ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธกับไสยฯ ไปด้วยกัน.?? สะเดาะเคราะห์ ตัดกรรมชั่ว.??  (อ่าน 1467 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29347
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พุทธกับไสยฯ ไปด้วยกัน?? สะเดาะเคราะห์ ตัดกรรมชั่ว ??

ได้ยินกันบ่อยครั้งถึงเรื่องของการที่คนเราทำพิธีกรรมต่าง ๆ ประเภท ตัดกรรมชั่วที่ตนเองทำมาทั้งในชาติปางที่แล้วและชาติภพนี้หรือประเภทพิธีสะเดาะเคราะห์สิ่งเหล่านี้เป็นแนวความคิดแบบพุทธหรือ??

ได้ยินกันบ่อยครั้งถึงเรื่องของการที่คนเราทำพิธีกรรมต่าง ๆ ประเภท ตัดกรรมชั่วที่ตนเองทำมาทั้งในชาติปางที่แล้วและชาติภพนี้หรือประเภทพิธีสะเดาะเคราะห์สิ่งเหล่านี้เป็นแนวความคิดแบบพุทธหรือ??


 :49: :49: :49:

ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า “กรรม” ก็ไม่น่าจะหมายถึงพุทธศาสนาเสมอไปแต่ต้องขึ้นอยู่กับบริบทด้วยสำหรับพุทธศาสนาแล้วเชื่อว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมกรรมดีย่อมส่งผลไปในทางที่ดีส่วนกรรมชั่วนั้น ก็ส่งผลไปทางชั่วการจะลดผลของชีวิตที่ไม่ดีอันเป็นผลมาจากการสั่งสมกรรมเลวกรรมชั่วมา โดยตลอดนั้นหนทางเดียวคือการสร้างกรรมดีเมตตา กรุณา กตัญญูต่อผู้อื่นลดการกระทำชั่ว รักษาศีลให้เคร่งครัดยุติการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นในวิธีการต่าง ๆ การเสริมการมี หิริโอตตัปปะหรือการละอายและเกรงกลัวต่อการกระทำบาปและสำคัญยิ่งคือการทำจิตใจให้บริสุทธิ์มีสัมมาทิฐิ

แต่แนวความคิดของการสะเดาะเคราะห์ด้วยการตัดกรรมผ่านการทำพิธีต่าง ๆ ที่อาจจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยตรรกะตามหลักพุทธศาสนากล่าวคือไม่ได้ เป็นการเสริมชีวิตด้วยการสร้างกรรมดี ละเว้นความชั่วและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ หากแต่เป็นความมุ่งหวังที่จะลดของผลกรรมเลวร้ายเพียงแต่ด้วยการ ทำพิธีกรรมเต็มไปด้วยรูปแบบแต่ไม่ได้นำไปสู่แก่นสารของทางพุทธศาสนาก็น่าที่จะต้องบอกโดยหลักการแห่งพระพุทธศาสนาว่าไม่ใช่หลักการเจริญชีวิตตามหลักของพระพุทธศาสนา



หากว่าผู้ที่ทำพิธีกรรมดังกล่าวไม่ได้นำเอาชีวิตที่อาจจะดีขึ้นนั้นจากการประกอบพิธีตัดกรรมสะเดาะเคราะห์ไปทำสิ่งชั่วร้ายเบียดเบียนผู้อื่นก็คงจะไม่ถือว่าผิดหลักพุทธศาสนาแต่หากว่า มีความมุ่งหวังว่าจะนำเอา พลังที่มีมากขึ้นชีวิตที่ดีมากขึ้น (หากว่าเกิดขึ้นจริงจากการทำพิธีที่ไม่ใช่พิธีทางพุทธ) เพื่อไปทำกรรมชั่วเบียดเบียนผู้อื่นต่อไปโดยไม่ได้ทำให้มิจฉาทิฐิของตนเองลดน้อยถอยลงมิได้ปลูกปัญญาของตนเองให้เป็นสัมมาทิฐิ ก็คงต้องหันมาตั้งคำถามว่าแล้วตกลง ผู้ที่ไปทำพิธีตัดกรรม สะเดาะเคราะห์ด้วยเห็นว่าเป็นทางลัด (แทนการกระทำดีและละเว้นความชั่ว) ของการนำไปสู่ชีวิตที่ดีเพื่อจะนำไปทำสิ่งเลวร้ายต่อนั้น นั่นเป็นคนที่ี่ดำเนินชีวิตตามธรรมนองคลองธรรมของหลักพุทธศาสนาหรือไม่

 :96: :96: :96:

อันที่จริงแล้วความเชื่อเรื่องตัดกรรม และสะเดาะเคราะห์เป็นความเชื่อของคนไทย ที่ถือว่าเป็นสังคมประเภทพุทธไสยฯ “พุทธกับไสยฯ’’ ไปด้วยกันมาแต่ไหนแต่ไรที่คงจะไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่มันทำให้คนไทยบางกลุ่มคิดว่าการทำให้ชีวิตเจริญขึ้นได้นั้น “มีทางลัด” และเบี่ยงออกไปจากหลักความคิดที่ว่า “ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว” เพราะทำชั่วไปก็มีทางลัดแก้ไขตัดได้ด้วยการทำพิธี ...แน่นอนว่าพิธีต่าง ๆ มักจะมีค่าโสหุ้ยต่าง ๆ มากมายหากว่าเดินตามหลักตรรกะที่ว่า การลบล้างกรรมชั่วนั้นมีทางลัดที่ไม่ต้องทำความดีและไม่ต้องลดเว้นการกระทำชั่ว (เพราะผลของกรรมชั่วลดลงและทำต่อได้เลยไม่ต้องละเว้น) นั้นจำกัดอยู่กับเฉพาะคนที่มีฐานะสูง มีอันจะกิน (จนสามารถที่จะมีเวลาและมีทรัพย์สินเงินทองพอที่จะทำพิธีต่าง ๆ ได้) และคนที่ไม่มีทรัพย์สินเงินทองพอที่จะเอาเงินไปทำพิธี หรือบูชาสิ่งต่าง ๆ ได้ ก็จะมีโอกาสเข้าถึงธรรมและชีวิตที่ดีขึ้นได้นั้นน้อยลง ๆ ไปเรื่อย ๆ

