ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "คน"..."เห็นแก่ตัว"  (อ่าน 1714 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29432
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
"คน"..."เห็นแก่ตัว"
« เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2014, 10:05:05 am »
0


"คน"..."เห็นแก่ตัว"

"รู้อะไร...ขอให้รู้จริง แต่เพียงอย่างเดียว"... ชีวิตนี้ก็เอาตัวรอดได้แล้ว... นี่คือ คำพังเพย ที่ผู้ใหญ่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย จะบอกกับลูกหลานเราว่า...เอ็งรู้เรื่องอะไร ทำไมเอ็งรู้ตั้งเยอะแยะ แต่ทำมาหากินอะไรก็ไม่ได้ พูดอะไรก็ไม่รู้เรื่องมีปัญญาท่วมหัว เอาตัวไม่รอด เสมือนหนึ่งเป็นคนจับจดเลี้ยงดูแลตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด...ผู้ใหญ่เขาถึงบอกว่า ขอให้รู้จริงๆ ซักเรื่องเถอะ จับประเด็นหรือแก่นให้ได้เหมาะกับเจตนาจริตของตนเองที่รักและชอบพอกับสิ่งนั้นจะประเสริฐและคิดทำอะไรก็จะสำเร็จแม้มีอุปสรรคก็จะแก้ไขได้หมด

จากมติชนฉบับที่แล้วผู้เขียนได้เขียนถึงโรคจิตกับโรคจิตวิญญาณต่างกันอย่างไร? อะไรคือต้นเหตุ? อาการแสดง เป็นอย่างไร? เราป้องกันส่งเสริมสุขภาพอย่างไรไม่ให้เกิด? หากเกิดแล้วจะบำบัดรักษาอย่างไร? และดูแลสุขภาพ ของเราอย่างไร? ให้ห่างไกลจากโรคจิต... โรคจิตวิญญาณซึ่งเป็นโรคที่เราไม่พึงปรารถนา ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นไม่อยากให้เกิดกับตัวตนของเราเลย

ฉบับนี้เป็นภาค 2 ที่ผู้เขียนใครอยากจะลงในรายละเอียดแจงในเชิงพิสดารๆ แต่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ตามคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ซึ่งคำสอนในหนังสือของท่าน "แก่นพุทธศาสน์" เยี่ยมยอดที่สุดในโลกได้รับรางวัล จาก UNESCO แห่งสหประชาชาติในปี 2554 "อาจริยบูชา 100 ปี พุทธทาสภิกษุ"

 ans1 ans1 ans1

ผู้เขียนได้เขียนถึงคำๆ หนึ่ง คือ "ธรรมะกำมือเดียว" ซึ่งผู้เขียนประสงค์ให้พวกเราได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น เพื่อนำมาสร้างเจตคติและปฏิบัติให้ได้ให้ถูกต้อง...ก็จะเกิดมรรคผลกับ "ตัวเอง"

อดีตกาลพระพุทธเจ้า ธรรมของพุทธศาสนามีมากมาย 84,000 พระธรรมขันธ์ ยากที่จะจดจำและนำไปปฏิบัติ แต่พระพุทธเจ้าท่านเรียกของท่านว่ามันเป็นเพียง "กำมือเดียว" มันมีเรื่อง "เพียงกำมือเดียว" ไม่มากมาย

เมื่อพระองค์ท่านกำลังเดินอยู่ในป่า พระพุทธเจ้าท่านนำใบไม้ที่เรี่ยราดอยู่ขึ้นมากำหนึ่ง แล้วถามภิกษุทั้งหลายในที่นั้นว่า "ใบไม้ที่นำขึ้นมานี้กับใบไม้ทั้งหมดทั้งป่า มันมากน้อยกว่ากันกี่มากน้อย ทุกคนก็เห็นได้ว่ามันมากกว่ากันมาก จนเปรียบกันไม่พอ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า เรื่องที่ตรัสรู้และรู้นั้นมันมากมายเท่าป่าไม้ทั้งป่า แต่เรื่องที่จำเป็นควรรู้ ควรนำมาสอนและนำมาปฏิบัติเท่ากับ "ใบไม้กำมือเดียว"



"กำมือเดียว" นี้ เราคงจะจินตนาการเห็นเชิงประจักษ์ได้ว่า มันเป็นของไม่มากมาย ไม่เหลือวิสัยไม่เกินวิสัยของคนเราจะเข้าถึงได้ และเราจะเข้าใจ ปฏิบัติได้ทำได้อย่าง "ถูกต้อง" นี่คือ "หัวใจ" สำคัญ ที่ผู้เขียนอยากให้รู้ให้เข้าใจได้ถูกต้อง อะไรคือ แก่นแท้ๆ ของพุทธศาสนา ซึ่งก็คือ

"สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย"
"สิ่งทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" พระองค์ได้ทรงย้ำว่า "ถ้าใครปฏิบัติข้อนี้ ก็คือ ได้ฟังทั้งหมด ในพระพุทธศาสนา"

ถ้าได้ปฏิบัติข้อนี้ทั้งหมดก็ได้ปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนา
ถ้าได้รับผลจากการปฏิบัติข้อนี้ คือ ได้รับผลทั้งหมดในพุทธศาสนา
ทั้งนี้ลองมาพิจารณาดูว่ามันเป็น "หัวใจ" ของพุทธศาสนาจริงไหม?
เพราะ... มันเป็นเรื่อง... วิชชา
มันเป็นเรื่อง...ปฏิบัติ
มันเป็นเรื่อง...ผลการปฏิบัติ...มันสมบูรณ์อย่างนี้
คือ... รู้ว่าทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
แล้วก็ปฏิบัติเพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น
แล้วก็ได้ผลมาเป็น "จิต" ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย
นำมาสู่ "เป็นจิตที่ว่างที่สุด"
จึงถือ "เป็นหัวใจ" ของพระพุทธศาสนา
คือ "สะอาด สว่าง...และสงบ" นั่นเอง

 st12 st12 st12

เพราะฉะนั้นถ้าใครท่องจำ นำไปใช้ เหมือนกับเรา "สร้างสุขภาพ" ในงานสาธารณสุขให้ร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ ปลอดจากการเป็นโรค เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นป้องกันอันนำไปสู่การตายด้วยโรคหัวใจขาดเลือด สมองเป็นอัมพาต ไตวาย ด้วยการเฝ้าระวังควบคุมป้องกันโรคด้วย "ปิงปองจราจรชีวิต 7 สี" (VICHAI 7 COLORS MODEL) "รณรงค์สร้างสุขภาพด้วย "3 อ. 3 ลด"

3 อ. : ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาหารดี กินครบ 5 หมู่ ผักครึ่งหนึ่งอย่างอื่นครึ่งหนึ่ง อารมณ์ดีมีสมาธิเป็นนิจ
3 ลด ลดความอ้วน ลดเหล้า ลดบุหรี่
นี่คือ "คาถา" ป้องกันโรคไม่ติดต่อ คือ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมะเร็งได้ชะงัด

ฉะนั้นคาถาของการส่งเสริม ป้องกัน "โรคจิตวิญญาณ" (Spiritual Disease) คือ "สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย"... "สิ่งทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" จะเป็นเครื่องมือ "สร้างสุขภาพ" ป้องกันโรค สร้างภูมิคุ้มกันโรค มันจะไม่รับเชื้อ หรือว่าถ้ามันรับเชื้อเข้าไปก็ถูกทำลายหมดไป มันไม่ก่อเชื้อลุกลามทำลายสุขภาพกลายเป็นโรคขึ้นมาได้ เพราะมันมีสิ่งต้านทานคอยทำลายอยู่เรื่อยๆ เป็นภูมิคุ้มกันต้านทานโรค เป็น Immunity อย่างสูงสุด อย่างดีที่สุดของชีวิตเรา

สิ่งนี้แหละผู้เขียนอยากสื่อชี้นำบอกเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะคนไทยด้วยกันว่า นี่แหละคือหัวใจของพุทธศาสนา หัวใจของธรรมะทั้งหมด ที่เราทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ พึงพิจารณา ไตร่ตรอง วิเคราะห์ ใช่หรือไม่ หากใช่ ขอให้พิจารณานำไปเป็น "คาถาวิเศษ" หรือ "วัคซีน" ชีวิตอีกตัวหนึ่งไปใช้ในชีวิตประจำวันของเรา



ผู้เขียนขอยกคำพูดตอนหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ หน้า 25 วรรคสุดท้ายของหน้าระบุว่า... "เดี๋ยวนี้มีแต่ คนหน้าด้าน ไม่รู้จักกลัวบาปละอายบาป เห็นแก่ตัวเอง"... จึงทำสิ่งที่ไม่ควรทำอยู่ได้ และยืนยันและยืนกราน ที่จะทำอยู่เรื่อย ทั้งๆ ที่เห็นว่ามันจะนำความพินาศให้ทั้งโลกก็ยังยืนกรานที่จะทำอยู่เรื่อยเพราะไม่มีหิริโอตตัปปะ โลกนี้จะต้องวินาศลงเพราะไม่มีธรรม แม้เพียงข้อนี้...

