ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : ภาวะที่เหนือกรรม  (อ่าน 6514 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
สมาธิชาวบ้าน : ภาวะที่เหนือกรรม
« เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2014, 09:49:13 am »
0


สมาธิชาวบ้าน : ภาวะที่เหนือกรรม

การทำสมาธิคือการอบรมจิตอย่างหนึ่ง ผลของการอบรมจิตคือการได้อานิสงส์จากการนั่งสมาธิไปช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ของชีวิตที่อยู่บนโลกได้บ้างในบางครั้ง ถ้าเราคิดว่าสิ่งนั่นคือความสุข มันก็ช่วยให้มายาความฝันแห่งความสุขที่ยังเหลืออยู่ในชีวิตดีขึ้นมาได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว

แต่พอเรามีความสุข ความสบาย ก็อย่าไปหลงมัน อย่าไปคิดว่ามันจริงจัง เพราะความฝันแห่งความสุขอันนี้มันเปลี่ยนแปลงได้ คนที่เป็นผู้ฝึกอบรมจิต ความฝันดีๆ มันก็จะบังเกิดกับเราได้ง่าย ส่วนฝันร้ายๆ เมื่อจิตเราที่ฝึกจิตมามีความรู้เท่าทัน ความฝันร้ายความทุกขข์นั้นก็จะหายไป

การทำสมาธิก็ขอให้ผู้ปฏิบัตินึกถึงพระนิพพานไว้ อย่าไปดีอกดีใจกับฝันดีๆ เพียงชั่วครั้งชั่วคราว
สมาธิจิตที่เราฝึกนี้ทำให้ฝันดีๆ เกิดขึ้นกับเราได้ ฝันดีๆ ที่เกิดขึ้นในภาวะจิตของเรา แต่สิ่งที่ดำเนินไปทั้งหมดไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม จิตของคนเราเป็นคนสร้างเป็นคนบัญญัติขึ้นมาทั้งสิ้น จิตคนเรานี่เองที่เป็นตัวดึงสุขทุกข์เข้ามา


 :s_hi: :s_hi: :s_hi:

เมื่อเราคิดดี คิดทางบุญกุศล จิตมันก็ดึงกุศลมาหาเรา หากคิดไม่ดี คิดไปในทางอกุศล จิตมันก็ดึงอกุศลเข้ามา จิตเราเองก็เป็นผู้สร้างผู้บัญญัติความสุข ความทุกข์ขึ้นมา เหมือนเราเป็นผู้สร้างหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมา แต่การที่เราไม่เท่าทันความรู้สึกของจิต เราก็หลงปรุงหลงแต่งไปตามหนังเรื่องนั้นที่เราสร้างขึ้นมาเอง อำนาจอวิชชา ความคิดยังยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนี้เขากำหนดว่าคือความทุกข์ เราก็ไปกำหนดหมายว่าคือความทุกข์ จิตก็ไปปรุงแต่งว่าสิ่งนั้นคือความทุกข์

เมื่อความทุกข์ตามการสมมติบัญญัติว่าสิ่งนี้คือความทุกข์ จิตวิญญาณก็จะทุกข์ ถ้าจิตไปสมมติบัญญัติว่าสิ่งนี้คือความสุข จิตนั้นก็ถูกดึงไปให้เกิดความสุขขึ้น ปรุงแต่งไปตามความสุข ไปตามอวิชชาที่จิตยึดมั่นถือมั่นไว้
แต่แท้ที่จริงแล้ว จิตดวงนี้ไม่เคยมีทั้งความสุขและความทุกข์ แต่เป็นความสุขและความทุกข์นั้นอยู่ในหนังในละครที่เราสร้างขึ้นนั่นเอง จิตเป็นคนแต่งคนสร้างขึ้นมาทั้งหมด



จิตยึดมั่นถือมั่นปรุงแต่งยังไง ก็โดนสมมติดึงไปกระทำย่ำยีต่างๆ ดวงจิตดวงนี้จะลากไปให้เกิดความสุขก็ได้ และดวงจิตดวงเดิมจะลากไปให้เกิดความทุกข์ก็ได้ มันเป็นอำนาจของความคิด มายาความคิดที่ปรุงแต่ง ดวงจิตเกิดอวิชชา หลงยึดมั่นถือมั่น เชื่อว่าสิ่งนี้คือความสุข จิตก็จะปรุงไปให้เกิดความสุข ถ้าสิ่งนี้เป็นความทุกข์ จิตก็ปรุงไปให้เกิดความทุกข์ ดังนั้นจิตที่มีอวิชชาความหลง จิตมันก็ปรุงไปตลอด

คนที่ยังไม่เข้าใจตรงนี้ก็ยังไปยึดมั่นถือมั่นไว้ นึกว่าสิ่งนี้เป็นความสุข ความทุกข์ ดวงจิตก็จะกลับมาเกิดใหม่ เกิดมาใช้ความสุขอันเป็นบุญ ความทุกข์อันเป็นบาปไม่อยากใช้ แต่กรรมตัวนี้มันอยู่ภายในชีวิต เกิดมาก็มีทั้งกรรมดีแลกรรมชั่วเป็นตัวกำหนดสลับกันส่งผล เพียงแต่ว่าช่วงไหนกรรมอันใดส่งผลอยู่

 ans1 ans1 ans1

ถ้าปฏิบัติแล้วและเป็นผู้เลยกรรมแล้ว ก็ไม่ต้องไปพะวงกับมันว่ากรรมนั้นส่งผลยังไง เพราะอย่างไรเสีย ภาวะที่เหนือกรรม กรรมที่เป็นสุข กรรมที่เป็นทุกข์ ก็ตามเราไม่ทัน เพราะเราอยู่เหนือกรรมนั้นแล้ว

แต่ถ้ายังไม่เลยผลกรรม เราก็ต้องรับผลกรรมนั้น แต่ถ้าเราเลยผลกรรม กรรมนั้นยังคงมีไม่ได้หายไปไหน กรรมมันยังมีอยู่ แต่เราไม่ต้องไปยุ่งกับกรรมอันนั้น เพราะจิตมันเลยไปแล้ว เรียกว่าเหนือกรรม ก็คือกรรมไม่ส่งผล ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีอะไรมาลากไปให้เกิดความทุกข์ได้.



ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/110514/90279
ภาพจาก http://www.bangkokbiznews.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