ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อคนไทยเป็น 'มหาราชา มหารานี' แดนพุทธภูมิ  (อ่าน 1048 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เมื่อคนไทยเป็น 'มหาราชา มหารานี' แดนพุทธภูมิ
วิศวกรสันติภาพ'มจร.' จาริกตามรอยสันติธรรม ณ แดนพุทธภูมิ : เรื่อง/ภาพ สำราญ สมพงษ์

การท่องแดนพุทธภูมิประเทศอินเดียของคนไทยพุทธส่วนใหญ่แล้ว ต้องการที่จะสัมผัสพื้นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าโดยตรง เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้ปฏิบัติธรรมทวีคูณขึ้นไป เช่นเดียวกับคณะนิสิตปริญญาโทสันติศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร ) รุ่นที่ ๑ (และกำลังรับสมัครรุ่นที่ ๒อยู่ขณะนี้) ได้จัดโครงการ "จาริกสันติธรรม สู่ดินแดนแห่งพุทธภูมิ" ประเทศอินเดีย-เนปาล จำนวน ๔๐ รูป/คน ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๖ มกราคมที่ผ่านมา ภายใต้การนำของพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตร

โครงการตามรอยการสร้างสันติธรรมของพระพุทธเจ้าสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล ลุมพินีวัน พุทธคยา สารนาถ กุสินารา และบ้านเกิดมหาตมะ คานธี อันเป็นบ่อเกิดแห่งพุทธสันติวิธี เพื่อสร้างสันติภาพภายในให้เกิดต่อสังคมโดยรวมนั้น มีพระธรรมทูตประเทศอินเดีย-เนปาลทำหน้าที่เป็นวิทยากรให้คำแนะนำสถานที่และหลักธรรม พร้อมนำไหว้พระทำวัตรเช้า-เย็น สวดมนต์ นั่งสมาธิ และบรรยาธรรม โดยได้ยกหลักธรรมและเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทำหน้าที่ในการแก้ปมความขัดแย้งขณะนั้นแล้ว ยังได้ยกเหตุการณ์การเมืองไทยขณะนี้ขึ้นมาประกอบด้วยเพื่อประยุกต์เข้าเนื้อหาของหลักสูตร ดังนี้


 ans1 ans1 ans1

สวนลุมพินีวันประเทศเนปาล สถานที่ประสูติ ยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกจุดไฟสันติภาพต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ เพราะเห็นความสำคัญของพระพุทธเจ้าที่สร้างสันติภาพในโลกโดยไม่ใช้กำลัง และยังได้ทราบถึงพุทธวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ในอดีต เช่นกรณีที่ชาวนาเมืองสักกะกับวิเทหะที่เป็นพระญาติทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันเพราะแย่งน้ำทำนา และการเสด็จไปห้ามพระเจ้าวิฑูรทัพพะโกรธเจ้าศากยวงศ์ที่ไม่ให้เกียรติยกทัพไปสังหารจนหมดสิ้น

พุทธคยาสถานที่ตรัสรู้ เป็นจุดที่เจ้าชายสิทธัตถะสามารถชนะมารบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมเกิดสันติภายในอย่างถาวร แล้วสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นกับชาวโลกมายาวนานถึง ๒,๖๐๐ปี โดยไม่ได้ใช้กำลังในแก้ปัญหาความขัดแย้งเลย สาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะสามารถบรรลุธรรมได้นั้นเนื่องจากละความสุดโต่งในการแสวงหาความสุขทางกายที่เรียกว่า "กามสุขัลลิกานุโยค" ออกบวชและหาทางบรรลุธรรม ทดสอบแนวทางสุดโต่งด้วยการทรมานตนที่เรียกว่า "อัตตกิลมถานุโยค" ถึง ๖ ปียังไม่บรรลุดธรรม จึงได้หันมาใช้แนวทางแบบสายกลางที่เรียกว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือมรรคมีองค์ ๘ เริ่มจากความเป็นที่ถูกต้องเป็นต้นจึงได้บรรลุธรรม

 :96: :96: :96:

จุดนี้พระวิทยากรได้ยกเหตุการณ์การเมืองไทยที่ขัดแย้งกันเพราะยืนอยู่บนทางสุดโต่ง ๒ ทาง ยากที่จะทำให้บ้านเมืองสงบได้  จำเป็นต้องใช้ทางสายกลางคือการเจรจา เพราะไม่มีฝ่ายใดจะได้ชัยชนะแบบ ๑๐๐%

สารนาถหรือเมืองพาราณสีพระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา แต่จุดที่น่าสนใจตรงนี้ในการแก้ความขัดแย้งนั้นก็คือลูกเศรษฐีชื่อยสะเบื่อหน่ายการครองเมือง หนีออกจากบ้านบนว่า "วุ่นวายหนอ ขัดข้องหนอ" จนพบพระพุทธเจ้าได้ฟังธรรมและบรรลุธรรมพบความสงบภายใน พระพุทธเจ้าบวชให้แล้วส่งไปช่วยสร้างสันติให้เกิดขึ้นในสังคมอินเดียต่อไป


 :25: :25: :25:

สาวัตถีเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าจำพรรษานานที่สุด มีพุทธวิธีที่แก้ความขัดแย้งคือ พระเมืองโกสัมพีที่ทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กน้อยแต่ลุกลามใหญ่โตแบ่งเป็นสองฝ่ายชัดเจนเหมือนเมืองไทย พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีให้พระทั้งสองกลุ่มเจรจาประนีประนอมกันแต่ไม่เป็นผล จึงปลีกวิเวกไปจำพรรษาแต่เพียงพระองค์เดียวที่ป่าปาลิไลยกะ ที่เมืองนี้ทำให้ได้ทราบพุทธวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งหลายประการ

กุสินาราสถานที่ปรินิพานของพระพุทธเจ้า จุดนี้ทำให้ได้ทราบถึงแนวทางของการแก้ปัญหาความขัดแย้งคือหลังถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว เกิดการแย่งพระบรมสารีริกธาตุระหว่างเจ้าแคว้นต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปเผยแผ่ธรรม ได้โทณพราหมณ์เตือนสติให้เห็นถึงอุดมการณ์ของพระพุทธศาสนาคือไม่ควรขัดแย้งทำร้ายกันตามที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ในวันมาฆบูชา โดยโทณพราหมณ์ใช้หลักของการแก้ปัญหาความขัดแย้งเริ่มจากการเจรจา

 st12 st12 st12

พิพิธภัณฑ์มหาตมะ คานธี ตั้งอยู่ใจกลางกรุงนิวเดลี มีการจัดแสดงผลงานในรูปแบบต่างๆ เพื่อต้องการสื่อให้เห็นภาพของการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นกับประเทศอินเดียหลังจากเรียกร้องเอกราชจากประเทศอังกฤษสำเร็จด้วยวิธีอหิงสาและอารยะขัดขืน และได้แสดงภาพของพระพุทธเจ้าหลายจุดอันแสดงเห็นว่ามีอิทธิพลต่อความคิดของมหาตมะ คานธีด้วย
 
การจาริกแดนพุทธภูมิตามรอยสันติธรรมของคณะนิสิตปริญญาโทสันติศึกษา มจร.ครั้งนี้ ได้สร้างสันติให้เกิดขึ้นในจิตใจมากพอสมควร และได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยใช้กำลังในการแก้ปัญหาเลย คงจะเป็นแรงกระตุ้นและแนวทางในแก้ปัญหาความขัดแย้งการเมืองไทยขณะนี้ได้ในระดับหนึ่ง





หลักสูตรสันติศึกษา'มจร.'เน้นสร้างสันติภายใน

พระมหาหรรษา บอกว่า หลักสูตรสันติศึกษานี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานศาลยุติธรรม และสถาบันพระปกเกล้า เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดสันติภาพภายในใจ มีสติรู้เท่าทันอคติ มีความเข้าใจความขัดแย้ง และการจัดการความขัดแย้งในมิติที่หลากหลาย รวมถึงการเรียนรู้แนวคิด ทฤษฎี และเครื่องมือในการจัดการความขัดแย้งของสันติวิธี ซึ่งเป็นทางเลือกสำคัญต่อการนำไปประยุกต์ใช้จัดการความขัดแย้งในเชิงปัจเจกและสังคม

