« เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2013, 09:44:29 am »
0
ดร.ชัยพฤกษ์ - นายดาโช
สานปรัชญา"พอเพียง"
สอศ.จับมือ “ภูฏาน” เปิดปฏิบัติการพัฒนากำลังคนยกระดับอาชีวศึกษา
ภูฏาน ประเทศที่ประกาศไม่สนใจจีดีพี (Gross Domestic Product) หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ แต่หันมาให้ความสำคัญกับ จีดีเอช (Gross Domestic Happiness) หรือ ความสุขมวลรวมภายในประเทศ มากกว่า
แต่แม้จะไม่สนใจจีดีพี ประเทศเล็กๆอย่าง ราชอาณาจักรภูฏาน ซึ่งกำลังเปิดประเทศ ก็จำเป็นต้องสร้างรากฐานที่มั่นคงด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
โดยล่าสุดภูฏานแสดงความสนใจที่จะ ทำความตกลงเขตการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ กับประเทศไทย แต่เนื่องจากภูฏานกำลังอยู่ระหว่างการเลือกตั้ง ดังนั้นระหว่างรอเวลาในการทำเอ็มโอยูด้านการค้าและการลงทุน ทางภูฏานได้เจรจาขอทำเอ็มโอยูด้านการอาชีวศึกษากับไทย เพื่อเตรียมพัฒนากำลังคนของประเทศ
“ทีมการศึกษา” ได้มีโอกาสร่วมคณะของ ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ไปภูฏาน เพื่อสังเกตการณ์การลงนามบันทึกความเข้าใจ ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ของไทย และ กระทรวงแรงงานและทรัพยากรมนุษย์ ภูฏาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลวิทยาลัยอาชีวศึกษา
ข้อมูลพื้นฐานของภูฏาน สะท้อนชัดเจนถึงเหตุและความจำเป็นที่นำมาสู่ปฏิบัติการพัฒนากำลังคนของประเทศ ราชอาณาจักรภูฏานมีประชากรประมาณ 700,000 คน มีวิทยาลัยอาชีวศึกษาของรัฐ 8 แห่ง เป็นวิทยาลัยประเภทอุตสาหกรรม 6 แห่ง และวิทยาลัยศิลปหัตถกรรม 2 แห่ง และมีวิทยาลัยเอกชนอีกประมาณ 70 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิทยาลัยเอกชนขนาดเล็กที่จัดการเรียนการสอนด้านบริหารธุรกิจ พาณิชยการ และคอมพิวเตอร์
รัฐบาลภูฏานคาดการณ์ว่าภายใน 5 ปีนับตั้งแต่ปี 2556-2560 จะมีคนจบการศึกษาและเข้าสู่ตลาดแรงงาน ประมาณ 140,000 คน ซึ่งนโยบายของรัฐบาลคือต้องการที่จะรักษาอัตราการมีงานทำไว้ที่ ร้อยละ 97.5 ดังนั้น จึงต้องเร่งสร้างตำแหน่งงานใหม่เพื่อรองรับถึง 93,000 ตำแหน่ง
แต่การที่ประเทศเล็กๆอย่างภูฏานจะสร้างตำแหน่งงานรองรับจำนวนมากเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมองหาเส้นทางในการเพิ่มตลาดแรงงาน ด้วยการส่งนักศึกษาที่จบไปทำงานนอกประเทศ พร้อมๆกับหันมาให้ความสำคัญกับการจัดการด้านอาชีวศึกษา ซึ่งมองว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและช่วยแก้ปัญหาการว่างงาน
นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดบันทึกความเข้าใจในการพัฒนาอาชีวศึกษาร่วมกัน เพราะนอกจากความสัมพันธภาพที่ดีต่อกันแล้ว ทางภูฏานเล็งเห็นว่า สอศ.ของไทยจัดการอาชีวศึกษาได้มาตรฐาน โดยบันทึกความเข้าใจนี้ลงนามโดย ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการ กอศ. และ นายดาโช เปรมา วังดา ปลัดกระทรวงแรงงานและทรัพยากรมนุษย์ อันจะนำไปสู่ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนครูและนักศึกษาอาชีวศึกษา การแลกเปลี่ยนหลักสูตรด้านวิชาการ
