ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ไม่ใช่ศาสนาอเทวนิยาม  (อ่าน 2480 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ที่สมบูรณ์ที่สุด


เพราะบอกวิธีการเข้าไปเป็นเทพเจ้าและเทวะในทุกชั้นภูมิ

1.  วิธีการเข้าสู่ความเป็นพรหมชั้นภูมิสูงสุด คือ พระอดิเทพ หรือเทวาติเทพ = พระพุทธเจ้าต่างๆ  ศาสนาอื่นเรียกว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือพระบิดา  ศาสนาพุทธเรียกว่า "พระธรรม"

...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม)

ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า " ธรรมกาย " ก็ดี " พรหมกาย " ก็ดี " ธรรมภูต " ก็ดี " พรหมภูต " ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต "


(ที.ปา. 11/51/91)

หมายความว่า:

- พรหมชั้นภูมิสูงสุด = ธรรมกาย พรหมกาย ธรรมภูต  พรหมภูต
- พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นพระธรรม และล้วนเกิดจากพระธรรม  นอกจากนี้..พระธรรมนั้นยังเป็นผู้สร้าง หรือ เป็นพระเจ้าผู้สร้าง ที่เรียกันว่า พรหม หรือพรหมัน หรือ ตรีมูรติ "พรหม ศิวะ นารายณ์". ซึ่งเป็นพรหมที่บริสุทธิ์ที่สุด ไม่มีกิเลสตัณหาใดๆ ศาสนาอิสลามเรียกว่า "มหาบริสุทธิ์"

อนึ่ง...การเป็นพระพุทธเจ้านั้นมีหลายประเภท แต่ละประเภทแบ่งจากการสร้างสมบารมีของมนุษย์คนนั้น  พูดให้ชัดคือ พระพุทธเจ้ามี  ๓ ประเภท คือ

๑.  พระปัญญาธิกพุทธเจ้า  ต้องใช้เวลาสั่งสมพระบารมี ๒๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป

๒.  พระสัทธาธิกพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาสั่งสมพระบารมี  ๔๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป

๓.  พระวิริยาธิกพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาสั่งสมพระบารมี  ๘๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป

2. วิธีการเข้าสู่ความเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ก็ต้องสะสมบารมีด้วยเช่นกัน

- ที่เป็นอุคฆติตัญญูโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า ปัญญาธิกะ ยิ่งด้วยปัญญาฯ
- ที่เป็นวิปจิตัญญูโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๘ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า สัทธาธิกะ ยิ่งด้วยศรัทธาฯ
- ที่เป็นเนยยโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า วิริยาธิกะ ยิ่งด้วยความเพียรฯ

3. วิธีการเข้าสู่ความเป็นเทพชั้นรองๆลงมา เช่น วิสุทธิเทพ (พระอรหันต์)   ศาสนาพุทธก็สอน  โดยให้ละราคะ โทสะ โมหะ ออกจากใจทั้งหมด

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

พระอรหันต์ถือว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า(พระธรรม)องค์ใดองค์หนึ่ง   ท่านเป็นผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สาวกพุทธะ   เพราะพระพุทธเจ้าถือว่าเป็นพุทธะที่เป็นสัพพัญญูพุทธะ

4. วิธีการเข้าสู่ความเป็นเพรหมชั้นโลกุตตระรองลงมาอีก
 
- พรหมชั้นสุทธาวาส ได้แก่ พระอนาคามีต่างๆซึ่งมีอยู่ ๕ ชั้น เป็นพรหมชั้นที่ 12 – 16 ซึ่งจะบรรลุเป็นพรหมได้ ต้องสามารถขจัดกิเลสจน  กำจัดกิเลสขั้นต้นและขั้นกลางได้เด็ดขาด ยังเหลือแค่กิเลสขั้นละเอียดเท่านั้น

พรหมชั้นสุทธาวาส  ชั้น 12. อวิหา,  ชั้น 13. อตัปปา, ชั้น 14. สุทัสสา, ชั้น 15. สุทัสสี, ชั้น16. อกนิฏฐา

ในโลกใบนี้  ก่อนมีพระพุทธศาสนา  ยังไม่มีผู้เข้าถึงความเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาส  พรหมในชั้นสุทธาวาสที่พระพุทธเจ้าไปพบเจอ ล้วนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์อื่น ซึ่งอยู่ในโลกธาตุอื่น