   มีรายละเอียดกลุ่มวิชาดังนี้
   กลุ่มวิชาที่ ๑ แนวคิด และทฤษฎี ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการความขัดแย้ง ความรุนแรง แนวคิด ทฤษฎีสันติภาพ พัฒนาการของความขัดแย้งและความรุนแรงในโลกสมัยใหม่ พระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ และพุทธสันติวิธี

   กลุ่มวิชาที่ ๒ ปฏิบัติการสร้างสันติภาพ การฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จริงในศาล และพื้นที่ขัดแย้งในชุมชน และสถานที่ทำงาน เน้นทั้งการสร้างสันติภาพภายในด้วยการพัฒนาสติเพื่อให้เกิดสันติ และปฏิบัติการสร้างและรักษาสันติภาพภายนอกโดยกระบวนการไกล่เกลี่ยคนกลางอย่างมีสติ โดยใช้กระบวนการสันติสนทนาด้วยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในลักษณะต่างๆ

  "กลุ่มวิชาที่ ๓ ศึกษาต้นแบบของนักสร้างสันติภาพทั่วโลก หลักการและเครื่องมือในการสร้างสันติภาพและรักษาสันติภาพ การศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับบทบาทของผู้นำทางการเมืองและนักการศาสนาต่อกระบวนการสร้างสันติภาพ บทบาทขององค์กรสันติภาพทั่วโลก ขันติธรรมทางศาสนา การสื่อสารเพื่อสร้างสันติภาพและกระบวนการทางกฎหมายเพื่อสร้างสันติภาพ" พระมหาหรรษากล่าว


 :welcome: :welcome: :welcome:

เมื่อคนไทยเป็น'มหาราชา มหารานี'

เนื่องจากเมื่อเดินทางไปยังสังเวชนียสถานแต่ละแห่ง ผู้แสวงบุญจะได้สัมผัสนั้นก็คือ "คนขอทาน" ตั้งแต่เดินลงจากรถและเดินขึ้น เพราะพวกเขาจะเดินตามติดแบบไม่ลดละ เสียงที่ได้ยินก็คือ "มหาราชา มหารานี" ซึ่งมีทุกเพศถึงวัย นอกจากนั้นจะได้ยินเจ้าหน้าที่ที่คอยอำนวยความสะดวก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย รวมถึงคนสวน คนทำความสะอาดห้องน้ำ หรือคนยกกระเป๋าจะบอกว่า "ทำบุญ" "มีน้ำใจ" หรือ "ทิป" เป็นต้น

ประเด็นนี้พระธรรมทูตให้คำแนะนำว่า ควรจะพกหลวงพ่อเฉยติดตัวคือไม่ต้องให้ความสนใจเฉยลูกเดียว พร้อมกันนี้อาจจะบอกว่า "น หิ" ภาษาฮินดีแปลว่า "ไม่" เพราะหากให้เงินเขาแล้วก็จะมีคนอื่นเข้ามารุมล้อมแทบจะเดินไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว ความจริงแล้วที่ประเทศอินเดียนั้น มีคนขอทานเป็นอาชีพจริงๆ ก็มี นอกจากนี้จะมีคนประเภทที่เห็นว่าคนอื่นขอแล้วอยากได้บ้าง ทั้งๆ ที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ขัดสนมากนัก
 
นอกจากนี้ยังจะเห็นคนขอทานในคราบของพระแสดงท่าทางนั่งสมาธิสวดมนต์ทำให้ผู้แสวงบุญเข้าใจว่าเป็นพระจริงแล้วให้ทาน พระธรรมทูตก็ให้คำแนะนำว่า ประเทศอินเดียไม่มีกฎหมายลงโทษบุคคลที่แต่งกายเลียนแบบพระ ดังนั้นให้ผู้แสวงบุญต้องเฉยเช่นกัน


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140211/178681.html#.UvoqcvsW5El
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