แผ่นดินไหวธรรมชาติวิปโยค! 'ไทย' เจอเคราะห์ซ้ำ ด้อยเทคโนโลยีเตือนภัย
เมื่อไทยเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 6.3 ทำเอาหลายฝ่ายเริ่มกังวลใจ เพราะภัยธรรมชาติดูเหมือนจะไร้ปรานีประเทศของเรา ทั้งยังต้องเจอเคราะห์กรรมอีกครั้ง เมื่อเทคโนโลยีแจ้งเตือนภัยนั้นใช้งานมานานนับ 10 ปี ศักยภาพด้อยกว่าต่างชาติ...
กลายเป็นความกังวลใจของคนไทยอีกครั้ง! หลังจากเมื่อช่วงเย็นของวานนี้ (5 พ.ค.) ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 6.3 โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดเชียงราย จนทำให้อาคาร บ้านเรือน วัด และถนน ได้รับความเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซ้ำยังเกิดแผ่นดินไหวตามมา (Aftershock) มากกว่า 100 ครั้ง ส่งผลให้จังหวัดต่างๆ สามารถรับรู้แรงสั่นไหว อาทิ เชียงราย ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ น่าน พะเยา หนองคาย เลย และกรุงเทพฯองค์พระพุทธรูปได้รับความเสียหาย จากเหตุแผ่นดินไหว เมื่อ 5 พ.ค.2557
จากเหตุการณ์ดังกล่าว จะมีเทคโนโลยีใดที่สามารถใช้เตือนภัย หรือบรรเทาความเสียหาย ที่เกิดขึ้นอย่างไร? เรามีคำแนะนำจาก "นายบุรินทร์ เวชบันเทิง ผู้อำนวยการสำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา" มาฝากทุกท่าน ดังนี้…
ยากต่อการแจ้งเตือนล่วงหน้า!
การรู้จุดศูนย์กลางของการเกิดแผ่นดินไหวนั้นจะทำได้ก็ต่อเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว และมีการตรวจสอบข้อมูลเพื่อหาพื้นที่ศูนย์กลางของการเกิดเหตุ เนื่องจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวนี้มีลักษณะคาดเดาได้ยากเพราะเกิดจากการเคลื่อนตัวของชั้นเปลือกโลกซึ่งอยู่ใต้ผิวดิน ดังนั้นการแจ้งเตือนจึงทำได้เฉพาะในกรณีที่เป็นการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไป เพื่อให้เตรียมความพร้อมรับมือหรือป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การคาดเดาเหตุแผ่นดินไหวนั้นสามารถทำล่วงหน้าได้ แต่ความแม่นยำที่ได้อาจมีไม่มากนัก โดยต้องใช้ทั้งข้อมูลประวัติศาสตร์ สถิติ และรายละเอียดด้านธรณีวิทยา รวมถึงการขุดร่องสำรวจและการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเครื่องมือ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่มีราคาค่อนข้างสูง ขณะเดียวกัน แผ่นดินไหวยังมีความแตกต่างกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นๆ จึงทำได้แต่เพียงสร้างความพร้อมในการรับมือหากเกิดเหตุ และแจ้งเตือนล่วงหน้าหากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีแนวโน้มจะกระทบต่อพื้นที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่จุดศูนย์กลางการเกิด
อีกหนึ่งความเสียหายจากภัยแผ่นดินไหว ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศไทย
ไทยด้อยเทคโนโลยี! ไม่ติดฝุ่นจีน-ญี่ปุ่น
ปัจจุบัน ทุกประเทศล้วนมีระบบตรวจจับการเกิดแผ่นดินไหว-สึนามิ แทบทั้งสิ้น แต่งบประมาณที่แต่ละหน่วยงานของแต่ละประเทศได้รับก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้แต่ละประเทศมีเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ซึ่งประเทศไทยนั้นมีเทคโนโลยีดังกล่าวตั้งแต่เมื่อครั้งเกิดเหตุสึนามิ ในปี 2547 ซึ่งหมายความว่าปัจจุบันเรายังใช้เทคโนโลยีที่มีอายุกว่า 10 ปีมาแล้ว และมีการใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเครื่องมือชุดดังกล่าวมีราคาประมาณ 400 ล้านบาท ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 2558 ทางสำนักงานฯ มีแผนยื่นของบประมาณต่อรัฐบาล เพื่อติดตั้งระบบเฝ้าระวังเหตุแผ่นดินไหวสมรรถนะสูงในวงเงินราว 550 ล้านบาท สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและเฝ้าระวังเหตุดังกล่าว รวมทั้งเพิ่มจุดตรวจจับแผ่นดิวไหวจากเดิมที่ไทยมีเพียง 40 แห่ง กระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ให้เป็น 70-80 แห่ง หรือถึง 100 แห่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้วย
