ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : จิตเท่าทันอาการปรุง  (อ่าน 2274 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
สมาธิชาวบ้าน : จิตเท่าทันอาการปรุง
« เมื่อ: มิถุนายน 17, 2014, 10:48:07 am »
0


สมาธิชาวบ้าน : จิตเท่าทันอาการปรุง

เมื่อจิตเข้าสู่สมาธิอย่างสมบูรณ์ จิตมันจะเห็นแต่ปรากฏการณ์เฉยๆ มันอยู่นอกเหนือการตีความ แต่ขณะเดียวกันเมื่อจิตหยาบขึ้น สมมติบัญญัติที่เข้ามาตีความมันจะเห็น เห็นเพื่อให้เกิดปัญญา เพราะมีสมมติบัญญัติมาว่าทำไมใจถึงมีอารมณ์ไปในทางชอบ หรืออารมณ์ไปในทางไม่ชอบ มันปรุงตอนไหนก็ดูอาการที่มันเริ่มปรุง พอเห็นว่าจิตมันปรุงอย่างนี้ก็เห็นเท่าทัน พอเท่าทันเสร็จ อาการปรุงก็หยุดลง

จิตมันจะรู้ความจริงตรงนี้ ถ้าจิตเท่าทันอาการปรุงเมื่อไหร่ จิตก็มันก็จะหยุดปรุง พอเท่าทันแล้วการปรุงนั้นจะหมดไป ทำให้จิตอยู่ในอาการปกติได้ตลอดเวลา คล้ายๆ สมาธิในฌานซึ่งไม่รู้สึกใดๆ เลย อันนี้ก็ไม่ดีเนื่องจากไม่เกิดปัญญาอะไรเลย ไม่รู้ว่าจิตมันปรุงอย่างไร เพราะจิตไม่รู้กระบวนการปรุงของจิต จิตรู้อยู่อย่างเดียวคืออาการนิ่ง ไม่มีความรู้ความนึกคิดเข้ามา แต่ขณะเดียวกันจิตไม่เกิดปัญญาที่จะเท่าทันการปรุงของจิต ก็เหมือนเท่าทันความโกรธ เท่าทันความเกลียด เท่าทันอารมณ์ต่างๆ เหล่านี้


 :25: :25: :25:

เมื่อจิตที่ที่จะพอเท่าทันอารมณ์เหล่านี้ อารมณ์มันจะหยุดลง มันก็เกิดปัญญาตอนหยุดลง ทุกครั้งจะเกิดอย่างนี้มันทำให้เราเห็นไปเรื่อยๆ จิตมันก็มีกำลังขึ้น ก็เลยรู้ว่าโลกก็เป็นอย่างนี้ เราก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจโลก ก็เป็นไปตามเงื่อนไขของโลก มันสั่งอย่างไรก็เชื่อมันหมด มันสั่งว่าอย่างนี้ดี เราก็เชื่อว่าดี อันนี้ไม่ดี อันนี้ชอบ อันนี้ไม่ชอบ จิตเราถูกมันครอบงำหมด

แต่พอสมาธิที่ได้ในระดับที่จิตเป็นอิสระ ไม่ถูกมันครอบงำ จิตเป็นตัวของตัวเอง แล้วจะเห็นหมดซึ่งความคิด รู้ว่าอยู่บนโลก อาศัยโลกอยู่ไม่นานก็หมดเวลา ถ้าจิตไม่ทันชาตินี้ก็มาเกิดใหม่ เกิดใหม่ก็มาเริ่มต้นใหม่ อยู่ที่ว่าจะเริ่มเร็ว เริ่มช้า ก็ต้องอาศัยทุนเดิมจากชาตินี้ แต่ถ้าทันก็ไม่ต้องเกิดอีก




ทุกคนจะมีพุทธะ หรือการตื่นรู้อยู่ในตัว พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นเจ้าของศาสนา ไม่ได้เป็นเจ้าของธรรมะ ธรรมะมีอยู่ก่อนแล้วที่พระพุทธเจ้าจะมาเกิด พระพุทธเจ้ามารู้ว่าธรรมะคืออะไรต่างหาก แล้วประกาศสิ่งที่พบต่อผู้อื่นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าพบ เป็นแนวทางให้ผู้คนแสวงหา

คนที่เป็นพระพุทธเจ้านั้นจึงเป็นผู้ที่รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ไม่มีใครมาสอน เพราะถึงจุดหนึ่งใครมาสอนก็ไม่ได้ จะรู้ด้วยตนเองทุกคน จะอยู่ในใจคนเราทุกคนอยู่แล้ว พอเราค้นมันพบ เราถอดรหัสมันออก ก็จะรู้เอง ทุกคนมีอยู่แล้ว รอเวลาที่เราปฏิบัติไปแล้วมันรู้เอง ลึกลงไปในจิตของเรานั่นเอง

อย่างเมื่อก่อนตอนยังไม่ปฏิบัติก็มีชีวิตราบรื่นดี แต่พอปฏิบัติรู้สึกว่าชีวิตจะถูกทดสอบ มีความยาก ความลำบาก
จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวกัน ถึงเราไม่ปฏิบัติ มันก็เกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะว่าเหตุมันต้องเป็น ชีวิตเราเผชิญเข้ากับเหตุนั้นในเวลาไหนเท่านั้นเอง การปฏิบัติธรรมแล้วมีอุปสรรคในชีวิต ก็เพราะเหตุมันมาเกิดในช่วงที่เราปฏิบัติธรรม


 st11 st11 st11

วิธีแก้ก็คือ เราจะต้องเชื่ออย่างแนบแน่นว่าสิ่งที่เราปฏิบัติธรรม สิ่งที่เราศึกษาธรรมะ มันเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ เชื่ออย่างแนบแน่นว่าบุญกุศลมันมีจริง เชื่อว่าบาปบุญคุณโทษมันมีจริงๆ ถ้าเราเชื่อว่ามันดี เราก็ไม่ลังเลที่จะทำ เพราะเราปฏิบัติไปในทางดี อุปสรรคที่เข้ามาดูเหมือนว่าใหญ่ แต่มันจะเล็กลงถ้ามองด้วยมุมมองของผู้ปฏิบัติ เพราะจิตเรามีความตั้งมั่น

ถ้าเราลังเลเมื่อไหร่ว่ามันดีจริงหรือไม่ สิ่งที่มาเป็นอุปสรรคมันจะหนักกว่าเดิม หนักกว่าตอนที่ไม่ปฏิบัติธรรมเสียด้วยซ้ำ พอเราไม่ลังเลที่จะทำในสิ่งดี เราก็ไม่ลังเลในสิ่งที่ได้รับว่าเป็นสิ่งดี มันอาจจะดีน้อย ดีมาก แต่ก็จัดว่าดี อุปสรรคต่างๆ ที่เราเจออยู่เมื่อเจอสิ่งดีๆ เหล่านี้ก็จะแพ้ไปเอง แพ้ในสิ่งดีๆ ที่เราได้รับจากการปฏิบัติธรรม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ปฏิบัติธรรมแล้วจะไปแก้ปัญหาธุรกิจทางโลกได้ ว่าให้ขาดทุนน้อยลงหรือได้กำไรมากขึ้น.


ขอบคุณที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/150614/91729
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