกับความประพฤติที่ย่อหย่อนของฝ่ายนั้น เวลาบวชพระต้องมีข้อพิจารณา 10 ประการ
    หนึ่งในนั้น คือ ภิกษุ ต้องพิจารณาระลึกเสมอว่าเราต้องเป็นผู้ที่เลี้ยงง่าย อยู่อย่างสมถะ
    ถ้าเผื่อว่าพระสงฆ์ หรือชุมชนเข้มแข็งพระที่ประพฤติแบบนี้ก็จะอยู่ยาก แต่รวมๆ แล้ววิธีแก้ปัญหาก็คือต้องปฏิรูปคณะสงฆ์ทั้งระบบ”


 

พระพยอม วิเคราะห์ 2556 ยุคพระเสื่อมสุดขีด เพราะอะไร...?

ขณะที่ พระราชธรรมนิเทศ หรือ พยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว พระนักคิด นักพัฒนาชื่อดัง กล่าวว่า จากข่าวสารและเหตุการณ์ที่ผ่านมาบอกแบบนั้นก็คงจะไม่ผิด แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปอีกพระก็มาจากสังคม ถ้าถามว่าจากสังคมไหนบ้าง ครูบาอาจารย์ นักการเมือง กองทัพ สื่อมวลชนน่านับถือไหม พระก็เป็นผลผลิตจากสังคม ในเมื่อสังคมแย่ คนที่ออกมาจากสังคมจะให้ดีได้อย่างไร

    “อาตมามองว่าสาเหตุหลักของปัญหาในยุคผ้าเหลืองเสื่อม
    1. การคัดสรรของพระยุคนี้แย่มาก หลายคนมาบวชเพราะญาติโยมขอร้องแกมบังคับ
    2. ถ้าลูกเรียนดีคงไปเรียนเป็นหมอ วิศวกร ไม่ต้องมาบวช ซึ่งการไม่คัดสรรพระคุณภาพทำให้เกิดปัญหา บางสำนักรับสมัครพระเป็นแสนๆ เอาปริมาณไว้ก่อน คุณภาพว่ากันทีหลัง
    3. ญาติโยมก็ผิด บางคนหัวทิ่มหัวตำศรัทธาองค์ไหนก็เป็นวรรคเป็นเวรเลย ผิดถูกไม่สน นึกอยากจะถวายอะไรก็ถวาย รถหรู เครื่องบินเจ็ต ถวายไอโฟน ไอแพด

     ต่อไปไม่ช้าคงถวายลูกสาว ถวายคน เรียกว่า ฝ่ายรับกับฝ่ายให้ยุคนี้พอกัน คือฝ่ายรับก็อยากได้ ฝ่ายให้ก็ลืมนึกไปว่า ที่ให้พระไปเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ เป็นบาปมากกว่าเป็นบุญ พื้นฐานคำสั่งสอนตอนนี้ถูกละเลย ซึ่งสำคัญมาก ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านมีพื้นฐานดีมาก
      ท่านพูดเลยว่าตอนนี้เทคโนโลยีมันจะวิวัฒนาการเทคโนโลยีไปสู่ความวินาศธรรม พอถึงตอนนี้จึงรู้ว่าเป็นเรื่องจริง



พระพยอมบอกย้ำว่า ไม่ใช่ว่าเทคโนโลยีไม่ดี แต่ต้องใช้ให้เป็น

“อาตมาไม่มีโทรศัพท์มือถือ ใครติดต่อผ่านลูกศิษย์ ไอแพด ไอโฟน คอมพิวเตอร์สักตัวยังไม่มี ทีวีเมื่อก่อนไม่มี ตอนหลังต้องหาข้อมูลบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ดูงานเยอะ สิ่งที่ชอบดู
    1.สุขภาพ
    2.รายการพระ
    3.ภาคเกษตรที่เราชอบดูทางด้านนี้ เพราะเราทำงานด้านเกษตรอยู่กับชนบท อยู่กับสังคมการเกษตร