5. วิธีการเข้าสู่ความเป็นพรหมชั้นโลกียะ

ทางไปเกิดเป็นพรหมนั้น ต้องมีฌานเป็นหนทางไป บุคคลที่จะทำฌานให้บังเกิดขึ้นได้นั้น ได้แก่ ผู้ฏิบัติสมถะกรรมฐาน หรือสมาธิ เช่น พวกโยคี  แล้วท่านเหล่านี้ได้ตายในฌาน

 อรูปพรหม

 มี 4 ชั้น คือ อากาสานัญจายตนภูมิ วิญญาณัญจายตนภูมิ อากิญจัญญายตนภูมิ และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ  ศาสนาพุทธก็สอนวิธีเข้าถึงความเป็นอรูปพรหมในแต่ละชั้นด้วย 

อากาสานัญจายตนภพรหม  ได้ยึดเอา อากาศอันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์
วิญญาณัญจายตนพรหม ได้ยึดเอา วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด เป็นอารมณ์
อากิญจัญญายตนพรหม ได้ยึดเอา ภาวะความไม่มีอะไรเลย ไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์
เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ได้เข้าถึงภาวะมี สัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (ภาวะที่มีสัญญาไม่ปรากฏชัด)

 รูปพรหม

ผู้ที่ตายในปฐมฌาน ผู้ที่ตายในทุติยฌาน  ผู้ที่ตายในตติยฌาน และผู้ที่ตายในจตุตถฌาน  ย่อมเกิดเป็นรูปพรหม

....ที่เมื่อก่อนตายยังไม่เสื่อมจากปฐมรูปฌาน ก็เป็นรูปพรหมชั้น 1-3 
....ผู้ที่เมื่อก่อนตายยังไม่เสื่อมจากทุติยรูปฌาน ก็เป็นรูปพรหมชั้น 4-6
....ผู้ที่เมื่อก่อนตายยังไม่เสื่อมจากตติยฌาน ก็จะได้มาบังเกิดเป็นพรหมชั้น 7-9
....ผู้ที่เมื่อก่อนตายยังไม่เสื่อมจากจตุตถฌาน(ฌาน ๔) ก็จะได้มาบังเกิดเป็นพรหมชั้น 10 (เวหัปผลาภูมิ) เป็นภูมิของเวหัปผลพรหม

อย่างไรก็ตาม ในบางตำรา แบ่งจตุตถฌานเป็นอย่างอ่อน อย่างปานกลาง และอย่างประณีต

และยังแบ่งฌานออกเป็นฌาน 5(ปัญจมฌาน)ด้วย ฌาน 5 เป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มมาก ท่านจะแยกตัวเอกัคตากับตัวอุเบกขาออกจากกันได้ ก็จะกลายเป็นฌานที่ ๕ การจำแนกภูมิก็จะต่างออกไป  กลายเป็นว่า จตุตถฌานเป็นอย่างอ่อน อย่างปานกลาง และอย่างประณีต ก็จะไปตกในพรหมชั้น 7-9  แต่ผมจะไม่จำแนกอะไรเพิ่ม ณ ที่นี้ เดี๋ยวจะสักสนกันไปใหญ่

เอาเป็นว่า ผู้ที่แบ่งฌานออกเป็นฌาน 5 ผู้มาเกิดในเวหัปผลาภูมิ ก็จะมาจากอำนาจของปัญจมฌานกุศลเท่านั้น (เป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มมาก)   ผู้ที่ได้จตุตถฌานยังเข้ามาไม่ได้

พรหมในเวหัปผลาภูมิ มีอายุ ๕,๐๐๐ มหากัป เป็นภูมิที่พ้นจากโลกาวินาศ คือการที่โลกถูกทำลายด้วยไฟ-น้ำ-ลม พรหมในขั้นที่ 10 ภูมินี้ นับว่าเป็นยอดภูมิ และเป็นภูมิที่ประเสริฐกว่าพรหมปฐมฌาน-ทุติยฌาน-ตติยฌานภูมิ ซึ่งย่อมไม่พ้นจากโลกาวินาศ  