ส่วนในประเทศจีนและญี่ปุ่นนั้น ถือเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง จึงสามารถตรวจสอบเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติล่วงหน้าได้ค่อนข้างดีกว่าไทย แต่ถึงอย่างไรการคาดการณ์เหตุแผ่นดินไหวนั้นก็มีความแม่นยำเพียง 20% เท่านั้น
อาคาร บ้านเรือน ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ภาคเหนือเสี่ยงสุด! กรุงเทพฯ ไร้รอยเลื่อน
สำหรับระดับความรุนแรงของเหตุแผ่นดินไหวในประเทศไทยนั้น มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ขนาด 5 ขึ้นไป ซึ่งเคยเกิดขึ้นในระดับดังกล่าวแล้วกว่า 10 ครั้ง ส่วนความรุนแรงขนาด 6-6.5 นั้น เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อราว 80 ปีที่ผ่านมาในจังหวัดน่าน และเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ 5 พ.ค.2557 ซึ่งหากศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวอยู่ใกล้กับบริเวณชุมชนก็จะยิ่งสร้างความเสียหายแก่ประชาชน เนื่องจากมีทั้งบ้านเรือน อาคารสำคัญ โดยพื้นที่ที่ถือว่ามีความเสี่ยงมากที่สุดในประเทศไทยก็คือ ภาคเหนือ และภาคตะวันตก เนื่องจากมีแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวสูงกว่าพื้นที่อื่นและเป็นรอยเลื่อนมีพลัง ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก จึงทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดแผ่นดินไหวมากกว่าในพื้นที่อื่น
เขื่อนยังเอาอยู่!
สำหรับความกังวลที่หลายฝ่ายเกรงว่าหากเกิดแผ่นดินไหวใกล้กับบริเวณที่มีเขื่อนเก็บน้ำ จะส่งผลให้เขื่อนเก็บน้ำในจังหวัดต่างๆ ได้รับความเสียหายและอาจทำให้น้ำในเขื่อนนั้นทะลักเข้าท่วมพื้นที่ต่างๆ โดยรอบนั้น เบื้องต้นสำหรับเขื่อนแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ยืนยันว่ามีความปลอดภัยดีอยู่ และความเสียหายที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงความเสียหายภายนอกไม่ได้เกี่ยวกับโครงสร้างเขื่อนแต่อย่างใด โดยเขื่อนดังกล่าวสามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ถึงขนาด 7 ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงสำหรับประเทศไทยที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย

แม้โครงสร้างจะไม่ได้รับความเสียหาย แต่ก็มีผลกระทบต่ออาคารในบริเวณที่ได้รับแรงสั่นสะเทือน
ตั้งสติ อย่ากังวลเกินไป
สิ่งที่ประชาชนควรปฏิบัติ คือตั้งสติ หากไม่ได้อยู่ในพื้นที่จุดศูนย์กลางของการเกิดเหตุก็จะไม่ค่อยได้รับผลกระทบมากนัก เพราะความเสียหายส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นที่บริเวณจุดศูนย์กลางหรือจังหวัดใกล้เคียง และหากประชาชนมีความกังวลใจมากเกินไปก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักวิชาการในประเทศไทยได้มีการศึกษาโครงการลดภัยพิบัติ ซึ่งรวบรวมรายละเอียดทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเกิดเหตุแผ่นดินไหว รวมถึงสถิติและข้อมูลทุกด้าน เพื่อนำมาจัดทำกฎหมายควบคุมการปลูกสร้างอาคารให้รองรับกับความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุแผ่นดินไหว.ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/421052