    แต่ปัจจุบันไม่มี พระอยู่กับเมือง อยู่กับความทันสมัย และที่สำคัญพระเป็นผู้รับเยอะไป แต่สิ่งที่ต้องไปลืมก็คือ ความมหัศจรรย์ของศาสนา ทำไมจึงแข็งแรงมาตั้งหลายพันปี ทั้งๆ ที่ไม่มีโอกาสเลือกคนดีๆ เข้ามาเท่าไร แล้วสิ่งที่เราต้องปลูกฝังตามที่ครูบาอาจารย์บอกก็คือ
      คนให้ทานเก่งพระเจ้าไม่สรรเสริญ สรรเสริญคนใคร่ครวญดีแล้วนำออกให้
      ไม่ใช่เอารถหนีภาษี เอาเครื่องบินเจ็ตมาให้ไม่ถูก
      พระต้องมีคำว่าทางสายกลาง ใช้อะไรอย่าให้เว่อร์เกินชาวบ้าน ไม่ได้บ้าส่วนเกิน มีไอแพด เครื่องบินเจ็ต มือถือราคาแพง เขาบอกว่า ทำดีทำได้แต่อย่าเด่นจะเป็นภัย เพราะไม่มีใครอยากเห็นใครเด่นเกิน



พระพยอม ยกตัวอย่างว่า พระสมัยนี้ ทำตามอำเภอใจกันมาก ขึ้นอยู่กับสำนัก ใครถ้าไปเจอสำนักโนเนม ไม่ค่อยเอาใจใส่ มีแต่ศาลาสวดศพ ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ แต่วัดของอาตมาไม่ให้ไปงานบุญ ให้ปฏิบัติธรรมอย่างเดียว เจ็บป่วยทางมูลนิธิเราก็จ่ายค่ารักษาให้ อยากได้หนังสือหนังหาก็ซื้อให้ ท่านจะไปไหนมีค่ารถให้ ขอแค่ให้ท่านทำงานศาสนา แต่ถ้าท่านไม่ทำเราก็ไม่ให้

“เดี๋ยวนี้วัดอาตมามีพระอยู่ แค่ 2-3 รูปเอง เมื่อก่อนมี 50-60 รูป พอตอนหลังวางกติกาว่าได้เงินทองมา ต้องเข้ากองกลางห้ามเอาไปใส่ย่าม ห้ามนำเข้ากุฏิ พระเลยหนีหมด อย่างที่บอกว่า ทุนนิยม มันทำให้พระอยากบวชเพราะอย่างอื่นมากกว่ามาศึกษาและเผยแผ่ธรรมะ ถามจริงๆ คนยุคนี้อยากสืบพันธุ์หรืออยากสืบศาสนามากกว่ากัน แล้วเราจะหาคนสืบศาสนาได้สักกี่เปอร์เซ็นต์ในยุคนี้ วิธีแก้ไขก็คือ อาตมาอยากให้คัดสรรพระสงฆ์ที่มีคุณภาพอุทิศตัวเองให้กับศาสนาเข้ามาในวงการนี้มากๆ แม้จะเป็นไปไม่ได้เลย”



คำถามตีแสกหน้า 2556 แค่พระเสื่อม หรือ ศาสนาเสื่อม..?

นอกจากจะร่วมกันวิเคราะห์ทางออกแล้ว ถ้าจะต้องไปให้ถึงที่สุด คำถามใหญ่ที่ท้าทาย ซึ่งหลายคนสงสัยก็คือ เหตุการณ์ที่เลวร้ายของวงการผ้าเหลืองที่ผลิตซ้ำอยู่ทุกวันๆ เป็นแค่พระซึ่งเป็นตัวบุคคลเสื่อม หรือศาสนาเสื่อมกันแน่

เรื่องนี้ พระไพศาล บอกว่า ทุกอย่างตกอยู่ใต้กฎพระไตรรัตน์ ความเสื่อมความเจริญก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

