พระอัมพปาลีเถรีเปล่งอุทานเป็นคาถาพรรณนาอปทานของท่านว่า
ข้าพเจ้าเกิดในสกุลกษัตริย์ เป็นภคินีของพระมหามุนีพระนามว่าปุสสะ ผู้มีพระรัศมีงามดังมาลัยประดับศีรษะ ข้าพเจ้าฟังธรรมของพระองค์แล้วมีใจเลื่อมใส ถวายมหาทานแล้วปรารถนารูปสมบัติ.
นับแต่กัปนี้ไป ๓๑ กัป พระชินเจ้าพระนามว่าสิขี เป็นนายกเลิศของโลก ทรงส่องโลกให้สว่าง ทรงเป็นสรณะของ ๓ โลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในสกุลพราหมณ์ กรุงอมรปุระที่น่ารื่นรมย์ โกรธขึ้นมาก็ด่าภิกษุณีผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว [อริยุปวาท] ว่า ท่านเป็นหญิงแพศยาประพฤติอนาจาร ประทุษร้ายศาสนาของพระชินเจ้า ครั้นด่าอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ตกนรกอันร้ายกาจ เพียบพร้อมด้วยทุกข์ใหญ่หลวง เพราะบาปกรรมนั้น จุติจากนรกนั้นแล้ว มาเกิดในหมู่มนุษย์ มีลามกธรรมทำให้เดือดร้อน ครองความเป็นหญิงแพศยาอยู่ถึงหกหมื่นปี ก็ยังไม่หลุดพ้นจากบาปอันนั้น เหมือนอย่างกลืนพิษร้ายเข้าไป.

ข้าพเจ้าเสพเพศพรหมจรรย์ [บวชเป็นภิกษุณี] ในศาสนาพระชินเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ด้วยผลแห่งบุญนั้น ข้าพเจ้าก็บังเกิดในสวรรค์ชั้นไตรทศ [ดาวดึงส์]
เมื่อถึงภพสุดท้าย ข้าพเจ้าเกิดเป็นโอปปาติกะ ที่ระหว่างกิ่งมะม่วง ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงชื่อว่าอัมพปาลี ข้าพเจ้าอันหมู่สัตว์นับโกฏิห้อมล้อมแล้ว ก็บวชในศาสนาของพระชินเจ้า บรรลุฐานะอันมั่นคงไม่สั่นคลอน เป็นธิดาเกิดแต่พระอุระของพระผู้เป็นพุทธะ.
ช่วงนี้เป็นหัวใจของเนื้อเรื่องที่สำคัญ
การกล่าวเล่า ของ อริยสาวิกา นั้น ท่านกล่าวเล่า บุพพกรรม ของท่าน ว่า โทษเพียงเรื่องเดียวนิดหน่อย รับ กรรม เป็นยาวนาน ถึง 3 พระพุทธเจ้า
แค่ ถ่อยคำ ด่า พระอริยะที่เป็นพระอรหันต์ ว่า อีแพศยาชื่อไรนะ ถ่มน้ำลายลงที่ตรงนี้
นึกถึงตรงนี้ คนที่ด่า พระอริยะ กันประจำอย่างสมัยนี้ แล้ว ทั้งอัดเสียงด่า ทำตำราด่า ทั้งออกประกาศด่า นึกดูแล้ว ว่าจะใช้กรรมอย่างไร อีกทั้งอย่างพวกที่ปรามาส พระอริยะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ รู้ ด้วย จะเป็นอย่างไร ?
