ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ‘จุดยืน’ บนความดี - รู้โลก ไม่สู้รู้ตน  (อ่าน 2356 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


‘จุดยืน’ บนความดี - รู้โลก ไม่สู้รู้ตน

ได้รับฟังการแสดงธรรมในช่วงก่อนหน้างาน ฌาปนกิจ ที่พระท่านว่า “ญาติมิตรของผู้ตายได้เคยคิดหรือไม่ว่า ชีวิตหลังความตายนั้น ไม่มีใครทำอาชีพอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกษตรกรรม การค้าขายการพาณิชย์

ได้รับฟังการแสดงธรรมในช่วงก่อนหน้างาน ฌาปนกิจ ที่พระท่านว่า “ญาติมิตรของผู้ตายได้เคยคิดหรือไม่ว่า ชีวิตหลังความตายนั้น ไม่มีใครทำอาชีพอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกษตรกรรม การค้าขายการพาณิชย์ แล้วชีวิตหลังความตายนั้น บุคคลที่ตายไปแล้วดำรงชีวิตด้วยอะไร” ด้วยประโยคนี้ชวนให้คิดอยู่ครับว่านั่นสิครับ ตกลงแล้ว หลังการตายแล้วดำรงชีวิตกันอย่างไร

นั่นคือที่มาของการที่ ลูกหลานของผู้ตายหรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ตายไปโดยต่อเนื่อง ที่สุดแล้ว ผู้ตายจำเป็นต้องอาศัย บุญและกุศลที่ได้รับในการดำรงในภพภูมิต่าง ๆ กันไปเหนือสิ่งอื่นใดคือ หากว่าระหว่างที่ผู้ตายมีชีวิตอยู่ได้ทำบุญทำกุศลจำนวนมากเอาไว้แล้ว เท่ากับว่าผู้ตายมีทุนรอน มีเสบียงในการดำรงชีวิตในภพภูมิของตนเองมากกว่าผู้ที่ไม่เคยได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้เลยนั่นเอง

 :25: :25: :25:

สิ่งนี้ทำให้นึกถึงหนังสือชุด “เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว” ที่คุณ “ดังตฤณ” ได้เขียนเอาไว้อยู่หลายเล่มด้วยกัน เพราะชีวิตคนเมื่อจากไปแล้ว แม้ว่าส่วนหนึ่งเราจะได้รับบุญและกุศลจากผู้อื่นที่ปรารถนาดีต่อเราและนึกถึงเราหลังจากที่เราเสียชีวิตไปแล้ว อีกสิ่งหนึ่งคือ บุญและกุศลที่ทุก ๆ คนสามารถที่จะสร้างสมได้ด้วยตนเอง ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเองสิ่งนี้

นอกเหนือจากที่จะให้คุณแก่ชีวิตของเราเอง (เช่นทำให้ชีวิต มีความสุขมีความเจริญมากขึ้น หรือ ลดผลร้ายจากกรรมเก่าให้บรรเทาเบาบางลง) ยังทำหน้าที่เหมือนเสบียงเมื่อยามที่เราจากโลกนี้ไปและต้องเดินทางไกลในภพภูมิใหม่หลังความตายไปแล้ว

ดังนั้นหากว่าใครที่ประมาท และไม่เคยที่จะสร้างบุญสร้างกุศล เลย เสบียงที่มีอยู่กับตัวและก็จะน้อยจนจำเป็นต้องอาศัยผู้อื่นไปเรื่อย ๆ และหากว่า ญาติมิตรน้อย มีแต่คนสาปแช่งที่สุดแล้วไม่เหลือเสบียง ไม่มีบุญกุศลใด ๆ



ตนเองก็ต้องพึ่งความปรารถนา หรือบุญจากผู้อื่นที่เขากรวดน้ำ แผ่กุศลผลบุญโดยมิได้ระบุนามใด ๆ แต่การแบ่งบุญและกุศลจากผู้อื่นที่สวดมนต์แผ่เมตตาก็ดี กรวดน้ำโดยไม่ได้ระบุนามใด ๆ ก็ดี คงจำเป็นต้องแบ่งกับผู้อื่นอีกเยอะแยะมากมายที่อาจจะดำรงชีวิตโดยประมาทระหว่างที่มีชีวิตอยู่ โดยมิได้มีเสบียงบุญเสบียงกุศลอยู่กับตัวเหมือนผู้อื่นที่ดำรงชีวิตโดยไม่ประมาทและเตรียมการด้วยการทำสิ่งดี ๆ เอาไว้ตลอด จนตายไปแล้วก็มีสิ่งมงคลอยู่กับตัวโดยไม่หมดไม่สิ้น แถมสามารถแบ่งปันให้ผู้อื่นได้เสียอีก

หลาย ๆ คนในโลกที่ดำรงชีวิตโดยประมาท ไม่ว่าจะเพราะไม่เชื่อในอานุภาพแห่งบุญ และกุศล หรือเพราะไม่เชื่อในชีวิตหลังความตายก็ดี ที่สุดหากว่าชีวิตหลังความตายมีจริง และจำเป็นต้องอาศัย ผลบุญผลกุศล หรือเสบียงบุญ ในการทำให้ชีวิตหลังความตายมีความสุขก่อนที่จะไปกำเนิดในภพภูมิใหม่ ก็เท่ากับไม่มีอะไรเหลือในมือเลยสักนิดเดียว

สิ่งที่พระท่านแสดงธรรมให้ญาติผู้ตายได้ฟัง นอกเหนือจากเป็นการกระตุ้นให้ทุกคนนึกถึงผู้ตาย และทำบุญสร้างกุศลเผยแผ่ให้กับผู้ตายต่อเนื่อง (หากว่ามีแล้วก็จะมีมากยิ่งขึ้น ๆ ไป เพื่อชีวิตที่มีความสุขในภพภูมิหลังความตาย) แต่ยังเป็นการที่ทำให้ผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ ไม่ประมาทในการดำรงชีวิต และรู้ตัวเสมอว่า


 st12 st12 st12

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ประกอบกันในเวลานี้ มิได้หวังผลแต่เพียงชีวิตในเวลานี้ แต่ยังรวมถึงเป็นการสั่งสมทุนรอนและเสบียง เพื่อชีวิตหลังความตายเราจะเป็นผู้ที่มีความสุข สงบ ร่มเย็น เทพเทวดา หรือมัจจุราชที่ไหนพานพบก็ล้วนแต่ปกปักรักษาอำนวยความสะดวก มีเมตตาโดยตลอดต่อเนื่อง

ที่สุดแล้วคนเราทุกคน มีจุดเริ่มต้น (คือการเกิด) และจุดจบ (คือการตาย) เหมือนกันทั้งสิ้น สิ่งที่ทำให้คนเราต่างกันก็คือ “จุดยืน” หรือ การดำรงชีวิตระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดจบนั่นเองสุดแล้วแต่ว่าเราจะเลือกทางไหน ด้วยทิฐิอย่างไร ด้วยโลกทัศน์อย่างไร ที่สุดแล้ว เรากำหนดอนาคตของตัวเราเองทั้งสิ้น.


ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/Article/238841/‘จุดยืน’+บนความดี+-+รู้โลก+ไม่สู้รู้ตน
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