“อย่างที่รู้ว่าพระธรรมเนี่ยเป็นอกาลิโกก็จริง แต่ตัวศาสนาที่เป็นรูปแบบหรือเป็นคำสอน ก็ตกอยู่ใต้ความไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าเคยทำนายว่าพระพุทธศาสนามีอายุ 5 พันปี ก็แสดงให้เห็นความเป็นอนิจจังของทุกสิ่ง รวมทั้งศาสนา ก็อยู่ที่ว่า เราจะช่วยประคับประคองไม่ให้มันเสื่อมถอย แล้วช่วยทำให้มันเจริญขึ้นได้หรือเปล่า
     ถามว่าวันนี้วงการพระมาถึงจุดต่ำสุดหรือยัง อาตมาว่ายังมีโอกาสที่ยังต่ำได้อีกเยอะ
     หมายถึงพระนะ ไม่ใช่ศาสนา อยู่ที่ว่าเราช่วยกันเป็นหรือเปล่าก็จะไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น
     พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า
     พุทธบริษัททั้ง 4 ได้รู้ธรรม ปฏิบัติธรรม เผยแผ่ธรรมได้อย่างถูกต้อง ศาสนาก็จะเจริญไม่มีเสื่อมถอย
     แต่ทั้งหมดทั้งมวลพวกเราทุกคนก็ต้องช่วยกันด้วย”

     ขณะที่พระพยอมบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นศาสนาเสื่อมหรือพระที่เป็นตัวบุคคลเสื่อม ทั้งหมดนี้ส่วนหนึ่งต้องโทษสังคมทุนนิยมที่ทำให้คนมีแต่อารมณ์อยากใฝ่ต่ำ

     “อาตมาเชื่อว่าอีกไม่นานวงการพระสงฆ์จะถึงยุคหนึ่งที่เขาเรียกว่ายุคมิคสัญญี หรือยุคที่เลวร้ายมากๆ แล้วหลังจากนั้น มันจะสวิงกลับมาได้ ไม่ได้ตายไปอย่างแน่นอน แต่ทุกคนต้องช่วยกัน” พระนักเทศน์ชื่อดังกล่าวในที่สุด



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/352256
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 20, 2013, 09:21:43 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ผ่าวงการสงฆ์ พ.ศ.2556 ยุคผ้าเหลืองเสื่อมสุดขีด…?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 20, 2013, 09:35:56 am »
0
จะบอกว่า เสือม ก็ไม่ถูก
 
  1.ปัจจุบัน พระสงฆ์เรียนทางโลก ไม่ได้เรียนทางธรรม ( ประกอบธรรมน้อยมาก )
  2.การบริหารงานสงฆ์ เป็นแบบ ฆราวาส คือ ใช้ค่านิยม กิตติบัตร สมณศักดิ์
  3.มีการบวช คนที่ไม่มีประสิทธิภาพ มาก โดยเฉพาะการระดมบวช เพื่อ จำนวน ไม่ใช่เอาคุณภาพ
 
  ที่เห็น ๆ ก็มีสาเหตุหลัก แบบนี้นะคะ

  thk56
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

DANAPOL

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 332
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ผ่าวงการสงฆ์ พ.ศ.2556 ยุคผ้าเหลืองเสื่อมสุดขีด…?
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2013, 09:49:54 pm »
0

พระที่ไม่ได้ทำตัวให้เป็นพระ  แต่ทำตัวเป็นโยมไปได้  กินใช้หรูหรา  สบายกว่าโยมอีก   เหล่านั้นผมกล้ารับรองว่าคงไม่ใช่พระหรอก 

พระพุทธเจ้าท่านเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า  สมมุติสงฆ์  คือ  หลอกว่าเป็นพระสงฆ์  น่ะเอง 

พระรัตนตรัย นั้น  มีองค์ 3   คือ  พระพุทธ  พระธรรม   พระสงฆ์ 

ผมขอขยายความนะครับ   พระพุทธนั้น  ก็คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   พระพุทธเจ้านั้นเป็นผู้เลิศของที่สุดของโลก

