ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์  (อ่าน 1095 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29398
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์
« เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2013, 09:57:46 am »
0

ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์
บทบรรณาธิการประจำวันที่23ก.ค.2556

     เห็นภาพข่าวในโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ รวมทั้งการรายงานข่าวทางวิทยุเกี่ยวกับประชาชนที่เดินทางไปร่วมทำบุญและปฏิบัติศาสนกิจกันทั่วประเทศแล้ว ก็น่าเชื่อว่า ศรัทธาของประชาชนคนไทยต่อพระพุทธศาสนานั้น คงไม่เสื่อมคลายลงไปง่ายๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีผู้กล่าวถึงคำว่า "กึ่งพุทธกาล" หรือแม้ว่าจะมีกระแสข่าวเกี่ยวกับพระหรืออดีตพระที่ใช้ความเชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนามาเป็นเครื่องมือประกอบกับการพูดจาน่าเชื่อถือของตน จนทำให้ร่ำรวยมีเงินฝากที่นั่นที่นี่ รวมทั้งในต่างแดนเป็นจำนวนมากก็ตามที

    ที่ผ่านมาความศรัทธาของศาสนิกชนคนไทยได้ถูกแปรสภาพให้มี "ราคา" ด้วยการคิดค้นรูปแบบให้ผู้คนเข้าใจไปว่า การบริจาค หรือการทำบุญนั้น ต้องมีจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ต้องไปให้ได้กี่วัด หรือจำเพาะเจาะจงว่าจะต้องไปวัดไหนบ้าง จนทำให้คิดไปว่า จำนวนวัด หรือมูลค่าของเงินหรือสิ่งของที่นำไปบริจาคนั้น จะหมายถึงคุณความดีที่แต่ละคนได้แสดงออกไป

     หรือเมื่อทำแล้วครบแล้ว (ไม่ว่าจะเป็นจำนวนวัด หรือมูลค่าที่ควักจากกระเป๋า) นั่นคือ การบรรลุเป้าหมายของคำว่าการทำบุญ และจะนำพาให้เรานั้นได้ขึ้นสวรรค์ในยามแสงสุดท้ายของชีวิตมอดดับลง โดยไม่คิดว่า หากเป็นเช่นนั้น สรวงสวรรค์ก็คงจะเต็มไปด้วยคนรวย ยาจกคงจะมีแต่เพียงนรกเท่านั้นที่เป็นที่ที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา


 :41: :41: :41:

     ก็เพราะการคิดเช่นนั้น เชื่อแบบนั้น เข้าใจว่าความศรัทธาต้องประพฤติปฏิบัติเช่นนั้น ทำให้ พระ หรือวัด หลายต่อหลายแห่งกลับกลายเป็นพุทธพาณิชย์โดยไม่รู้ตัว เจตนาแต่แรกที่จะใช้พัทธสีมาเป็นกำแพงกางกั้นกิเลส ใช้ผ้าเหลืองเป็นเกราะป้องกันกาย ใช้พระธรรมขัดเกลากิเลส เมื่อพบกับศรัทธารูปแบบใหม่ก็มีโอกาสที่จะเคลื่อนคล้อยไปตามสิ่งเร้าที่ทุกคนรับรู้กันว่า เป็นสิ่งเร้าที่มีมูลค่าและจะนำมาซึ่งการยอมรับนับถือจากผู้คนทั้งแผ่นดิน ปลายทางของอลัชชี ผู้ที่ไม่ละอายต่อบาป หรือ "สมี" ผู้ที่ต้องอธิกรณ์ ปาราชิก จึงมีให้เห็นอยู่เนืองๆ

      เมื่อผู้ที่ยินยอมสละความสุขทางโลกไปหาความสงบทางธรรมแล้วมีปลายทางเยี่ยงนี้ ผู้คนทั้งหลายก็ไม่ลังเลที่จะก่นด่าสาปแช่ง เพราะคนเหล่านั้นไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรค หรือกิเลสตัณหา ด่านสำคัญก่อนที่จะไปถึงความสงบที่แท้ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วต่อให้ปฏิบัติธรรมมายาวนานแค่ไหน ก็มีโอกาสที่จะเกิดเรื่องเช่นนั้นได้กับสาวกของพระพุทธเจ้าทุกรูปทุกนาม ไม่เว้นแม้กระทั่งอดีตพระที่ตัดสินใจบวชมาแล้วกว่า 30 พรรษา สุดท้ายก็ไม่ผ่านด่านหญิงงามอย่างที่เรารับรู้กันทั่วไป


 :96: :96: :96:

     เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ความจริงแล้วเราทุกคนล้วนแต่มีส่วนในการจรรโลงพุทธศาสนา
     มากพอกับการพอกพูนความเสื่อมถอย โดยผ่านความศรัทธาโดยไม่รู้ตัว

     ยังเชื่อว่า เมื่อบริจาคมาก (อ้างเพราะเหลือมาก) จะทำให้ได้บุญอันยิ่งใหญ่
     แต่กลับไม่ย้อนคิดไปว่า ความที่เกินพอดีนั้น เป็นการไปบังคับให้วัด-พระสงฆ์ต้องแบกรับส่วนเกินนั้นไว้

     และนำมาซึ่งการสะสมที่นานวันเข้าก็จะกลายเป็นเงื่อนไข หรือข้อเรียกร้องให้มีการบริจาค
    ซึ่งบางแห่งการบริจาคนั้นเกินเลยไปจาก "ส่วนเกิน" ที่ตนมีอยู่ด้วยซ้ำไป
     และท้ายสุดก็ตกเป็นข่าวอื้อฉาวอย่างที่เห็น โดยที่เราทั้งหลายก็มีส่วนให้เกิดเหตุเช่นนั้น


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.komchadluek.net/detail/20130723/164064/ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์.html#.UfCSoKxYxGp
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 25, 2013, 09:59:23 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