 st12 st12 st12

จุดนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ไม่สอดคล้องกับหลักการพุทธศาสนาอีกประการหนึ่งเพราะพุทธศาสนานั้นที่ได้รับการถือว่าเป็นศาสนาผู้นำมิติใหม่มาสู่ชมพูทวีป ในช่วงพุทธกาลก็เพราะว่าเป็นศาสนาที่ไม่กีดกันการเข้าถึงธรรมไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในวรรณะใด ช่วงชั้นใดภาคส่วนใดของสังคม ไม่ว่าจะเป็นพราหมณ์ กษัตริย์ แพทย์ ศูทรหรือแม้แต่ จัณฑาลหรือแม้แต่จะเป็นผู้ที่มีความรู้ระดับใดเพราะแม้แต่ผู้ที่อ่านหนังสือไม่ออกไม่มีการศึกษาก็สามารถบรรลุธรรมได้ด้วยธรรมะของพระพุทธองค์เสมอดังนั้นไม่มีอะไรที่จะเป็นสิ่งที่ปิดกั้นการเข้าถึงธรรมไม่ว่าจะเป็นเรื่องฐานะหรือเรื่องความรู้ตราบเท่าที่เราเจริญสติรู้ตัว


รู้ตน ละเว้นความชั่วได้ ก็มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ทุกหมู่เหล่า

ในสังคมไทยของเราทุกวันนี้แม้ว่าพุทธศาสนา จะเป็นศาสนาประจำชาติและประเทศไทยเองก็เป็นประเทศที่เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาอยู่แต่ยังมีคนจำนวนมากที่เลือกที่จะให้ความสำคัญกับพุทธศาสนาที่ประยุกต์เอาเองผนวกกับสังคมที่ยิ่งวันยิ่งมีความกดดัน และต้องการสิ่งต่าง ๆ แบบทันใจมากยิ่งขึ้น (แถมใจร้อนมากขึ้น ด้วย) ยิ่งทำให้คนไทยเบี่ยงเบนออกจากพุทธศาสนา ตามคำสอนของพระพุทธองค์มากขึ้นเท่านั้น

 :25: :25: :25:

หากว่าพูดกันในระดับบุคคลธรรมดาการที่เบี่ยงเบนออกจากพุทธศาสนาอันมีแก่นธรรมตามโอวาทปาติโมกข์ของพระพุทธองค์เมื่อวันเพ็ญเดือนสามของยุคพุทธกาล (หรือการทำความดีให้ถึงพร้อมการละเว้นความชั่วและการทำจิตให้บริสุทธิ์) อาจส่งผลกระทบถึงสังคมไม่มากเท่าไหร่แต่หากว่า บุคคลระดับนำของประเทศเชื่อในสิ่งที่ไม่ใช่ “พุทธ” แบบบริสุทธิ์แต่เลือกที่จะเชื่อ พุทธแบบทางลัด สร้างเสริมบารมีด้วยการสะเดาะเคราะห์ ตัดกรรมและละเลยเรื่องการลดทอนผลกรรมชั่วด้วยการละเว้นการทำชั่วและการเสริมกรรมดีโดยต่อเนื่อง สังคมคงจะเดินหน้าไปอย่างลำบากเพราะจะมีแต่คนที่ “เดินทางลัด” สร้างความเจริญทางวัตถุโดยปฏิเสธ พุทธศาสนาไว้เบื้องหลังเห็นการทำดีเป็นความโง่อยากจะโก้หรูต้องทำชั่วเมื่อเกลือกกลั้วจนตัวเน่าก็เร่งเร้าเข้าแก้กรรมแบบนี้สังคมไปไหนไม่ไกลแน่ ๆ

ทุกครั้งที่เราต้องบทสวด อิติปิโสโดยเฉพาะในการสวดบูชาพระธรรมคุณถึงบทที่ว่า “อกาลิโก” เราควรที่จะตระหนักให้หนักแน่นว่าพระธรรมของพระองค์นั้นให้ผลได้ไม่จำกัดกาลและคงไม่ต้องหาสิ่งใดโดยเฉพาะเรื่องของการทำพิธีกรรมต่าง ๆ มาเสริมจนเสียแก่นสารของพระพุทธศาสนาไปไม่มีอะไรเหนือไปกว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนสั่งไว้แล้วไม่ว่า สมัยพุทธกาล วันนี้หรือวันหน้าก็ตาม.

ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/Article/218701/พุทธกับไสยฯ+ไปด้วยกัน%3F%3F+สะเดาะเคราะห์+ตัดกรรมชั่ว+%3F%3F
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Akira

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 653
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: พุทธกับไสยฯ ไปด้วยกัน.?? สะเดาะเคราะห์ ตัดกรรมชั่ว.??
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2014, 08:09:59 am »
0
ถ้าชวนคนไปอย่างนี้ ง่าย มาก แต่ ชวน ภาวนา จะยากมาก

 :08:
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ มาศึกษาธรรมะจ้า แก๊งค์ อ๊บ อ๊บ