คนไทย  คนชาติอื่น  ที่ศาสนาพุทธ  ควรบูชาเป็นที่สุดของ   สิ่งเหนือหัวครับ 

ส่วนพระธรรม  นั้นเป็นธรรมอันว่าได้ถูกต้องแล้ว  ดีแล้ว  เหมาะสมแล้ว  ประพฤติตามแล้วย่อมได้ผลสู่สวรรค์เป็นอย่างต่ำ  อย่างสูงคือไปพระ
นิพพานได้  แต่บุคคลเข้าถึงธรรมอย่างแท้จริงนั้น  ไม่ต้องระดับอรหันต์  ก็สามารถหนี  ไม่ต้องลงนรก  ทำความดี 
ตามคำสอนของพระธรรมนั้น   หนีนรกได้  ชั่วคราว  รับว่าคุ้มค่ามาก

พระสงฆ์  นั้น  พระท่านถือว่า  อันผู้ครองผ้าเหลืองและมีความประพฤติตนตามพระวินัยและพระธรรมนั้น  เป็นพระสงฆ์ที่แท้จริงของศาสนาพุทธ
ไม่มีความจำเป็นต้องบรรลุมรรคผลหรือบรรลุอรหันต์ก่อน  ถึงจะมีบุญสูงสุด  แต่พระท่านถือว่าถ้าระงับกิเลสได้ชั่วคราว  ด้วยการมีธรรมมะ และพุทธธะ  ในหัวใจอย่างแท้จริง  แม้ไม่บรรลุมรรคผลใดๆในชาตินี้  ก็มีบุญมาก 

พระท่านบอก  ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดทำลายศาสนาพุทธได้  จะมีก็มีแต่พุทธบริษัท4  ทำลายกันเอง  คือพวกเราชาวพุทธทำลายเองล่ะครับ

ฟังแล้วปวดใจสุดๆ    แต่ก็เป็นจริงตามนั้น  หนังสือพิมพ์  ตีพิมพ์ความเลวของพระรูปอื่น  อย่างต่อเนื่องทำให้  คนไทยเริ่มสิ้นศรัทธาในพระสงฆ์
อย่างนี้พระสงฆ์ดีๆ  พลอยจะโดนเหมารวมให้หมดศรัทธาไปด้วย  กลายเป็น  ปลาเน่า4-5ตัว  พาน้ำคลองเน่าทั้งแถบ  ปลาแถวนั้นจะตายกันหมด

ผมขอคนที่อ่านนะครับ  พระดีนั้นยังมีอยู่  แต่ท่านปิดบังตัวไว้  ไม่ต้องการให้คนไปกวนท่านมาก  แต่มีอยู่แน่นอน  ถ้าคุณยังศรัทธาพระสงฆ์
ขอให้ขยันเลือกหน่อยครับ  ขยันหาพระที่ไม่  หรูหรา  ชอบสบาย  นั่นน่ะของจริงครับ  เป็นพระไม่ค่อยลำบากกาย  แต่ลำบากใจ  กิเลสบีบคั้น
หรือถ้าคุณลำบากในการหาพระดี  ก็ขอให้ทำบุญแต่พอดีในสถานะ  คิดเพื่อบำรุงศาสนาพุทธให้อยู่ต่อไปได้  ก็เป็นบุญเช่นกัน

ถ้าไม่มีโยม  พระก็อด  พระคือผู้ขอ  แต่ก็ควรขอให้พอดี  พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า  ถึงพระเป็นผู้ขอ  แต่ควรทำตัวให้เหมือนผึ้ง
ไปดูด เกสรความหวานดอกไม้แต่พอดี  พอกิน และพอดำรงชีพได้ ไม่ใช่สูบสะจนดอกไม้แห้ง  พระที่มีความเป็นอยู่เกินพอดีแสดงว่าไม่เชื่อฟัง
คำสอนของพระพุทธเจ้าครับ   เป็นพระไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  เอาแต่สบาย  เขาเหล่านั้น  เป็นแค่คนกิเลสหนา  ไม่ใช่พระสงฆ์ที่แท้จริง

