« เมื่อ: กันยายน 13, 2013, 11:47:40 am »
0
อวิชชา คือ ตัวความหลงของจิต
การทำจิตให้อยู่ในกระแสพระนิพพานนั้น จำเป็นต้องทำสมาธิให้จิตเข้าไปอยู่ในสภาวะฌาน ซึ่งเป็นอาการสมาธิที่จิตอยู่เหนือภาวะการน้อมนึก การได้สมาธิในรูปแบบต่างๆ แบบใดแบบหนึ่งนั้นมันก็ไม่ผิดอะไร เพราะเมื่อถึงที่สุดของสมาธิแล้วก็จะเกิดความรู้แบบที่เรียกได้ว่าผุดรู้ เป็นความรู้ที่นอกเหนือสมมติบัญญัติ มันเข้านิพพานได้เหมือนกัน แต่ถ้าจิตมีเชื้อของธรรมะอยู่ในใจ มันจะทำให้เข้าสู่กระแสพระนิพพานได้ดีกว่าการทำสมาธิแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจที่จะถือศีล ให้ทาน ฟังเทศน์ฟังธรรม
เพราะการทำสมาธินั้นมีทางผ่านมากมาย บางทีทำสมาธิไปก็พบเจอดวงจิตดวงวิญญาณต่างๆ ได้พบเจอความสามารถบางอย่างที่แทรกมาทางสมาธิ อย่างการไปรู้จิตผู้อื่น การไปรู้อนาคตผู้อื่น การไปรู้อดีตผู้อื่น หากไม่มีความรู้ความเข้าใจในสมาธิ หรือจิตไม่มีเชื้อธรรมะอยู่ อาจจะพาให้หลงอยู่กับสิ่งเหล่านั้นเป็นเวลานาน ซึ่งจะเป็นการเสียเวลา การไปเห็นอดีต เห็นอนาคตต่างๆ นานา มันก็ไม่เท่ากับการเห็นจิตใจของตน
พระนิพพาน คือ จุดสุดท้ายของการอบรมจิต สมาธิที่ตั้งมั่นเท่านั้นถึงจะเกิดภูมิปัญญาที่เรียกว่าวิปัสสนาภูมิ วิปัสสนาภูมินั้นเมื่อจิตมีภาวะสมาธิที่มั่นคงดีแล้ว มันจะเกิดภูมิวิปัสสนาเอง จิตทั่วไปถ้าไม่ไปหลงทางกับอิทธิวิธีก็จะถึงตรงนี้หมด จิตจะเริ่มรู้ความจริง จิตดวงนี้แท้จริงแล้วจะเวียนว่ายตายเกิด แล้วเกิดใหม่ไปจนกว่าจิตจะหลุดพ้น

ดวงวิญญาณที่ไม่ผ่านการอบรม ก็จะหลงยึดมั่นถือมั่นกับสมบัติโลก ที่โลกสมมติว่ามันมีค่า มีราคา แต่พอเราตายไปสมมติบัญญัตินั้นไม่สามารถตามเราไปได้ คิดยึดมั่นว่าเป็นของของตน คิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง วิญญาณก็กลับมาเกิดใหม่เพื่อรองรับอวิชชาความหลงของมัน ความเกิดมันถึงวนเวียนอยู่อย่างนี้ ถ้าใครมีปัญญาเท่าทันก็จะรู้ว่าเราเกิดมาก็จะมีเวลาบนโลกไม่นาน
เราอาจจะมีสิทธิ์ในการครอบครองสมบัติโลกไม่นาน พอเราตายลงเราก็ไม่มีสิทธิ์ในการครอบครองสมบัติเหล่านั้น ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็ตกเป็นสมบัติโลกเหมือนเดิม ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราก็ปล่อยให้สมบัติโลกเป็นของยึดครองของคนรุ่นหลังที่ยังไม่ตาย
ตอนที่เราพ้นจากโลกไปแล้ว ถ้าเราเข้าใจว่าจิตที่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของสมบัติโลก และเวลาที่จะครอบครองสมบัติโลกมันหมดลงไปแล้ว ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นไว้มันก็ถึงปัญญาพระนิพพาน ถ้าเราเกิดอวิชชาความหลง ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ดวงจิตดวงนั้นก็จะกลับมาเกิดใหม่ กลับมาเกิดในมิติความคิดความฝันด้วยอวิชชาความหลง
อวิชชา คือ ตัวความหลงของจิต หลงคิดว่าเป็นของของตนจริงๆ ลืมไปว่าเรามีเวลาที่ครอบครองมันอยู่เพียงระยะเดียว เมื่อหมดเวลานี้ไปของนั้นมันก็ตามมาเป็นสมบัติเราไม่ได้ แต่ด้วยความหลงของจิตวิญญาณ หลงผูกมัดยึดไว้ ดวงจิตวิญญาณนั้นก็กลับมาเกิด เพราะมีกรรม มีสัญญามารองรับไว้ วนเวียนอยู่อย่างนี้
การปฏิบัติสมาธิไปก็เพื่อให้มันหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ ไม่ต้องไปรู้เรื่องราวเยิ่นเย่อมากมาย ยิ่งรู้มากมายชาตินี้ก็ไม่รู้ความจริง จิตมีกี่ดวง วิญญาณอยู่ที่ไหน ภพภูมิเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้รู้ไปก็ไม่ทำให้ถึงพระนิพพาน แต่มันทำให้ดูเหมือนว่าคนที่ไปรู้ มีความรู้กว้างขวาง ถามอะไร ตอบได้หมด รู้กว้างขวางจริง แต่ไม่รู้ในปัญญาพระนิพพาน อันนั้นเอาไว้เป็นโวหารไว้เถียงกันว่าใครรู้เยอะกว่ากัน ทุกสิ่งที่รู้นั้นไม่เกี่ยวกับพระนิพพาน
ทุกสิ่งอยู่ที่จิตอย่างเดียว เรื่องราวทั้งหมดที่ต้องมาปฏิบัติก็เพราะว่าใจเพียงอย่างเดียว เกิดขึ้นที่ใจดวงเดียว ใจดวงนี้มันเกิดความหลง ยึดมั่นถือมั่นเป็นจริงเป็นจัง เรื่องราวต่างๆ ยังรองรับ จิตดวงนี้เลยมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ หาทางหลุดพ้นไปไม่ได้ เกิดมาก็มีความสุข-ความทุกข์.
ที่มา
http://www.thaipost.net/tabloid/080913/78952ภาพจาก
http://www.madchima.net/