สรุป

พวกที่เรียนทางภาคทฤษฎี หรือสายปริยัติ  ย่อมไม่ได้ปัญญาทางศาสนา เกิดมิจฉาทิฏฐิได้  ทำให้มีความเชื่อที่ว่า ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม   ทั้งๆที่ ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะบอกวิธีการเข้าไปสู่ความเป็นเทวะในทุกชั้นภูมิ ชั้นภูมิสูงสุด คือ พระอดิเทพ หรือเทวาติเทพ (พระพุทธเจ้าต่างๆ) ไล่ลงมาถึงขั้นพระวิสุทธิเทพ(พระอรหันต์) ต่อเนื่องลงไปถึงชั้นพรหมโลกุตตระและพรหมโลกียะ  รวมทั้งเทพในสวรรค์ชั้นต่างๆด้วย
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ไม่ใช่ศาสนาอเทวนิยาม
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2010, 06:29:45 pm »
0
พวกที่เรียนทางภาคทฤษฎี หรือสายปริยัติ  ย่อมไม่ได้ปัญญาทางศาสนา เกิดมิจฉาทิฏฐิได้  ทำให้มีความเชื่อที่ว่า ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม   ทั้งๆที่ ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะบอกวิธีการเข้าไปสู่ความเป็นเทวะในทุกชั้นภูมิ ชั้นภูมิสูงสุด คือ พระอดิเทพ หรือเทวาติเทพ (พระพุทธเจ้าต่างๆ) ไล่ลงมาถึงขั้นพระวิสุทธิเทพ(พระอรหันต์) ต่อเนื่องลงไปถึงชั้นพรหมโลกุตตระและพรหมโลกียะ  รวมทั้งเทพในสวรรค์ชั้นต่างๆด้วย

อิติปิ โส ภะคะวา                          เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น

อะระหัง                                      ทรงเป็นผู้ไกลจากกิเลส

สัมมาสัมพุทโธ                            ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

วิชชาจะระณะสัมปันโน                   ทรงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ

สุคะโต                                       ทรงเป็นผู้ไปแล้วด้วยดี

โลกะวิทู                                      ทรงเป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง

อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ           ทรงเป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

สัตถา เทวะมะนุสสานัง                   ทรงเป็นครูผู้สอน ของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย

พุทโธ                                        ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม

ภะคะวา ติ                                   ทรงเป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้


จากบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณนี้

ท่านผู้เป็นเสขะบุคคล พึงพินิจเถิดว่า พระพุทธองค์ ทรงเป็นมนุษย์ ทรงตรัสสอนว่า ใน 31 ภูมินี้ ไม่เที่ยง (ไม่ใช่

อมตะ ไม่ใช่นิรันดร์) เป็นสังสารวัฏฏ์ ที่เวไนยชนผู้มีปัญญาไม่พึงปรารถนา กล่าวคือ ปฏิเสธความเป็นเทพ เป็น

พรหม และไม่กล่าวว่า ความสิ้นอาสวะทั้งหลาย เป็นเทพพรหม แต่เป็นอเสขะบุคคล เป็นอรหันตขีณาสพ ที่ไม่

ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดซ้ำๆ นิพพิทา เป็นบาทฐานแห่งสาวกภูมิ มุ่งความปรารถนาที่จะเจริญรอยตาม

เยื่องอย่างแห่งพระบรมศาสดา เราไม่กล่าวอ้างพระเจ้าใดใด เพราะพระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาของมนุษย์ และ

เทวดา พรหม ทรงชี้นำพระนิพพานเป็นหนทางสิ้นทุกข์ สิ้นวัฏฏะ ไม่มีสังขตธรรมใดใด อย่างนี้ชื่อว่าหลุดพ้น ซึ่ง

ไม่มีในศาสนาอื่น นอกจากศาสนาพุทธ


สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม           พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว

สันทิฎฐิโก                                    เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง   

อะกาลิโก                                     เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล

เอหิปัสสิโก                                   เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด

โอปะนะยิโก                                  เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว

ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหี ติ            เป็นสิ่งที่ผู้รู้ ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้


ความเป็นเทพ พรหม หรือพระเจ้าใดใด ไม่ยิ่งใหญ่ เพราะไม่สิ้นทุกข์ ความสุดสิ้นวัฏฏะ เป็นหนทางของเวไนย

ชน ผู้เห็นแล้วด้วยปัญญาว่า โอฆะสงสาร เป็นมหันตทุกข์ เหล่าพุทธศาสนิกไม่ว่าบัวเหล่าใดใด ย่อมขวนขวายใน

อันที่จะหลุดพ้นทั้งสิ้น เราชาวพุทธเป็นอริยะชนผู้นอบน้อมแล้วด้วยดี ย่อมถึงความจำเริญในพระศาสนานี้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 04, 2010, 06:43:54 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
Re: ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ไม่ใช่ศาสนาอเทวนิยาม
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 10:26:45 am »
0
ย้ำ!......พระอดิเทพ หรือเทวาติเทพ = พระพุทธเจ้าต่างๆ  ศาสนาอื่นเรียกว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือพระบิดา   ศาสนาพุทธเรียกว่า "พระธรรม"
บันทึกการเข้า