แต่ผมขอยืนยันว่า2500ปีก่อน   จนถึงปัจจุบัน  มีพวกใจมารบวชพระ  ตลอดแหละครับ  ไม่ใช่พึ่งมามีไม่นาน  แต่ข่าวมันวิ่งเร็วไปหน่อยและกระจายกว้าง  เลยเหมือนจะเยอะ   ขอนะครับอย่าพึ่งสิ้นศรัทธาในพระสงฆ์ทั้งหมด   พระรัตนตรัย  องค์ 3 เชียวนะ   พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
อย่าพึ่งทอดทิ้งอย่างใดอย่างนึงไป  ศรัทธาให้ครบ  ชาวพุทธแท้เขามีพระรัตนตรัยในใจนะครับ  พระไม่ดีก็ไม่ต้องมอง  มองแต่พระดี

สุดท้าย  ผมขอบอกว่า  บุณนั้นมีเยอะหลายประเภทให้เลือกทำ  มิใช่แค่เงินที่ให้แล้วเป็นบุญ
ผมขอยก บุญใหญ่ของศาสนาพุทธ  โดยไม่เสียเงินเลยมาให้คุณได้พิจารณา  ลองกระทำครับ

1 นึกถึงพระพุทธเจ้าท่านเป็น  อารมณ์ หรือ กรรมฐาน  คือง่ายๆ  คิดถึงท่านก็พอ  ทำเพียงเวลาแค่ช้างกระดิกใบหูก็ได้บุญมาก   วินาทีเดียวไงครับ
2 นึกถึง  พระธรรม    เป็น  อารมณ์ หรือ กรรมฐาน แม้วินาทีเดียวก็มีบุญมาก
3 นึกถึง  พระสงฆ์   ยิ่งนึกถึงพระที่เป็นพระอรหันต์ไปแล้วยิ่งดีใหญ่    เป็น  อารมณ์ หรือ กรรมฐาน แม้วินาทีเดียวก็มีบุญมาก
4 นึกถึง ศิล ที่ตัวเองรักษา   เป็น  อารมณ์ หรือ กรรมฐาน แม้วินาทีเดียวก็มีบุญมาก
5 นึกถึง ทาน ได้ให้ของกับใคร  เป็น  อารมณ์ หรือ กรรมฐาน แม้วินาทีเดียวก็มีบุญมาก
6 นึกถึง เทวดาองค์ไหนก็ได้  เป็น  อารมณ์ หรือ กรรมฐาน แม้วินาทีเดียวก็มีบุญมาก
7 นึกถึง ความตาย เราทุกคนต้องตายแต่ต่างกันตรง เราได้ทำอะไรบ้างตอนมีชีวิตอยู่ เลยขอมีชีวิตอยู่โดยไม่ประมาท เป็น  อารมณ์ หรือ กรรมฐาน แม้วินาทีเดียวก็มีบุญมาก
8 นึกถึง ความเป็นทุกข์  ของร่างกายเรานี้  เป็น  อารมณ์ หรือ กรรมฐาน แม้วินาทีเดียวก็มีบุญมาก
9 นึกถึง ลมหายใจเข้าออกของตนเอง  เป็น  อารมณ์ หรือ กรรมฐาน แม้วินาทีเดียวก็มีบุญมาก
10 นึกถึง พระนิพพาน ความสุขที่แท้จริง ของศาสนาพุทธ  เป็น  อารมณ์ หรือ กรรมฐาน แม้วินาทีเดียวก็มีบุญมาก

10 ข้อเหล่านี้  ไม่ใช้เงินทุนใดๆ  ขอให้มีความคิดไปสู่เรื่องเหล่านี้เป็นใช้ได้  และเป็นบุญปริมาณมากกว่าทำทาน  ด้วยครับ 

ขอให้โชคดีนี้เดินทางไปกับคุณเสมอไปนะครับ   โชคดียั่งยืน

ขอบคุณครับ

Zสัญญาว่าจะรักกันZ

http://pantip.com/topic/30682672
บันทึกการเข้า
รหัสธรรม ต้องใช้ปัญญาคือความรู้ ผู้ถือกุญแจคือใครหนอ...

DANAPOL

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 332
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ผ่าวงการสงฆ์ พ.ศ.2556 ยุคผ้าเหลืองเสื่อมสุดขีด…?
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2013, 09:52:01 pm »
0
กำเนิดพระสงฆ์
   พระสงฆ์ เป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย ที่ประกอบด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงบวชให้ หลังจากทรงแสดงพระธรรมเทศนา ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระสงฆ์จะต้องผู้ชายซึ่งผ่านการบวชมาแล้ว การบวชในปัจจุบันมี 2 ลักษณะ คือ การบวชเป็นสามเณรจะบวชได้เมื่ออายุยังไม่ครบ 20 ปี เรียกว่าการบรรพชา กับการบวชเป็นพระสงฆ์หรือ พระภิกษุจะต้องมีอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ เรียกว่า การอุปสมบท ตั้งแต่พุทธกาลจนมาถึงปัจจุบัน การบวชมี 3 วิธี คือ
   1. เอหิภิกขุอุปสัมปทา คือการบวชที่พระพุทธเจ้าบวชให้เอง เช่น อัญญาโกณฑัญญะ
   2. ติสรณคมนูปสัมปทา คือการบวชด้วยการรับไตรสรณคมน์หรือรับเงื่อนไขที่จะปฏิบัติ เช่น พระนางปชาบดีโคตมีเถรี จะบวชได้ต้องยอมรับข้อปฏิบัติ ครุธรรม 8 ก่อน
   3. ญัตติจตุตถกรรมวาจาอุปสัมปทา คือการบวชที่พระสงฆ์เป็นผู้บวชให้
ความสำคัญของพระสงฆ์ 1
   1. พระสงฆ์เป็นแบบอย่างของการมีชีวิตเรียบง่ายในด้านต่าง ๆ เช่น
      1.1 มีชีวิตเรียบง่าย พึ่งปัจจัยสี่เท่าที่จำเป็น ไม่ต้องสะสมทรัพย์สิน ไม่หวังลาภยศ
      1.2 มีระเบียบวินัย พระสงฆ์จะต้องรักษาระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด โดยรักษาศีล
227 ข้อ เหมือนกันหมด
      1.3 มีอิสระทั้งกายและใจ ชุมชนสงฆ์ไม่ขึ้นอยู่กับสถาบันใด ๆ มีระบบความเป็นอยู่เป็นของตนเอง เพียงแต่ต้องฝึกตนเองให้มีคุณธรรมเพื่อลดความโลภ โกรธ หลง ให้หมดไป
      1.4 มุ่งทำประโยชน์ให้แก่สังคม พระสงฆ์ทุกรูป จะต้องศึกษาพระธรรมแล้วเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้ศึกษาปฏิบัติโดยเสมอเหมือนกันหมด
   2. พระสงฆ์เป็นบุคคลตัวอย่างของสังคม เพราะบุคคลที่เข้ามาบวชเป็นพระสงฆ์จะต้องมี คุณสมบัติที่สำคัญ 2 ประการ คือ
      2.1 ละสิ่งที่พึงละได้ คือ เคยประพฤติไม่ดีมาก่อนพอบวชแล้วก็ไม่ทำอีก เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่พูดเท็จ ไม่ประพฤติผิดในกามและไม่เสพสิ่งเสพติดเป็นต้น
      2.2 เจริญสิ่งที่ควรเจริญ คือ ตนให้สูงขึ้นด้วยคุณธรรม เช่น การฝึกจิตให้สงบ รักษาศีลอย่างเคร่งครัด
ประเภทของพระสงฆ์
   พระสงฆ์มี 2 ประเภท คือ
   1. สมมุติสงฆ์ หมายถึง พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ที่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมกับพระสงฆ์ในแง่พระวินัย ที่จะร่วมกันทำกิจกรรมให้เป็นตามรูปแบบดังนี้
      1.1 สงฆ์จตุวรรค คือ พระสงฆ์ 4 รูป ร่วมทำอุโบสถกรรมได้ เช่น สวดศพ
      1.2 สงฆ์ปัญจวรรค คือ พระสงฆ์ 5 รูป ทำปวารณาได้ รับกฐินได้
      1.3 สงฆ์ทสวรรค คือ พระสงฆ์มี 10 รูป ทำการอุปสมบทให้กุลบุตรได้
      1.4 สงฆ์วีสติวรรค คือ พระสงฆ์ 20 รูป ร่วมทำกิจกรรมได้ทุกชนิด
   2. อริยสงฆ์ หมายถึง พระสงฆ์ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจน ลด ละ เลิกกิเลสได้มากๆ ขึ้นตามลำดับ ดังนี้
      2.1 พระโสดาบัน
      2.2 พระสกทาคามี
      2.3 พระอนาคามี
      2.4 พระอรหันต์

http://www.nayoktech.ac.th/~amon/in6_2.html
บันทึกการเข้า
รหัสธรรม ต้องใช้ปัญญาคือความรู้ ผู้ถือกุญแจคือใครหนอ...

