ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : ตาที่สาม  (อ่าน 3653 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29299
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
สมาธิชาวบ้าน : ตาที่สาม
« เมื่อ: สิงหาคม 04, 2014, 10:06:45 am »
0


สมาธิชาวบ้าน : ตาที่สาม

หลายๆ ศาสนาในโลกเรานี้มีความเชื่อที่ตรงกันว่า มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาจะมีตาชนิดหนึ่ง ตาชนิดนี้จะอยู่ระหว่างประมาณหน้าผาก และตาชนิดนี้เป็นตาที่ไม่ต้องอาศัยเลนส์ตาหรือลูกตา แต่มันสามารถที่จะมองเห็นภาพได้ ตาชนิดนี้ก็มักมีปรากฏให้พบเห็นอยู่บนพระพุทธรูปหรือตามรูปปั้นต่างๆ ซึ่งเราจะเรียกตาชนิดนี้กันว่า “ตาที่สาม”

ตาที่สามเป็นตาที่รู้ธรรมเห็นธรรม ในการรับรู้ธรรมต่างๆ จะผ่านจากตรงนี้ หลายคนจึงบอกว่าตาที่สามถือเป็นทวารอย่างหนึ่ง เป็นมโนทวาร เป็นทวารที่อยู่ตำแหน่งของตานี้

 :29: :29: :29:

ในทุกชาติ ทุกศาสนา ที่มีการปฏิบัติ จะยอมรับกันว่ามีภาพบางอย่างเกิดขึ้นตรงบริเวณนี้ กล่าวคือเราสามารถมองเห็นได้โดยที่ไม่ได้ใช้ตา มันไร้มิติ สามารถเห็นไปทั้งในอดีตและในอนาคต อาศัย
     อตีตังสญาณ (คือ ญาณหยั่งรู้ส่วนอดีต ผู้บรรลุญาณนี้จะสามารถอธิบายได้ชัดเจนว่า กรรมในอดีตชาติส่งผลมาเป็นกรรมในปัจจุบันได้อย่างไร ชาติก่อนทำอะไรไว้ ชาตินี้จึงมาเป็นอย่างนี้)
     อนาคตังสญาณ (คือ ญาณหยั่งรู้ส่วนอนาคต ผู้บรรลุญาณนี้จะสามารถเห็นล่วงหน้า ว่าในอนาคตอันใกล้อันไกลจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งคนที่รู้ล่วงหน้าจะสามารถป้องกันแก้ไขได้ดีกว่าคนที่ไม่รู้ล่วงหน้า)
     ปัจจุปปันนังสญาณ (คือ ญาณหยั่งรู้ส่วนปัจจุบัน ผู้บรรลุญาณนี้จะสามารถรู้เหตุปัจจัยของเรื่องที่มีอยู่เป็นอยู่ขณะนี้ และเหตุปัจจัยของเรื่องที่จะมีจะเป็นในกาลข้างหน้า) กับทิพจักขุญาณ
     จึงทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และภาพในอนาคตได้





อย่างในลัทธิอนุตตรธรรม (คำสอนเป็นการผสมผสานระหว่างลัทธิขงจื้อกับลัทธิเต๋า) เรียกตำแหน่งตาที่สาม ซึ่งอยู่ตรงบริเวณหน้าผากระหว่างคิ้วนี้ว่า “จุดญาณทวาร” และยังเชื่อว่าวิญญาณจะเข้าออกร่างกายผ่านทางประตูนี้ และเป็นทางเดียวที่วิญญาณจะใช้ผ่านกลับคืนสู่สวรรค์ ซึ่งถือเป็นบ้านเกิดของวิญญาณทุกดวงจิต จึงสามารถเดินทางผ่านไปยังมิติภพภูมิต่างๆ ได้ เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในการเวียนว่ายตายเกิดในทั้งสามโลก

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันก็อยู่ในขั้นของโลกียฌาณเท่านั้น อาศัยมโนทวารไปล่วงรู้ทุกมิติภพภูมิหมด อย่างเช่น สิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ แต่หากยังคงมีกลุ่มความคิดอะไรอยู่ก็จะสามารถมองเห็นได้จากตาที่สามนี้ นั่นคือเราจะสามารถมองเห็นมิติภพภูมิอื่นๆ ได้หมด โดยผ่านตำแหน่งของทวารหรือว่าตำแหน่ง “ทิพยจักษุญาณ” นี้เอง


 :96: :96: :96:

พระพุทธรูปในบ้านเราที่มีตาพิเศษ (ตาที่สาม) ก็จะอยู่ในตำแหน่งระหว่างประมาณหน้าผากนี้เหมือนกัน อย่างพระพุทธรูปหรือเทพต่างๆ ในอินเดียก็เช่นเดียวกันหรืออย่างพระฤๅษีเองก็มีตาที่สามเช่นกัน

ผู้ที่สำเร็จการเพ่งกสิณไฟจำต้องปิดตาที่สามไว้ เพราะถ้าตาที่สามเปิดขึ้นมาเมื่อใด ตาไฟก็จะทำให้ไฟลุกติดสิ่งที่มองได้ ผู้ปฏิบัติที่ฝึกการเพ่งไฟจะมีอาการคล้ายๆ กันคือ เมื่อจิตเป็นไฟ ไฟก็เป็นจิต จิตที่เพ่งไฟจึงมีคุณสมบัติของไฟ ไฟมีคุณสมบัติเช่นไร จิตก็จะมีคุณสมบัติเช่นนั้น คือมีความร้อนสามารถเผาไหม้วัตถุต่างๆ ได้นั่นเอง.



ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/270714/93683
ขอบคุณภาพจาก
http://www.bloggang.com/
https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