นี่คืออมตะวาจาที่ "คนไทย" เรายังคงมีพฤติกรรมอย่างนี้ให้เห็นตั้งแต่ครัวเรือนในบ้านเรายังคงเป็นปัญหาที่ปรากฏตามข่าวหน้าสื่อต่างๆ ทั้งสิ่งพิมพ์ วิทยุ ทีวี ให้เห็นปัญหาครัวเรือน สังคมไทย แม้แต่ต่างชาติก็มีอยู่ เห็นกันจนเกิด "ปัญหาของบ้านเมือง" ของไทยเรา ไม่ว่าเป็นการขัดแย้ง แตกแยก ความคิดเห็น ทั้งอำนาจ ผลประโยชน์ และอื่นๆ... และทั่วโลกให้เห็นอยู่เสมอๆ

หลวงปู่ยังระบุว่า...พระหลายองค์ คือ ธรรมะหลายเล่มบอกว่า ขอให้มี "สติปัญญา" หลวงปู่บอกว่าต้องหมายถึง "สติปัญญาที่แท้จริง" หรือมีหลวงปู่บอกมามักจะมีแต่สติปัญญา ชนิดที่เรียกทางบาลีว่า "เฉโก" ซึ่งก็แปลว่า "ปัญญา เหมือนกัน"


 :25: :25: :25:

แต่มันเป็นสติปัญญาแบบสติปัญญาที่เติมอัดด้วย "ตัวกู ของกู" เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่มี เห็นแก่เป็น ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "งก แบบงมงาย" มันมีแต่สติปัญญาที่โง่ ที่มีแต่จะไปเอา ไปเป็น ไปยึดมั่นถือมั่น มาเป็น "ของกู" มันเป็นสติปัญญาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความยึดมั่นถือมั่นตัวตนเป็น egoism เพราะ "เฉโก" อย่างนั้นเป็น "ตัวตน" เป็น egoism เสียเอง อย่าเอามาปนกัน ถ้าเอามาปนกันแล้วมันจะยุ่ง

ถ้าเรามีความว่างจากความยึดถือว่า ตัวตน เป็น egoism ไม่รู้สึกว่า ตัวกูของกูแล้ว สติปัญญาแท้ที่จะต้องดับทุกข์ได้เป็นยาแก้โรคทางวิญญาณอยู่ในตัวนั้นก็ไม่อยู่

เพราะฉะนั้น - ในขณะนั้นโรคก็เกิดไม่ได้
- หรือที่เกิดอยู่ก่อนก็หายไปทันทีเหมือนกับแบบปลิดทิ้ง สมกับคำที่ว่า
..."ความว่าง" นั้น คือ "สติปัญญา"
..."ความว่าง" นั้น คือ "ธรรมะ"
..."ความว่าง" นั้น คือ "พุทธะ"

จิตเราขณะนั้นที่จะว่างจากตัวกู ของกู จิตของเราก็มีธรรมะในหัวใจเราอย่างแท้จริงทุกประการ หมดทั้งพระไตรปิฎกที่ตั้งเราความปรารถนา


 :49: :49: :49: :49:

อีกทั้งขณะนั้นจะมี สติสัมปชัญญะที่สุด มีหิริโอตตัปปะ คือ มีความละอายบาปกลัวบาปที่สุด มีขันติ โสรัจจะ คือ มีความอดทนอดกลั้นที่สุด มีความกตัญญูกตเวทีที่สุด มีความซื่อสัตย์ที่สุด...เรื่อยไปจนกระทั่งถึงสภาวะแห่งการบรรลุมรรคผลนิพพาน

ผู้เขียนมีความเชื่อมั่นว่าหากมีใครมาถามว่า เราคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงธรรมะได้หรือไม่ ตอบว่าได้ครับ อยากใคร่ขอเชิญชวน เริ่มที่ คุณแม่ คุณพ่อ ครูบาอาจารย์ ผู้นำทุกท่าน เป็นต้นแบบ แล้วพาบุตร หลาน พร้อมญาติพี่น้อง เข้าสู่การฝึกปฏิบัติตั้งแต่สวดมนต์ ฝึกหัดนั่งสมาธิ ทุกวันวันละ 10-20 นาที เริ่มเมื่อไหร่? ที่ไหน?

ตอบว่า เริ่ม "เดี๋ยวนี้ที่บ้านท่านครับ" ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เด็กเล็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะได้เป็น "ลูกที่ดี" เป็น "คนดี" มีความรู้คู่คุณธรรมของสังคมไทย ที่พึงปรารถนาได้อย่างดีนะครับ


นพ.วิชัย เทียนถาวร : "คน"..."เห็นแก่ตัว"
โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข

ที่มา:มติชนรายวัน 23ก.ค.2557
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊กกับมติชนออนไลน์
www.facebook.com/MatichonOnline
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1406114403
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