DANAPOL

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 332
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ผ่าวงการสงฆ์ พ.ศ.2556 ยุคผ้าเหลืองเสื่อมสุดขีด…?
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2013, 09:58:26 pm »
0
สีกาสาวแฉยิบลีลารักพระชื่อดัง DSIลุยสอบ‘เณรคำ’เสพเมถุน 8 เมีย-ฉ้อโกงปชช. จ่อขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ตามไปอ่านตามลิงก์ นะครับ

http://pantip.com/topic/30689768
บันทึกการเข้า
รหัสธรรม ต้องใช้ปัญญาคือความรู้ ผู้ถือกุญแจคือใครหนอ...

DANAPOL

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 332
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ผ่าวงการสงฆ์ พ.ศ.2556 ยุคผ้าเหลืองเสื่อมสุดขีด…?
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2013, 10:00:59 pm »
0
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อาชีพต่ำที่สุด ในบรรดาอาชีพทั้งหลาย คือการขอทาน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! คำสาปแช่งอย่างยิ่งในโลกนี้คือ คำสาปแช่งว่า "แกถือกระเบื้อง
ในมือเที่ยวขอทานเถอะ" ดังนี้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! กุลบุตรทั้งหลาย เข้าถึงอาชีพนี้ เป็นผู้เป็นไปใน
อำนาจแห่งประโยชน์ เพราะอาศัยอำนาจแห่งประโยชน์, ไม่ใช่เป็นคนหนีราชทัณฑ์ ไม่ใช่
เป็นขอให้โจรปล่อยตัวไปบวช ไม่ใช่เป็นคนหนีหนี้ ไม่ใช่เป็นคนหนีภัย ไม่ใช่เป็น
คนไร้อาชีพ, จึงบวช, อีกอย่างหนึ่ง กุลบุตรนี้บวชแล้ว โดยที่คิดเช่นนี้ว่า เราทั้งหลาย
เป็นผู้ถูกหยั่งเอาแล้ว โดยชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย
เป็นผู้อันความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ทำไฉน การทำที่สุดแห่ง
กองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึงปรากฏแก่เรา ดังนี้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! แต่ว่า กุลบุตรผู้บวชแล้วอย่างนี้ กลับเป็นผู้มากไปด้วยอภิชฌา มีราคะแก่กล้าในกามทั้งหลาย มีจิต
พยาบาท มีความดำริแห่งใจเป็นไปในทางประทุษร้าย มีสติอันลืมหลงแล้ว ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่นแล้ว มีจิตหมุนไปผิดแล้ว
มีอินทรีย์อันตนไม่สำรวมแล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนดุ้นฟืนจากเชิงตะกอนที่เผาศพ ยังมีไฟติดอยู่ทั้งสอง ตรงกลางก็เปื้อนอุจจาระ
ย่อมใช้ประโยชน์เป็นไม้ในบ้านเรือนก็ไม่ได้ ย่อมใช้ประโยชน์เป็นไม้ในป่าก็ไม่ได้, ข้อนี้ฉันใด;

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เรากล่าวบุคคลนี้ว่ามีอุปมาเช่นนั้น; คือ เป็นผู้เสื่อมจากโภคะแห่งคฤหัสถ์ ด้วย, ไม่ทำประโยชน์แห่งสมณะให้
บริบูรณ์ ด้วย.
http://pobbuddha.com/tripitaka/upload/files/1531/index.html
บันทึกการเข้า
รหัสธรรม ต้องใช้ปัญญาคือความรู้ ผู้ถือกุญแจคือใครหนอ...