พร้อมขอให้ สอศ.ฝึกอบรมครูผู้สอนในเรื่อง ของเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านอุตสาหกรรม อาทิ การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมในโรงงาน และการพัฒนาช่างฝีมือด้านศิลปหัตถกรรม รวมถึงการทำแพ็กเกจจิ้งและการออกแบบแฟชั่น รวมทั้งให้ สอศ.จ้างผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากภูฐานมาสอนภาษาอังกฤษให้กับสถานศึกษา ซึ่งปีที่แล้วภูฏานส่งคนมา 19 คน และมาในปี 2556 จะขอส่งเพิ่มอีก 48 คน
“ภูฏานเก่งภาษาอังกฤษ เพราะใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารมานานถึง 50 ปี สอศ.จึงจ้างภูฏานมาสอน ค่าจ้างเดือนละ 600 เหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทย 18,000 บาท ซึ่งเป็นค่าจ้างที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับครูสอนภาษาต่างประเทศจากชาติอื่นๆ และถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ทั้งจากการประเมินปีที่แล้วพบว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะครูที่มาสอนเข้ากับเด็กได้และเด็กกล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ สอศ.จะส่งครูไปยังวิทยาลัยที่ทำเรื่องขอมา โดยวิทยาลัยเป็นผู้จ่ายค่าจ้างเอง ไม่ได้ใช้งบประมาณจากส่วนกลาง” เลขาธิการกอศ. ให้เหตุผลที่จ้างครูภูฏานมาสอนภาษาอังกฤษ
นอกจากนี้ ดร.ชัยพฤกษ์ ยังบอกด้วยว่ามีแนวคิดที่จะนำเรื่องของความสุขมวลรวมภายในประเทศของภูฏานมาประยุกต์ โดยไม่เน้นให้เด็กเรียนจบมีงานทำอย่างเดียว แต่ต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย โดยจะตั้งคณะทำงานศึกษาว่าคุณภาพชีวิตของผู้ที่เรียนจบอาชีวศึกษาที่นอกเหนือจากทักษะการทำงานแล้วควรมีอะไรบ้าง จากนั้นจะกำหนดเป็นแนวปฏิบัติและผลักดันให้เกิดขึ้นในสถานศึกษา
“ทีมการศึกษา” เห็นด้วยกับการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้สิ่งดีๆ ที่มิตรประเทศจะมีต่อกัน เช่น เรื่องภาษาอังกฤษที่ต้องยอมรับว่าราชอาณาจักรภูฐานประสบความสำเร็จในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ จนสามารถนำมาเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ซึ่งประเทศไทยควรจะศึกษาเป็นตัวอย่าง
และเราก็เห็นด้วยกับ เลขาธิการ กอศ. ที่ไม่มองข้ามสิ่งดีๆ ของราชอาณาจักรภูฏาน โดยเฉพาะการประสบความสำเร็จในการยึดความสุขมวลรวมภายในประเทศแทนจีดีพีอย่างที่ประกาศไว้ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์และชื่นชมของสังคมโลก
การที่ราชอาณาจักรภูฏานมี จีดีเอช สูงได้เพราะคนภูฏานมีเป้าหมายในชีวิตที่ ยึดความสุขและความพอเพียง โดยมุ่งเน้นในเรื่องของมาตรฐานในการดำรงชีวิต ผู้คนมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีโอกาสทางการศึกษา มีธรรมาภิบาล สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัวและชุมชน แทนการเห็นเงินเป็นพระเจ้า
หากเราสามารถปลูกฝังค่านิยมให้เด็กไทยมีความ “พอเพียง” และ “เพียงพอ” ได้จริง ประเทศไทยคงมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้.ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/358717